บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 โลกความจริง

คุณทามาดะมุดลงใต้โต๊ะตามสัญชาตญาณและการฝึกฝนแต่แก้วกัลยายืนช็อกตาค้างกับภาพความวุ่นวายผู้คนวิ่งตายกันชุลมุน โคมดอกไม้ที่แขวนไว้กำลังจะร่วงหล่นใส่ศีรษะของหญิงสาวแต่แล้วก็มือหนากระชากเธอให้หลบโคมดอกไม้ร่วงถากหน้าผากมนหล่นกระทบพื้นหญ้าแตกกระจาย หน้าสวยซีดเผือดเลือดออกบนหน้าผากหายใจหอบแรงหวาดกลัว

“มุดเร็ว! มุด!” อัศวนัยตะคอกกดหัวเธอให้มุดลงใต้โต๊ะอาหาร ร่างบางรีบย่อตัวมุดเข้าไปใต้โต๊ะตามคำสั่งในหูอื้ออึงสติกระเจิดกระเจิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครกำลังกุมข้อมือเธอไว้และคอยตะโกนใส่หน้าเธอ

“หมอบลง!” เขากดหัวเธอให้หมอบลงตัวเขาเองก็เช่นกัน เสียงอึกทึกสิ่งของต่าง ๆ หล่นกระทบโต๊ะอาหารกับแรงสั่นสะเทือนรุนแรงยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งทุกอย่างรอบข้างเงียบสงบลง คุณทามาดะคลานออกมาจากใต้โต๊ะอาหารมองความพินาศของร้านอาหารที่เคยตกแต่งสวยงามพังระเนระนาด แก้วกัลยานั่งคุกเข่าก้มหน้าเลือดไหลจากหน้าผากลงข้างแก้มเนื้อตัวสั่นเทาน้ำตาไหลตาแข็งจ้องมองแต่มือตัวเองที่กำลังบีบแน่น อัศวนัยกำลังจะคลานออกจากใต้โต๊ะหันมองเธอที่ยังก้มหน้านิ่งเลยคลานกลับมาสะกิดแขนเรียกแต่เธอยังคงนิ่ง เขาก้มมองหน้าสวยกะพริบตาถี่น้ำตาร่วงเป็นระยะริมฝีปากสั่นระริกตกใจหวาดกลัวสุดขีด

“ตั้งสติหน่อยคุณ ตั้งสติ” คิ้วเข้มขมวดพยายามเขย่าไหล่เธอให้ได้หลุดจากอาการช็อก

“เราตายหรือยัง” เสียงน้อย ๆ ที่เอ่ยถามทำให้เขาใจชื้นถึงจะเป็นอริกันเขาก็ไม่ได้ใจดำขนาดเห็นเธอช็อกแล้วรู้สึกสะใจ

“ยัง เรายังไม่ตายตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”

“ไม่ตาย ทำไมไม่ตายล่ะ ตายไปซะจะได้หมดเรื่องสักที” น้ำเสียงหวานแผ่วเบาอย่างสิ้นหวัง เขาชะงักหน้าเครียดก้มมองเธอที่ยังกะพริบตาถี่น้ำตาไหล

“ทำไมถึงอยากตาย?”

“จะได้ไม่ต้องถูกบังคับอีก” คำตอบของคนขาดสติเผยความในใจเบื้องลึกของความคิดออกมา เขานิ่งอึ้งแววตาสงสัยคุณหนูคนเล็กของตระกูลผู้มั่งคั่งมีความสวยสะกดตาเป็นที่น่าอิจฉาของผู้คนมากมายมีความกดดันอะไรถึงขนาดอยากตาย มือหนาเคลื่อนประคองหน้าสวยให้เงยขึ้นสายตาสวยเลื่อนลอยเคลือบด้วยน้ำตาเขานิ่งงันมองหน้าสวยเนิ่นนานหายใจไม่ทั่วท้องก่อนจะเอ่ยคำพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก

