3
ในเสี้ยววินาทีที่ทั้งคู่ได้บังเอิญสบตากัน นิรันดร์ก็ต้องขมวดคิ้วนิดหนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น
“เคยพบกันมาก่อนหรือเปล่าน่ะเหรอ ชาติก่อนหรือเปล่าคุณ...” เขาตอกหน้าเธอกลับด้วยท่าทีไม่แยแส ไม่ใส่ใจ
ได้ยินคำตอบ พร้อมสีหน้าแววตาของอีกฝ่าย ขิมแขหน้าเปลี่ยนสีในทันที ฉุกคิดขึ้นได้ เขาอาจเข้าใจผิด ว่าที่เธอถามไปเมื่อครู่นี้ คือการหยอดมุกจีบเขาอยู่ แล้วถอนใจเบา ๆ ไม่คิดแก้ไขเรื่องพวกนั้น
“สรุปเรื่องที่ผมถามเมื่อครู่ คุณจะเอาอย่างไร ให้โทรตามตำรวจเลยไหม เพราะเข้าข่ายล่วงละเมิดทางเพศอยู่นะ”
แม้จะถูกข่มขู่ซ้ำ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแต่ประการใด ขิมแขมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉยครู่เดียว ค่อยเลื่อนสายตาเลยไปทางบุตรชายของตัวเอง ว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งดุจแววตาของเธอในตอนนั้น
“ฉันขอฟังเรื่องราวทั้งหมดก่อน ถึงจะสรุปสิ่งที่ต้องทำต่อไปได้”
ชายผู้เป็นใหญ่ไม่ใช่แค่เรือนกาย แต่รวมไปถึงอำนาจจากการวางตัว แววตาและวาจา มองเธอราวกับมองผู้ร้ายต้องโทษประหารชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
ขิมแขเลิกสนใจเขาแล้วหันไปทางบุตรชาย มองตาลูกแล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง
“ภูผา เกิดอะไรขึ้น เล่าให้แม่ฟังหน่อยได้ไหม”
เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อนิ่งไปเพราะไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหนดี “…”
นิรันดร์มองสองแม่ลูกคู่กรณีของเขาแล้วเปลี่ยนมากอดอก ใบหน้ายังคงเรียบเฉยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ติดรำคาญใจ “เราพบลูกชายของคุณอยู่ในห้องกับลูกสาวของผมตามลำพัง”
“คุณชื่อภูผาหรือ”
เสียงถามสวนกลับแบบเรียบนิ่ง ทำเอาคนทั้งห้องเงียบกริบจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจ
ชายฉกรรจ์บางคนในห้องโถงถึงกับหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นแววตาของผู้เป็นนาย แต่แล้วขิมแขกลับไม่นึกสน เธอมองที่บุตรชายของตัวเอง เห็นว่ายังเงียบไม่พูดจาแก้ต่างให้ตัวเอง เลยหันไปถามทางชายร่างสูงใหญ่ด้วยท่าทีกดดันเขากลับบ้าง
“พอเห็นว่าอยู่ตามลำพังในห้องของลูกสาวตัวเอง คุณก็สั่งให้คนของคุณทำร้ายเด็กอย่างนั้นใช่ไหม”
เจ้าของบ้านหรี่ตามองเธอนิ่งสายตาครุ่นคิดเล็กน้อย นิ่งไม่ตอบ จังหวะถัดมานั่นเอง ภูผาถึงได้มีท่าทีอึกอักเอ่ยขึ้นบ้าง
“ผมถูกทำร้ายมาจากที่อื่นครับแม่ขิม”
ขิมแขหันขวับไปมองที่ภูผา รู้ได้ในตอนนั้นว่าบุตรชายของเธอกำลังประหม่าและต้องการกำลังใจ หากเรียกเธอว่า ‘แม่ขิม’ แสดงว่าใจคอเริ่มไม่ดีแล้ว และเธอต้องหาทางพาเขาออกจากสถานการณ์น่าอึดอัดแบบนี้ให้เร็วที่สุด มั่นใจว่าอบรมลูกมาดีพอ และลูกของเธอไม่มีทางทำอะไรร้ายกาจ อย่างที่ชายร่างยักษ์ตรงหน้ากำลังใส่ความอยู่เป็นแน่
‘ชื่อขิม’
พ่อเลี้ยงเดี่ยวนิ่ง คิดทบทวนอะไรอยู่ในใจเงียบๆ ละสายตาจากคู่กรณีมองไปที่บุตรสาวของตนเอง เมื่อได้ยินเสียงใสเอ่ยขึ้นหลังยืนเงียบมานาน
