12. กลัวบทลงโทษ
สองวันต่อมาเรือนของท่านหมอก็ดูสงบลงมาก ชิงเยว่จึงมีโอกาสออกมาเดินสำรวจภายนอก เพื่อดูแม่น้ำที่ไหลผ่านหน้าเรือน และด้านหน้าก็มีสะพานทอดยาวข้ามไปอีกฝั่งด้วย
“สวยจัง ชีวิตชนบทเป็นเช่นนี้เองสินะ เจ้าโชคดีมากเลยนะตงตงที่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมดีเยี่ยงนี้” หันมาเอ่ยกับเจ้าสุนัขขนปุกปุย ซึ่งมันตามนางตลอดไม่ว่าจะทำอะไร และกลายเป็นองครักษ์ส่วนตัวไปแล้ว ช่างน่ารักเหลือเกิน
“โฮ่ง โฮ่ง” มันเห่าพร้อมกับกระโดดโลดเต้น วิ่งวนไปมาอยู่ด้านหน้า คงกลัวฟูหรงจะเดินลงไปกระมัง ใครมันจะทำเช่นนั้น อากาศเย็นจะตาย นางก็แค่อยากดูสายน้ำที่กำลังไหลไปต่างหาก ทุกอย่างมันชวนให้ใจสงบดียิ่งนัก
“อากาศเย็นจะออกมาทำไม” เสียงทุ้มดังมาพร้อมกับสัมผัสอบอุ่นบนตัว มันคือเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่มีอยู่แค่ตัวเดียวในเรือน ทว่าไป่ชวนก็สวมใส่ให้กับคนตัวเล็กแทนตนเอง
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ตอนมาถึงได้เห็นรอบนอกเพียงเล็กน้อย คาดว่ามันต้องสวยมากแน่เลยเดินออกมาดูเจ้าค่ะ” รีบบอกเกรงเขาจะดุเอาอีก ดูทำหน้าตาเข้าเถอะ อย่างกับคนจะมีรอบเดือน
“ถ้าญาติของเจ้าไม่ออกตามหาจนพบเข้าเสียก่อน ก็ยังมีเวลาอีกมากที่เจ้าจะชื่นชมมัน แผลก็ยังไม่หายดีหากไข้กลับจะทำเยี่ยงไร ถึงข้าจะเป็นหมอ ก็ควรให้ข้ามีเวลาพักผ่อนบ้างนะ” สิ้นคำเขาก็ช้อนอุ้มเอานางเข้าเรือนเสียอย่างนั้น
ชิงเยว่จึงได้แต่หดตัวไม่กล้าต่อต้าน หากเอ่ยอันใดออกมาคงได้ถูกท่านหมอบ่นจนหูชาเป็นแน่
‘เอาแต่ใจจัง อยากอุ้มก็อุ้ม ทำอย่างกับเป็นสามีภรรยากันจริง ๆ อย่างนั้นแหละ ไม่นึกอายสายตาผู้อื่นบ้างเลยหรือ’ ต่อว่าเขาในใจ ทว่ามันไม่ได้จริงจังเลยสักนิด
“หิวหรือยัง” ถามเสียงอ่อน พร้อมกับวางนางลงที่แคร่ในสวน ทว่าผู้ที่ตอบกลับเป็นเจ้าตงตงแทน
ไป่ชวนหันมาลูบหัวมันเบา ๆ เขาก็ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้ให้อาหารเจ้าตงตง ปกติถ้าลืมมันก็จะท้วงติง แต่รอบนี้มันคงเห็นเขาวุ่นวายอยู่กระมัง จึงไม่ส่งเสียงออดอ้อนให้ได้ยิน
“เดี๋ยวข้าจะไปทำอาหาร เฝ้าอยู่หน้าเรือนห้ามออกไปล่ะ”
“ข้าไม่ใช่สุนัขเฝ้าเรือนนะ” แหวใส่แผ่นหลังกว้างที่เดินจากไป ไป่ชวนจึงได้แต่ยกยิ้มไม่ให้นางเห็น
“ตงตง นายเจ้านี่ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ” บ่นพึมพำออกมา ผู้ฟังก็ได้แต่ครางหงิงใส่ ก่อนจะหมอบนอนข้างเท้านางอย่างน่าเอ็นดู ชิงเยว่จึงยอบกายนั่งลงเล่นกับมันอย่างสนุกสนาน