“อย่าตายเลย เสียดายของ” สายตาคมยังจับจ้องเขยิบเข้าใกล้เธอทีละน้อยจนใกล้ชิดลมหายใจกระทบปลายจมูกโด่งรั้นของหญิงสาวที่ยังมึนงงล่องลอย ดวงตาสวยพร่ามัวเปลือกตาค่อย ๆ ปิดลงทุกอย่างมืดดับลงไปเรื่อย ๆ ร่างบางเอนร่วงทิ้งตัวลงบนพื้นเขารีบเอื้อมประคองศีรษะเธอไม่ให้กระแทกพื้นแล้วจ้องมองหน้าสวยที่เปื้อนเลือดอย่างสับสน

ท่ามกลางความวุ่นวายของผู้ประสบภัยและทีมช่วยเหลือลงพื้นที่ อัศวนัยอุ้มร่างบางที่สลบออกมาส่งให้กับหน่วยพยาบาลเขายืนรอดูเธอที่ไม่ได้สติจนพยาบาลทำแผลเสร็จเมื่อเห็นเธอปลอดภัยเขาเดินออกมาจากเต็นท์พยาบาลจะไปรวมตัวกับผู้ประสบภัย เท้าหนักก้าวเดินอย่างระมัดระวังหลบเลี่ยงหน่วยกู้ภัยลำเลียงผู้บาดเจ็บออกจากพื้นที่ ระหว่างทางเดินกู้ภัยยกเปลสนามผ่านหน้าเขาผู้หญิงที่นอนอยู่บนเปลคือนิสาสภาพมอมแมมเลือดไหลตั้งแต่ศีรษะยันช่วงตัวครอบหน้ากากออกซิเจน อัศวนัยมองเครียดพลางคิดไปว่าหากแก้วกัลยาตื่นขึ้นแล้วหาคนรู้จักไม่เจอเธอจะเป็นยังไง เขายืนลังเลสายตาหลุกหลิกใครจะบ้าช่วยลูกอริกัน ก่อนจะหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่าทำไปเพราะมนุษยธรรมและมาจากประเทศเดียวกัน คิดได้อย่างนั้นเขาก็รีบหันหลังกลับกึ่งเดินกึ่งวิ่งฝ่าซากปรักหักพังตรงไปยังเต็นท์พยาบาลที่เดินออกมาเมื่อครู่เพื่อไปหาลูกสาวของศัตรู

อัศวนัยเดินเข้ามาในเต็นท์มองไปยังเตียงที่แก้วกัลยาเคยนอนอยู่ซึ่งไร้เธอ เขารีบสอบถามพยาบาลที่กำลังวุ่นวายถามหาก็ไม่มีใครตอบได้ ใจเขากระวนกระวายห่วงว่าเธอจะมีอันตรายเลยรีบวิ่งหารอบพื้นที่พยาบาลแล้ววิ่งออกไปบนซากปรักหักพังหายใจหอบเหนื่อยกวาดมองรอบพื้นที่หาหญิงสาวคุ้นตาท่ามกลางผู้คนบาดเจ็บหน่วยกู้ภัยและผู้คนที่กำลังตามหาญาติของตัวเอง หน้าคมเคร่งเครียดนึกโมโหตัวเองปล่อยเธอคลาดสายตา แต่แล้วเขาก็สะดุ้งเมื่อมีบางอย่างมากระตุกแขนเสื้อสูทที่สวมใส่ทำให้ตกใจรีบหันไปมองแล้วชะงักใจชื้นเมื่อเห็นคนที่กำลังตามหาเงยมองเขาทั้งน้ำตา

“หาพี่นิสาไม่เจอ” ดวงตาสวยสั่นระริกคลอด้วยน้ำตาใบหน้าซีดเซียวยืนโอนเอนคล้ายจะยืนไม่ไหว

“ผมเห็นเขาบาดเจ็บขึ้นรถพยาบาลไปแล้ว”

“ช่วยพาไปหาได้ไหม?”