“ภูถูกทำร้ายมาค่ะ ลูกเลยพาภูมาทำแผลที่บ้านของเรา”
คนเป็นพ่อเอ่ยขึ้นด้วยถ้อยคำเข้มงวด
“พ่อยังไม่อนุญาตให้ลูกพูด”
“คุณพ่อฟังลูกก่อนสิคะ ลูกกำลังจะอธิบายให้ฟังอยู่นี่ไงว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง”
คนพ่อหรี่ตามองบุตรสาวของตัวเอง บอกกลับด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ลูกพูดได้ก็ต่อเมื่อพ่ออนุญาตแล้วเท่านั้น” แล้วหันไปทางผู้ปกครองของเด็กหนุ่ม กล่าวหาทางนั้น
“ลูกชายคุณคร่อมทับอยู่บนตัวของลูกสาวผม มีพยานเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดสี่คน”
เด็กสาวรีบร้องแย้งขึ้นอีกที “ไม่ใช่อย่างที่คุณพ่อเห็นนะคะ”
นิรันดร์ปิดตาลง ท่าทางของเขาคล้ายกับพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น เน้นเสียงกับบุตรสาวของเขา
“อย่า พูด อะไร จนกว่าพ่อจะอนุญาต”
ขิมแขมองสองพ่อลูกตรงหน้าด้วยสายตาเอือมระอา อดติงไม่ได้
“เผด็จการแบบนี้เอง ถึงเอาลูกไม่อยู่”
หนังตาของนิรันดร์กระตุกยิบๆ เมื่อถูกแย้งจากหญิงสาวแปลกหน้า เขามองเธอนิ่ง อย่างที่บรรดาลูกน้องรู้กันดี ว่าโทสะของนายกำลังพุ่งพล่านอยู่ ไม่เคยมีใครทำให้อารมณ์ของผู้เป็นนายขึ้นได้ง่ายราวกับเอาปรอทไปจุ่มในน้ำเดือดแบบนี้มาก่อน
เด็กสาวปลายฝนเห็นแบบนั้น รีบออกปากแย้ง
“คุณพ่อตัดสินจากภาพที่เห็นไม่ได้นะคะ”
สองพ่อลูกยืนประจันหน้ากัน แล้วเด็กสาวก็รีบพูดระรัวออกไปเร็วๆ “ลูกเป็นตะคริว แล้วภูก็ช่วยยืดกล้ามเนื้อให้ลูกค่ะ ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้นเลยนะคะ”
“อ้อ ที่แท้ความจริงก็ไม่ใช่อย่างที่เห็น”
เธอเสริมคำพูดปลายฝน ตามองไปยังพ่อเผด็จการที่ไม่ยอมรับฟังความเห็นของใครทั้งนั้นด้วยสายตาติดจะหมิ่นเขาอยู่เล็กน้อย
นิรันดร์เห็นท่าทีของเธอแล้ว สูดลมหายใจเข้าลึกจนเสียดปอดอีกครั้ง นานแค่ไหนแล้วที่เขาร้างลาการต่อปากต่อวาจาแบบนี้ หันไปทางบุตรสาวแทน แล้วว่า
“แต่ที่พ่อเห็นนั่น ลูกกำลัง...”
เด็กสาวเห็นแววตาของบิดา ก็หน้าบึ้ง ขัดท่านเสียก่อนที่บิดาจะกล่าวหาตนผิดเพี้ยนไป
“คุณพ่อเห็นอะไรคะ”
“ลูกกับมะ…” นิรันดร์บุ้ยปากไปทางภูผา ใช้สรรพนามเรียกทางนั้นราวกับเอ็นดูเสียเต็มประดา “มันกำลังคร่อมหนูอยู่นะปลายฝน ไม่เห็นจะเหมือนท่ายืดกล้ามเนื้ออะไรเลย”
พร้อมกันนั้นมีเสียงแทรกแย้งขึ้น
“คุณเรียกลูกชายของฉันว่า ‘มัน’ ”
“ก็ใช่ไง” นิรันดร์หลุดมาดในที่สุด เมื่อถูกยั่วยุจากอีกฝ่ายไม่เลิก แล้วย้ำคำเรียกอีกที อย่างต้องการยั่วโทสะเธอกลับบ้าง “ผมเรียกลูกชายของคุณว่า ‘มัน’ ”
ขิมแขยืนนิ่งไม่โต้กลับ เพราะเธอเองก็รู้ตัวว่ากำลังจะหลุดโทสะเช่นกัน แต่พอเห็นเขาระเบิดอารมณ์ออกมาก็ทำให้ฉุกคิดได้ว่าไม่ควรเติมเชื้อเพลิงลงไปในตอนนี้ คุยกันด้วยอารมณ์เรื่องไม่มีทางจบลงแน่วันนี้ อีกข้อคือเธอกำลังเสียเปรียบเขาอยู่ ทั้งคน ทั้งสถานที่ล้วนเป็นเขาที่ได้เปรียบ ในใจชักหวาดหวั่นว่าเธอกับภูผาจะออกจากบ้านหลังนี้ได้อย่างปลอดภัย ร่างกายครบสามสิบสองหรือไม่
