4
เพราะท่าทางคนพวกนี้เหมือนกับมาเฟีย ไม่ก็พวกอิทธิพลมืดแทบไม่ผิดเพี้ยนเลยน่ะสิ
พอเห็นเธอไม่ยั่วยุกลับมาอย่างที่คาด นิรันดร์หันไปทางบุตรสาวของตน ภาพยังติดตาไม่หาย อดบ่นต่ออีกไม่ได้ “ลูกบอกว่ายืดกล้ามเนื้ออย่างนั้นหรือครับ ยืดกันแบบไหน ทำไมต้องทำยังกับท่าเมคเลิฟ!”
“คุณพ่อคะ!”
เสียงเด็กสาวเรียกบิดาตนเองก้องห้องโถงด้วยความอับอาย ใบหน้าน่ารักแดงจัดจนถึงใบหู เจ้าตัวมองบิดาด้วยสายตาน้อยอกน้อยใจ น้ำตาคลอเบ้า แล้วผลุนผลันหันหลังวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
ขิมแขเฝ้ามองสังเกตการณ์อยู่ นึกห่วงเด็กสาวคนนั้น อดติงเขาไม่ได้ “คุณเป็นพ่อคนแบบไหนกัน พูดเรื่องน่าอายแบบนี้ต่อหน้าคนทั้งห้อง”
นิรันดร์กำลังเสียหลัก ที่บุตรสาวร้องไห้วิ่งออกไป เลยพูดอะไรไม่ออก เขาทนได้ที่ไหนกับน้ำตาของลูก
เห็นแววตาของอีกฝ่ายแล้ว ขิมแขรีบใช้โอกาสนี้ว่าขึ้นบ้าง
“ฉันไม่แจ้งความกลับก็บุญแล้ว”
หยุดไปจังหวะหนึ่ง กล่าวต่อด้วยท่าทีนิ่งๆ
“ที่คุณกักขังหน่วงเหนี่ยวลูกชายฉัน แล้วยังโทรศัพท์มาข่มขู่ฉันอีก แต่เอาเถอะ ให้เรื่องจบลงเท่านี้ก็แล้วกัน วันนี้ฉันจะพาลูกชายของฉันกลับบ้าน และก็จะอบรมแกเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษให้เคร่งครัดกว่านี้ พร้อมกับตักเตือนแกเพิ่มถึงความเหมาะสมทางเพศสำหรับวัยของแก”
กล่าวรวดเดียวจบ เงียบไปอึดใจ บอกทิ้งท้าย
“คุณเองก็ควรอบรมลูกสาวคุณด้วยเหมือนกัน ไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัว”
ขิมแขบอกแบบมัดมือชก อาศัยช่วงที่ทุกคนกำลังงง เดินไปคว้ามือภูผาพาออกจากบ้านไป อย่างพยายามไม่ให้ดูลนลานหวั่นเกรงต่อพวกเขา
คิ้วหนาพาดเฉียงของนิรันดร์ อัศวหาญญ์วรกุลกระตุกถี่ยิบกว่าเดิม อาการแบบนี้ของเขาเคยเกิดขึ้นที่ไหนกัน เป็นไปได้ที่บุตรสาวของเขาทำให้อารมณ์พลิกผันเหวี่ยงขึ้นลงไปมา แต่แล้วผู้หญิงแปลกหน้านั่นทำให้เขาเกิดอาการเดียวกันได้อย่างไร
ทำไมเขาจะไม่รู้ตัวว่าเจ้าหล่อนอาศัยจังหวะชุลมุนพาเด็กเวรนั่นจากไป แต่เขากำลังครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจต่างหาก
“นายครับ”
เสียงเรียกของบริวารปลุกนิรันดร์ให้หลุดจากภวังค์
เขาละสายตาจากแผ่นหลังที่เพิ่งพ้นรั้วสูง มองไปกล้วย พี่เลี้ยงคนสนิทของบุตรสาว ทางนั้นหลบตาเขาวูบทันที อ้อมแอ้มบอกเสียงสั่น
“คุ...คุณรันดร์คะ คือ...คือกล้วย...”