“ตอนนี้การเดินทางไม่สะดวก เราต้องไปรวมตัวกับคนอื่นที่ประสบภัยเพื่อขอความช่วยเหลือตามหาญาติอีกที” เขาพยายามพูดน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่อยากให้เธอตื่นตระหนก สายตาสวยหลบลงหน้าเศร้าทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้กายหนาเขยิบเข้าใกล้ถอดสูทของเขาออกมาคลุมไหล่ที่เปิดกว้างเผยผิวขาว เธอผงะมองหวาดระแวงเพราะครอบครัวทั้งสองไม่ถูกกัน

“ไม่ต้องกลัว ไปกับผม” เสียงทุ้มนุ่มนวลมองอ่อนโยนเพราะรู้ว่าเธอกำลังหวาดกลัว มือหนาสอดเข้าจับมือบางที่เย็นเฉียบเธอก้มมองมือเขาจับเธอไว้หลวม ๆ เลยบีบมือหนาแล้วเงยมองคล้ายว่าเป็นที่เหนี่ยวไม่อยากให้เขาไม่ทิ้งเธอไว้คนเดียว

อัศวนัยมองหญิงสาวด้วยความรู้สึกหลากหลายช่วงเวลาประสบภัยแบบนี้เขากลับรู้สึกใจเต้นแรงเพียงแค่ได้จับมือกับเธอ สายตาเศร้าที่มองมาทำให้เขารู้สึกอยากปกป้องสภาพจิตใจของเขากำลังวุ่นวายสับสนได้แต่บ่นตัวเองในใจ (บ้าชะมัดเธอเป็นลูกสาวอริแค่ช่วยเพราะมนุษยธรรมก็เท่านั้น)

พื้นที่พักพิงผู้ประสบภัย

อัศวนัยพาแก้วกัลยาไปยืนรอต่อคิวรายงานตัวตนด้วยวีซ่าและพาสสปอร์ตที่พกติดตัวตลอดแต่เอกสารของแก้วกัลยาอยู่กับนิสาอาจจะร่วงหล่นกับซากปรักหักพัง อัศวนัยได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับแต่เขาเลือกอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนแก้วกัลยา ทั้งสองนั่งตรงมุมของศูนย์พักพิงสภาพมอมแมมและเหนื่อยล้าเต็มที

“ขอบคุณที่ไม่ทิ้งลยา” มือเรียวประสานยกขึ้นไหว้ขอบคุณจากใจอย่างซาบซึ้งที่เขาไม่ทิ้งเธอไว้ให้เผชิญกับเรื่องแย่เพียงลำพัง

“อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเด็ดขาด ผมไม่อยากให้ใครรู้” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นไม่หันมองเขาไม่อยากถูกครอบครัวเพ่งเล็งหากมีใครรู้ว่าเขาช่วยเหลือลูกสาวคู่แข่ง

“ค่ะ” แก้วกัลยารับคำเนือย ๆ ความมั่นใจในตัวเองหดหายเมื่อเจอวิกฤตจิตใจหดหู่อยากให้ผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนี้ไปเสียที

เวลาล่วงเลยจากค่ำคืนเป็นเช้าตรู่

ทั้งสองยังนั่งรอการตอบรับของสถานทูตท่ามกลางผู้ประสบภัยอีกหลายร้อยชีวิต หน้าสวยเอนซบไหล่กว้างหลับใหลอ่อนเพลียจากเสียเลือดและมึนยาชา อัศวนัยนั่งเกร็งอยากให้เธอนอนพักไม่กล้ากระดุกกระดิกกลัวเธอสะดุ้งตื่น สักพักมีประกาศรับอาหารและน้ำดื่มหน้าศูนย์เขาเลยค่อยสะกิดเรียกเธอที่หลับสนิท

