13 ถึงคราวซวย
เสียงรอสายดังขึ้นครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงเจ้าหน้าที่รับสายด้วยน้ำเสียงสุภาพ
เจ้าหน้าที่: บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน... สวัสดีค่ะ
พริมา: สวัสดีค่ะ พอดีรถของฉันมีปัญหาค่ะ ตอนนี้จอดอยู่ที่ลานจอดรถของห้างฟิวเจอร์ค่ะ
เจ้าหน้าที่: ไม่ทราบว่ารถของคุณลูกค้ามีอาการอย่างไรบ้างคะ
พริมา: เอ่อ... คือ... ยางมันแบนทั้งสี่ล้อเลยอะค่ะ
ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ อาจจะด้วยความประหลาดใจ เพราะเคสยางแบนพร้อมกันสี่ล้อไม่ใช่เรื่องปกติ
เจ้าหน้าที่: ยางแบน... ทั้งสี่ล้อเลยเหรอคะ...
พริมา: ค่ะ แบนสนิททั้งสี่ล้อเลยค่ะ
เจ้าหน้าที่: เอ่อ... ปกติแล้ว บริการของเราจะสามารถช่วยเหลือในกรณีที่ยางแบน 1-2 ล้อ โดยจะเปลี่ยนยางอะไหล่ให้ หรือเติมลมให้ในกรณีที่ยางไม่เสียหายหนักค่ะ แต่สำหรับกรณีที่ยางแบนพร้อมกันถึง 4 ล้อแบบนี้... เราไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้คุณลูกค้า ณ จุดเกิดเหตุได้ทันทีค่ะ
คำอธิบายของเจ้าหน้าที่ทำให้พริมารู้สึกใจเสียเล็กน้อย
พริมา: อ้าว!!!... แล้วฉันต้องทำยังไงคะ
เจ้าหน้าที่: เราจำเป็นต้องใช้รถสไลด์เพื่อยกรถของคุณลูกค้าไปที่อู่ที่ใกล้ที่สุด ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาในการประสานงานและรอรถสไลด์ค่ะ
พริมา: ใช้เวลาประมาณเท่าไหร่คะ
เจ้าหน้าที่: ตอนนี้... รถช่วยเหลือของเราติดภารกิจค่ะ คาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณสองถึงสามชั่วโมงเลยค่ะคุณลูกค้า
พริมาฟังแล้วรู้สึกท้อแท้ เวลาสองสามชั่วโมง... กับการมานั่งรอกลางลานจอดรถจนมืดค่ำแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องดีแน่
พริมา: ใช้เวลานานขนาดนั้นเลยเหรอคะ
เจ้าหน้าที่: ค่ะคุณลูกค้า ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าสะดวกจะรอไหมคะ ดิฉันจะจัดคิวและประสานงานรถสไลด์ให้เลยคะ
พริมายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง คิดถึงความเหนื่อย ความไม่ปลอดภัย และความยุ่งยากที่จะตามมา หากต้องยกรถไปที่อู่แล้วเธอยังต้องหาทางกลับบ้านเองอีก การแก้ปัญหานี้มันดูซับซ้อนและใช้เวลามากกว่าที่เธอจะรับมือได้ในสภาพแบบนี้
สุดท้าย... เธอตัดสินใจใหม่
พริมา: งั้นเอาเป็นคิววันพรุ่งนี้ตอนห้างเปิดได้มั้ยคะ
เจ้าหน้าที่: ได้ค่ะ เดี๋ยวขอทราบซื่อและเบอร์โทรติดของคุณลูกค้าด้วยนะคะ จะได้ล๊อกคิวเอาไว้ให้ค่ะ
พริมา: ค่ะ ชื่อพริมา เบอร์โทรเป็นเบอร์นี้เลยค่ะ
เจ้าหน้าที่: คุณลูกค้าสามารถติดต่อกลับแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตลอด 24 ชั่วโมงนะคะ แล้วพรุ่งนี้พอถึงคิวแล้วเราจะแจ้งไปอีกทีนะคะ
พริมา: ขอบคุณค่ะ
พริมาวางสายลง ความหวังริบหรี่ที่จะพึ่งบริการช่วยเหลือฉุกเฉินให้แล้วเสร็จทันภายในวันเดียวคงจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากสถานการณ์อันไม่ปกติที่เกิดขึ้นกับรถของเธอ ทั้งยุ่งยากและใช้เวลานานกว่าที่เธอจะรับมือได้คนเดียวในสถานการณ์เช่นนี้
หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ เวลาเกือบจะหกโมงเย็นแล้ว ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มลงเรื่อยๆ และดูเหมือนว่าฝนก็กำลังจะตั้งเค้าเสียด้วย อากาศเริ่มเย็นลงและมีความชื้นในอากาศ
“แย่แล้วสิ!!!...” พริมาพึมพำ เธอรีบเดินไปยังหลังรถของตนเอง ก่อนจะหยิบเอาร่มคันเล็กๆ ที่พับเก็บไว้ในช่องเก็บของออกมา แล้วเดินออกมาจากลานจอดทันที มุ่งหน้าไปยังบริเวณที่สามารถยืนโบกเรียกแท็กซี่ได้