“ฮ่าฮ่า น่ารักจัง” เสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้นมา จนผู้ที่เดินเข้าครัวไปต้องชะเง้อมองที่หน้าต่างดูว่าเกิดอันใดขึ้น
“ทำอย่างกับไม่เคยมีสัตว์เลี้ยง” พึมพำเหมือนตำหนิ ทว่าริมฝีปากเขามันกลับยกขึ้นหนึ่งข้าง ก่อนจะหันมาสนใจกะทะต่อ
ทว่าไป่ชวนไม่รู้เลยว่าถ้อยคำที่ตนเอ่ยนั้นมันจริงดั่งว่า หญิงสาวที่นั่งเล่นอยู่กับเจ้าตงตง นางไม่เคยมีสัตว์เลี้ยงจริง ๆ ชีวิตของชิงเยว่ก็เหมือนถูกขังอยู่ในกรงทอง มีข้ารับใช้เต็มจวน อยากได้สิ่งไหนก็ได้ แต่นางกลับไร้ตัวตนในครอบครัวอันสูงศักดิ์
เพียงเพราะเกิดมาเป็นหญิง มิหนำซ้ำนางยังโผล่หัวออกมาก่อนน้องชายอีก เลยทำให้ชิงเยว่กลายเป็นคนไร้ตัวตนไปโดยที่เจ้าตัวก็ไม่ได้ทำอันใดผิด นอกจากเกิดมาเป็นสตรีเท่านั้น เด็กน้อยจึงถูกจองจำตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ทว่า ชิงเยว่ไม่ได้ถูกทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวเสียทีเดียว ภายในจวนนอกเมืองหลวง นางยังคงมีชีวิตที่ดี แค่ถูกจำกัดบริเวณไม่อาจออกไปไหนได้ไกลก็เท่านั้น
ส่วนมารดาก็มาเยี่ยมเดือนละครั้งพร้อมกับน้องชายฝาแฝด ชิงเยว่จึงไม่ได้รู้สึกอ้างว้างอันใด แม้ว่าบิดาจะไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของนางเลยก็ตาม เพราะผู้เป็นแม่ปิดบังเรื่องที่ตนให้กำเนิดฝาแฝดไว้ หากไม่ทำเช่นนี้ชิงเยว่อาจตายไปตั้งแต่เกิดแล้ว เพราะช่วงนั้นเกิดคำทำนายถึงกาลียุคพอดี
ดาวพิฆาตจะถือกำเนิดมาเป็นคู่ สร้างความวิบัติให้แก่ราชบัลลังก์ในภายภาคหน้า นี่จึงเป็นสาเหตุที่มารดาของชิงเยว่ต้องปกปิดการให้กำเนิดบุตรสาวบุตรชายในเวลาเดียวกันของตน ทั้งที่ยามนั้นโหรหลวงก็ไม่ได้ระบุเวลาว่าจะเป็นยามใด
“ไปล้างมือมากินข้าว” เสียงทุ้มดังมาขัดจังหวะ พร้อมกับสายตาคมดุจ้องทั้งคนและสุนัข เจ้าตงตงจึงเผลอแยกเคี้ยวใส่อย่างลืมตัว เพราะมันกำลังเล่นสนุกกับนายคนใหม่อยู่
“กล้าหรือ ประเดี๋ยวเฉดหัวออกไปทั้งคู่เลย” ขู่กลับบ้าง ทำเอาเจ้าขนปุกปุยถึงกับก้มหน้าหงุด อย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร เราออกไปเผชิญชะตากรรมกันข้างนอกก็ได้” เสียงกระซิบเปล่งออกมา ทำให้เจ้าตงตงยกคอหันมามองทันที พร้อมกันนั้นหางก็กระดิกไปมาอย่างชอบใจ
ไป่ชวนถลึงตาใส่เจ้าตงตงทันที หากในมือไม่ได้ถือถาดอาหารของคนเจ็บอยู่คงได้จัดการเจ้าสุนัขแปรพักตร์ของตนไปแล้ว “ถ้ากลับออกมาแล้วยังนั่งอยู่ที่เดิมจะโดนทำโทษทั้งคู่”
เจ้าตงตงได้ยินเช่นนั้น ก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปที่ประตู ก่อนจะใช้หัวดันเปิดให้ผู้เป็นนายอย่างเอาใจ