“ลุกไหวไหมไปรับอาหารกัน” เขาเอ่ยชวนเธอที่ยังสะลึมสะลือพยักหน้าเบา ๆ ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนโอนเอนเดินตามอัศวนัยไปข้างนอก ผู้คนมากมายยืนรอต่อคิวรับอาหารเขาให้เธอยืนข้างหน้ารับอาหารก่อนแต่เมื่อถึงคิวเหลือขนมปังเพียงหนึ่งชิ้น แก้วกัลยารับแล้วเดินกลับเข้าศูนย์ไปกับอัศวนัย

“แบ่งกันค่ะ” มือเรียวยื่นขนมปังที่แบ่งออกสองส่วนเอาชิ้นใหญ่ส่งให้กับเขา

“กินเถอะ ผมไม่ค่อยหิว” เขาปฏิเสธแต่เหลือบมองแล้วกระดกน้ำดื่มแก้หิว

“คุณกินเถอะ ลยากินนิดเดียวก็อิ่มแล้ว” หน้าซีดเซียวฉายรอยยิ้มน้อย ๆ อย่างเป็นมิตร เขาส่ายหน้ากำลังจะอ้าปากปฏิเสธเธอเลยยัดขนมปังเข้าปากเข้าทันที อัศวนัยหน้าเหวอหลุดขำลักยิ้มข้างแก้มของใบหน้าคมบุ๋มลงเห็นได้ชัด

“มีลักยิ้มด้วย” เสียงหวานสดใสพูดไปอย่างใจคิด เขาสะดุ้งรีบหุบยิ้มปรับสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่อยนักที่เขาจะยิ้มจนลักยิ้มบุ๋มและเขาไม่อยากให้ลูกสาวของคู่อริได้เห็น เธออมยิ้มขำที่เขาวางฟอร์มก่อนจะกัดขนมปังกินทีละนิดสลับกับดื่มน้ำให้ท้องอิ่ม

การเฝ้ารอผ่านไปเกือบช่วงเย็น ทางสถานทูตติดต่อยืนยันบุคคลเรียบร้อย อัศวนัยกับแก้วกัลยาเลยได้ขึ้นรถบริการพาไปส่งยังสถานทูต เมื่อมาถึงเธอก็สอบถามถึงนิสาทางสถานทูตจึงเร่งประสานงานค้นหาผู้เสียหายจนได้ข้อมูลว่านิสาเสียชีวิตที่โรงพยาบาล แก้วกัลยาใจหายตัวชาวาบที่ได้รับรู้ว่าคนที่เดินทางมาด้วยเสียชีวิตจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็ทำให้เธอไร้เรี่ยวแรงห่อเหี่ยวเอาแต่ร้องไห้เดือดร้อนถึงอัศวนัยต้องปลอบโยนเธอทั้งที่ไม่ใช่ธุระของเขาเลยสักนิด...

อัศวนัยกับแก้วกัลยาแยกกันพักที่สถานรองรับแยกระหว่างชายหญิง หลังจากนั้นสองวันจึงถูกนำส่งกลับประเทศ ทั้งสองเลือกนั่งที่นั่งใกล้กันตลอดเวลาที่อยู่บนเครื่องบินเกือบห้าชั่วโมงเขาและเธอนั่งเงียบนิ่งเฉยไม่พูดคุยจนอีกสิบนาทีสุดท้าย แก้วกัลยาหันไปยกมือไหว้ก้มลงกราบที่ตักหนา

“เฮ้ย!” อัศวนัยกระตุกขาตกใจไม่คิดว่าเธอจะลดศักดิ์ศรีกราบลูกศัตรู หน้าสวยค่อย ๆ เงยขึ้นน้ำตาคลอเบ้ายกมือไหว้กลางหว่างอก

“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตลยา ถ้าไม่ได้คุณดึงให้มุดใต้โต๊ะลยาก็คงมีสภาพเดียวกันกับพี่นิสา” เสียงหวานสั่นเครือซาบซึ้งในบุญคุณของคู่อริที่ช่วยเธอแม้สองตระกูลจะไม่ถูกกัน อัศวนัยเบือนหน้าหนีตีหน้าตึงทำเป็นไม่รู้สึกอะไร

“ถ้ารู้ว่าเป็นคุณผมไม่ช่วยหรอก”

“............”