พริมายืนรอรถแท็กซี่อยู่ริมฟุตบาท ร่มคันสวยถูกกางขึ้นเหนือศีรษะ ท่ามกลางความอึมครึมของท้องฟ้า หญิงสาวมองบนถนนที่มีรถราวิ่งผ่านไปมา เพื่อเตรียมพร้อมจะโบกมือเรียกพาหนะที่จะนำพาเธอกลับสู่โลกส่วนตัว
ทว่า... เพียงไม่นาน เม็ดฝนใส ๆ ก็เริ่มโปรยปรายลงมา สัมผัสเย็นเยียบแตะต้องผิวกายราวกับหยาดน้ำตาของท้องฟ้า จากหยาดเล็กๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นสายฝนที่โหมกระหน่ำ รุนแรงขึ้นทุกขณะ เหมือนความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาในใจของเธอเวลานี้
ร่างบอบบางภายใต้ร่มคันเดิมยังคงยืนหยัดรอคอยรถแท็กซี่อย่างอดทน แต่ก็ดูเหมือนโชคชะตาจะใจร้ายกับเธอ แท็กซี่แต่ละคันที่แล่นผ่านไป ล้วนมีแต่ผู้โดยสารใช้บริการเต็มทุกคัน ราวกับหัวใจของใครบางคนที่ถูกจับจองแล้ว และยากที่เธอจะแทรกเข้าไป
ในวันที่สายฝนโหมกระหน่ำราวกับฟ้ารั่วเช่นนี้ ผู้คนต่างโหยหาความสะดวกสบายไม่ต่างจากเธอ เฉกเช่นเดียวกับหัวใจของพริมาที่อ่อนแอในบางครั้งและก็โหยหาใครสักคนมาเคียงข้าง...ใครสักคนที่เป็นเหมือนร่มในวันที่ฟ้ามืดมิด
ภายใต้ร่มคันเดิมร่างบางยืนคงเดียวดายอยู่ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ก่อนจะพยายามกวาดสายตามองไปยังท้องถนนที่เริ่มพร่าเลือนไปด้วยม่านฝนหนาหนัก ทว่า...ความหวังเล็กๆ ยังคงจุดประกายอยู่ในใจ เธอภาวนาขอให้มีรถแท็กซี่สักคันที่ว่างจอดรับเธอ...
แล้วห้วงความคิดหนึ่งของพริมาก็หวนไปถึงใครบางคน ที่ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาในตอนนี้... พร่าเลือนลงทุกขณะ ราวกับภาพที่ไม่ชัดเจนในสายฝนที่ตกหนักเช่นนี้... ความถี่ในการมาหา... ข้อความที่เคยส่งมา... คำพูดหวานหูที่เคยกระซิบข้างกาย... ทุกอย่างดูเหมือนจะจางหายไปกับสายฝน
หยาดฝนเย็นเยียบสาดกระทบผิวกาย ราวกับตอกย้ำความเหงาในใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พริมาใช้มือข้างที่เหลือยืนกอดตัวเอง มองสายฝนที่เทกระหน่ำ ราวกับน้ำตาของท้องฟ้าที่เข้าใจความรู้สึกของเธอในตอนนี้... การรอคอยใครบางคนที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ มันช่างเดียวดายเหลือเกิน... เหมือนยืนอยู่ใต้ร่มคันนี้เพียงลำพัง
พริมาตัดสินใจหลีกเร้นสายฝนที่โหมกระหน่ำ เธอก้าวเข้ามาหลบใต้ชายคาของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง สายลมเย็นที่พัดโชยมาวูบหนึ่ง สัมผัสผิวกายที่เปียกชื้น ปลอบประโลมความเหนื่อยล้าในใจได้เพียงเล็กน้อย
ระหว่างรอให้สายฝนซาลง หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ปลายนิ้วเรียวเลื่อนไปบนหน้าจอ แตะเข้าไปในแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดีย ก่อนจะพิมพ์ข้อความสั้นๆ แจ้งให้ผู้ติดตามทราบถึงสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจในตอนนี้ และขอเลื่อนการไลฟ์สดขายสินค้าออกไปอย่างน่าเสียดาย
“ขอโทษนะคะทุกคน วันนี้ฝนตกหนักมากจริงๆ ค่ะ คงเปิดไลฟ์ตามเวลาไม่ได้ ไว้ฝนซาแล้วจะรีบกลับมานะคะ คิดถึงทุกคนค่ะ” พริมาพิมพ์ข้อความพร้อมอิโมจิส่งไป ก่อนจะถอนหายใจยาว มองสายฝนที่ยังคงเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย ความรู้สึกโดดเดี่ยวหวนกลับมาอีกครั้ง ท่ามกลางความวุ่นวายของผู้คนที่เดินผ่านไปมาใต้ชายคาเดียวกัน... เธอรู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้กลางทาง... อีกครั้ง