“อะไรกัน เมื่อครู่ยังเป็นพวกเดียวกันอยู่เลยนะ” บ่นพร้อมกับชี้นิ้วไปยังเจ้าก้อนน้ำตาล ที่นั่งอยู่หน้าประตู มิหนำซ้ำมันยังแสร้งทำเป็นไม่เห็นว่าชิงเยว่กำลังตำหนิมันอยู่
คำว่าลงโทษของไป่ชวนไม่ได้โหดอันใดนัก ทว่ามันกระทบต่อจิตใจมากกว่า เพราะท่านหมอจะไม่สนใจมันเลย ซึ่งตงตงนั้นทนไม่ได้ เกิดมาก็มีนายผู้นี้คอยดูแลมาตลอด หากเขาไม่พูดด้วยเหมือนคราวก่อน มีหวังมันขาดใจตายเป็นแน่
ชิงเยว่เห็นเช่นนั้นก็ลุกไปทำตามที่เขาสั่ง ขนาดสุนัขยังกลัว นางก็ไม่ควรทำให้เขาไม่พอใจ เพราะบทลงโทษอาจจะโหดก็เป็นได้ ควรทำตัวน่ารักเข้าไว้ท่านหมอจะได้เมตตามาก ๆ
เมื่อจัดการทำตามคำสั่งเขาแล้ว ชิงเยว่ก็กลับมานั่งที่ตั่งรอเขา จนกระทั่งคนตัวโตเดินออกมาแล้วตรงเข้าครัวไปอีกรอบ เพื่อนำอาหารมาให้นางและตงตง ที่นั่งกระดิกหางรออยู่
“รีบกิน ทีหลังอย่าแปรพักตร์อีก” ยังมิวายตำหนิสุนัขของตน ซึ่งมันชักจะเอาใหญ่แล้วช่วงนี้ ตั้งแต่มีฟูหรงมาอยู่ด้วย
“ชิ! หวงแม้กระทั่งหมา” บ่นพึมพำออกมา
“อะไรที่เป็นของข้า ข้าก็หวงทั้งนั้นแหละ” ตอบแล้วก็ยื่นถ้วยข้าวให้ พร้อมกับจ้องมองนางไม่วางตา
ชิงเยว่กะพริบตาถี่เมื่อได้ยินคำพูดเขา อดคิดเข้าข้างตนเองไม่ได้ว่าท่านหมอจะหมายถึงตัวนางด้วยหรือไม่ ก็ยามนี้ชิงเยว่คือภรรยาเขา นางก็ต้องเป็นคนของเขาด้วยน่ะสิ คิดได้ดั่งนั้นก็เผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่อถูกถ้วยข้าวในมือเขาเคาะลงที่หัวพอให้ได้สติ “อ๊ะ…! เจ็บนะ”
“สำออย” สิ้นคำเขาก็ได้เห็นดวงตาสวยค้อนขวับเข้าให้ ทว่าไป่ชวนกลับยกยิ้มไม่ได้ต่อว่าในสิ่งที่นางทำ “รีบกินจะได้กินยา ต้มไว้นานแล้วมันจะเย็นชืด” บอกเสียงอ่อนโยนก่อนจะนั่งลงข้างกัน วันนี้เขาไม่ได้พานางกินข้าวด้านใน แต่นั่งกันอยู่ที่แคร่ไม้ไผ่ด้านนอก โดยมีเจ้าตงตงหมอบกินอาหารอยู่ข้าง ๆ
แต่ยังไม่ทันไรมันก็ยกหัวขึ้นก่อนจะมองไปที่ประตู พร้อมกันนั้นมันก็ส่งเสียงขู่ ผู้เป็นนายจึงหันไปมองด้วย
‘ทหาร’ ชิงเยว่มองกลุ่มคนที่กำลังเดินตรงเข้ามา นางไม่ได้มีท่าทางตื่นกลัวเลยสักนิด ทว่ามือขาวกลับกำตะเกียบแน่น
“ท่านหมอ ข้าได้ยินว่าที่เรือนท่านมีคนเจ็บใช่หรือไม่ แล้วนี่ใครกัน? เหตุใดข้าไม่คุ้นหน้าเลย” รองหัวหน้าหน่วยวิหกเอ่ยถามเจ้าของเรือนด้วยท่าทางขึงขัง สายตาก็จับจ้องมาที่สตรีร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างกายท่านหมอประจำตำบล
“นางเป็นคนต่างถิ่นใช่หรือไม่ แล้วเป็นลูกเต้าเหล่าใครกันล่ะ เหตุใดมาอยู่ที่เรือนท่านได้” ถามย้ำเพื่อกดดัน