นิรันดร์กวาดสายตามองว่าไม่ต้องพูดอะไรออกมา เท่านั้นเองทั้งห้องก็พากันเงียบกริบ ทุกคนต่างรู้ดี ว่าไม่ควรแก้ต่างอะไรหากนายลงความเห็นไปแล้วว่าถูกหรือผิด
ลูกน้องคนสนิทมองปรามทางพี่เลี้ยงของปลายฝน รู้ว่าอีกฝ่ายอยากพูด อยากอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ว่าเหตุใดปลายฝนถึงพาคนนอกเข้าบ้านมาได้โดยที่ลูกน้องของเขาไม่จับมันเหวี่ยงออกไปเสียก่อน อย่างน้อยก็ต้องรู้เห็นเป็นใจ ช่วยพาเข้ามาแน่ ๆ
หลังจากเงียบไปได้ครู่ใหญ่ เสียงทรงอำนาจก็ค่อยเอ่ยขึ้น
“ให้เวลาสองวัน ส่งประวัติ ปูมหลังของสองแม่ลูกนั่นที่โต๊ะ”
สั่งจบ เดินออกจากตรงนั้นทันที
“แม่เชื่อว่าภูไม่ได้ทำอะไรน่าเกลียดอย่างที่พ่อของเด็กคนนั้นกล่าวหา...ใช่ไหมครับภู”
ขิมแขถามทำนองเข้าข้างบุตรชาย กระนั้นก็ย้ำในตอนท้ายอีกที อยากให้อีกฝ่ายเล่าความจริงทั้งหมดออกมาอย่างเต็มใจมากกว่าการเค้นบังคับ ประเดี๋ยวเจ้าตัวจะตอบรับออกมาพร้อมเหตุผลที่เธอควรรู้ อย่างน้อยก็ดีกว่าฟังจากคู่กรณีฝ่ายเดียว โดยที่ลูกของเธอไม่มีโอกาสได้พูดอะไร
ภูผาถอนใจเฮือกหลังคำกล่าวเชื่อใจ และการถามย้ำในตอนท้ายของมารดา นิ่งเงียบอีกเป็นนาทีไม่ยอมพูดอะไร
ขิมแขชำเลืองมองบุตรชายแวบหนึ่ง หันกลับไปที่ถนนอย่างเดิม เม้มปากนิดๆ ชั่งใจว่า จะทำอย่างไรต่อจากนี้ดี สุดท้ายก็ค่อยตะล่อมต่ออีกหน่อย
“ภูพร้อมแล้ว ค่อยเล่าให้แม่ฟังก็ได้นะ ว่าเรื่องมันเริ่มต้นจากตรงไหน…คนนี้ใช่ไหมที่ภูเคยเล่าให้แม่ฟังว่าเจอกันตอนไปค่ายน่ะ”
ภูผาพยักหน้าเบาๆ ตอบรับ “ใช่ครับ”
เย้ากลับยิ้มๆ “น่ารักดีนี่ หน้าเขาเหมือนกันเลยนะพ่อลูกคู่นั้นน่ะ”
“ครับ” เด็กหนุ่มค่อยยิ้มออก เมื่อมารดาเปลี่ยนเรื่องสนทนา จนทำให้บรรยากาศบนรถคลายความอึดอัดลง
ขิมแขถามต่อ “ชื่ออะไรนะภู”
“ปลายฝนครับ”
“ปลายฝน...” ขิมแขทวนชื่อเบาๆ ถามออกมาอีกประโยค ขณะพารถเข้าโค้งของถนนที่กำลังมุ่งหน้ากลับสู่บ้าน “เกิดเดือนตุลา?”
“ใช่ครับ ทำไมคุณแม่รู้” เด็กหนุ่มถามกลับด้วยสีหน้าประหลาดใจ แล้วบอกต่ออย่างที่รู้มาจากเจ้าของชื่ออีกที “ฝนเล่าว่าชื่อนี้แม่ฝนตั้งให้น่ะครับ”
ขิมแขขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ถามอย่างไม่เคยซอกแซกถามใครแบบนี้มาก่อน
“แล้ว...แม่เขาไปไหน”
“อุบัติเหตุทางรถยนต์ครับ เสียชีวิตไปนานแล้วตั้งแต่ฝนสองขวบ”
ขิมแขครางอือในลำคอเป็นการตอบรับ ถอนใจเฮือก นึกสงสารเด็กสาวคนนั้นทันที แบบนี้เอง แล้วพ่อก็คงเลี้ยงลูกไม่เป็น อาจปล่อยปละละเลยจนทำให้เด็กสาวมีพฤติกรรมแบบนั้น แล้ววกเข้าเรื่องที่คาเอาไว้เมื่อนาทีก่อนหน้า “แผลของภู ใช่จากงานคอนเสิร์ตอะไรนั่นหรือเปล่า”
เด็กหนุ่มถอนใจเบาๆ เมื่อหลบเลี่ยงต่อไม่ได้อีกแล้ว พยักหน้าตอบรับ “ใช่ครับ ผมนัดฝนไปดูคอนเสิร์ตครับ”
เด็กหนุ่มยืดอกรับผิดเอง แม้ความจริงแล้ว ปลายฝนต่างหากที่ชวนตนไป พอปฏิเสธว่าไปไม่ได้ ทางนั้นก็งอนแล้วว่าจะชวนเพื่อนของเขาไปแทน
ภูผาเสียงอ่อยบอกเธอ “ขอโทษนะครับที่ภูโกหก”
ขิมแขยิ้มอ่อนใจ นึกถึงที่ภูผาโกหกว่าจะไปเข้าค่ายติววิชาการกับเพื่อน ที่ไหนได้ ลูกชายนัดสาวเที่ยวเสียแล้ว
ยังก่อน เธอยังไม่ว่าอะไรในตอนนี้ ตะล่อมถามต่อ
“ยังไงล่ะทีนี้ มันเกิดอะไรอีกจากนั้น”
“ฝนถูกพวกผู้ชายเกเรในนั้นรุมน่ะครับ แล้วก็ฉุดลากจะพาไปที่อื่น ผมเห็นท่าไม่ดีก็เลย...”