ไม่นาน แฟนคลับที่น่ารักก็เข้ามาส่งกำลังใจให้เธอมากมาย คอมเมนต์อบอุ่นของแฟนคลับทำให้เธอมีกำลังใจดีขึ้น แต่ในบรรดาข้อความเหล่านั้น กลับไร้ซึ่งข้อความของใครบางคนที่เธอแอบหวังลึก ๆ
ความเงียบงันจากเขาทำให้หัวใจของพริมาวูบไหว เธอตัดสินใจพิมพ์ข้อความส่งไลน์หาเขาโดยตรง ถ้อยคำที่กลั่นออกมาพร้อมกับความรู้สึกที่เริ่มก่อตัว ทว่า... ปลายทางกลับยังคงว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่สัญญาณว่าเขาจะอ่านมันเลย หนุ่มน้อยคนนั้นหายไปไหน... เขาหายไปจากโลกออนไลน์ของเธอมาหลายวันแล้ว ราวกับสายฝนที่ตกลงมาแล้วก็เงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกว้าเหว่ในใจของหญิงสาว
ความเหนื่อยล้าเริ่มเกาะกุมหัวใจของพริมาจนหนักอึ้ง ความท้อใจค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในความเงียบงัน สายฝนที่สาดกระเซ็นเข้ามาเมื่อครู่ทำให้เสื้อผ้าของเธอเริ่มเปียกชื้น สัมผัสเย็นเยียบยิ่งทำให้ความอ่อนแอในใจเริ่มประทุขึ้น
พริมาหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าสะพายของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง นิ้วเรียวเลื่อนไปบนหน้าจอ หวังจะพึ่งพาบริการรถโดยสารผ่านแอปพลิเคชัน แสงสว่างจากหน้าจอมือถือสะท้อนแววตาที่อ่อนล้าของเธอ แต่แล้ว... หญิงสาวก็ต้องถอนหายใจยาวอีกครั้ง เมื่อระบบจากแอปพลิเคชันดังกล่าวแจ้งเตือนให้เธอทราบถึงเวลาที่จะต้องรอคอย...ซึ่งมันก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง ไม่นะ!!!... เธอไม่ได้มีเวลารอได้นานถึงขนาดนั้น!!
สายฝนเริ่มซาลงเล็กน้อย ราวกับความเศร้าเริ่มบรรเทา หญิงสาวตัดสินใจก้าวเท้าออกจากชายคาอาคาร กลับมายืนรอคอยความหวังที่ริมฟุตบาทอีกครั้ง...
ทว่า...รถเมล์ประจำทางคันหนึ่ง ก็แล่นฝ่าสายฝนเข้ามาจอดเทียบที่ป้ายรถเมล์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เธอยืน
พริมาแทบไม่ต้องคิด หนทางเดียวที่จะกลับบ้านได้ในตอนนี้คือการใช้บริการรถสาธารณะ... และนั่นก็คือรถเมล์คันนั้น!!!
พริมาตัดสินใจอย่างรวดเร็วและไม่คิดจะรอคอยอีกต่อไป เธอตัดสินใจหุบร่มและยัดมันเข้ากับกระเป๋าสะพาย แม้ฝนจะยังคงโปรยปรายอยู่เล็กน้อยก็ตาม ร่างบอบบางกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังรถเมล์ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังเบียดเสียดกันรีบขึ้นไป
พริมารีบก้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นบนของรถโดยสารสองชั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพยายามเบียดแทรกตัวเข้าไปท่ามกลางผู้โดยสารที่แน่นขนัด ราวกับปลากระป๋อง แม้บรรยากาศภายนอกรถจะหนาวเหน็บจากสายฝนที่ยังคงโปรยปราย แต่อากาศภายในรถกลับอบอ้าว กลิ่นอับชื้นของเสื้อผ้าเปียกฝนคละคลุ้งไปทั่ว แต่ถึงอย่างนั้น... มันก็ยังดีกว่าที่เธอจะต้องยืนรอรถอยู่ท่ามกลางสายฝนเป็นเวลานานๆ แบบนั้น
ภายในรถโดยสารปรับอากาศสองชั้นที่แน่นขนัด ไม่มีแม้แต่พื้นที่ว่างสำหรับยืนสบายๆ พริมาจำต้องทรงตัวยืนเบียดเสียดอยู่ท่ามกลางผู้โดยสารจำนวนมาก และส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มผู้ชายที่ตัวสูงใหญ่กว่าเธออย่างเห็นได้ชัด
ไออุ่นจากร่างกายของผู้คนรอบข้างผสมกับไอน้ำจากเสื้อผ้าที่เปียกชื้น ทำให้บรรยากาศภายในรถอบอ้าวและอึดอัด พริมาพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับคนรอบข้างให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