“ลงจากเครื่องเมื่อไหร่เราจะเป็นศัตรูกันเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเจอกันที่ไหนอย่าทักทาย ไม่ต้องมองหน้าหรือยิ้มแค่นิดเดียวก็ไม่ได้ ลืมไปได้เลยว่าผมเคยช่วยเพราะผมไม่ได้เต็มใจช่วงเวลาคับขันผมไม่รู้ว่าตัวว่าทำอะไรลงไปบ้าง” น้ำเสียงเข้มหนักแน่นย้ำให้เธอทำตามที่เขาบอกอย่างเคร่งครัด หน้าสวยถอดสีเมื่อนึกย้อนถึงการกระทำของเขาตอนที่เธอลำบากมันช่างอ่อนโยนราวกับภาพฝันแต่ตอนนี้เขาและเธอกำลังกลับสู่โลกของความจริง เธอต้องตื่นมายอมรับความจริงให้ได้แม้อยากนอนฝันต่อแค่ไหนก็ตาม

สนามบินนานาชาติ

ญาติพี่น้องของผู้โดยสารที่เดินทางกลับมาจากญี่ปุ่น ต่างมายืนรอรับลูกหลานญาติมิตรของตัวเองที่กลับมาอย่างปลอดภัย รุจีหญิงสูงวัยสวมชุดเรียบหรูสีดำสนิททาปากสีแดงสดชะเง้อหน้าใจจดใจจ่อกับเหล่าญาตินับสิบคน

แก้วกัลยาเดินอ่อนแรงสวมเสื้อยืดตัวใหญ่กางเกงขายาวรองเท้าผ้าใบปล่อยผมยาวสยายเต็มแผ่นหลัง หน้าสวยซีดเผือดมีผ้าก๊อซติดอยู่บนหน้าผากข้างขวา แก้วกัลยาน้ำตาไหลดีใจที่ได้กลับมาเจอหน้าแม่ รุจีหายใจหอบแรงตกใจเมื่อเห็นสภาพลูกสาวเลยรีบวิ่งเข้าไปหาจับคางลูกสาวเชยขึ้น

“ปล่อยให้ตัวเองโทรมแบบนี้ได้ไง นักข่าวมากันเยอะ อย่างน้อยก็ต้องรัดผมทาแป้งสักหน่อย” รุจีขมวดคิ้วเพ่งมองใบหน้าลูกสาวอย่างหงุดหงิด แก้วกัลยาชะงักเธอบาดเจ็บเสี่ยงตายกลับมาแทนที่แม่จะถามว่าเธอเป็นยังไงบ้างกลับห่วงเรื่องชื่อเสียงหน้าตาแม้จะโอบกอดเธอเพื่อปลอบใจสักนิดก็ไม่มี

“โม่เอาสูทมาบังตัวลยาไว้เร็ว ๆ อย่าให้นักข่าวได้รูปตอนโทรมเด็ดขาด” รุจีหันขวับไปสั่งเลขา โมโม่รีบยกเสื้อสูทขึ้นกางปิดศีรษะของแก้วกัลยาไว้แล้วกดหัวให้เธอก้มลงเดินไปจากตรงนี้พร้อมกัน รุจีหันซ้ายหันขวาเห็นนักข่าวที่กำลังรุมสัมภาษณ์คนอื่นอยู่เลยจะรีบเดินหนีแต่หางตาสวยเห็นครอบครัวของจิรสินยืนอยู่ไม่ไกลเธอเหลือบมองแล้วรีบจ้ำเดินตามไปหาลูกสาว อัศวนัยยืนมองครอบครัวเธออย่างแปลกใจเกิดเรื่องร้ายหวาดกลัวขนาดนั้นแต่แม่กลับไม่ปลอบห่วงแต่ภาพลักษณ์เท่านั้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel