ตอนที่ 7 ตัดไม้ข่มนาม (ep.3)
ขุนทองดีเน้นคำพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียดจริงจัง
“แต่ว่าคืนนี้เป็นเพ็ญเต็มดวงนะขอรับ คืนเพ็ญอาสาฬหบูชา”
“ดีนักแล กูใคร่จะสนองคุณของพ่อมันที่อุตสาหะบ่ายหน้าขอถอนศาสนามาถือพุทธ กูจะชำระแค้นให้มันได้นอนตายตาหลับในคืนเพ็ญอันเป็นมหากุศลอันยิ่งนี้”
ขุนทองดีพูดจบก็หันมามองหน้าทนายแสน
“มึงอย่าได้ช้าเจียวหนา เร่งไปทำตามที่กูบอก แล้วจงเร่งกลับมาก่อนที่อ้ายลูกแขกเซ็นนั่นมันจะออกไปนอกเขตขันธ์พัทธสีมา เดี๋ยววาสนาของมันจะด้อยหากมิได้ตายในเขตวิสุงคามสีมาแห่งนี้”
“ขอรับ”
ทนายแสนจำต้องรับคำสั่งด้วยใจที่เต้นแรง ในขณะที่ขุนทองดีก็เดินหลบไปอยู่ในที่มืดมองดูจมื่นศรีสุรนาทอธิษฐานจิตปักธูปเทียนวางดอกไม้ใกล้ ๆ จอมนาง
“พี่นี้ดีใจเป็นหนักที่ได้ประสบน้องเจ้า”
จมื่นศรีสุรนาทเอ่ยออกมาเมื่อก้มลงกราบพระหลังจากปักธูป ปักเทียนและวางดอกไม้เรียบร้อย เป็นเวลาที่ผู้คนต่างทยอยออกมาจากบริเวณโบสถ์
“เหตุใดต้องดีใจด้วยเล่า”
นางย้อนถามเมื่อเตรียมเดินออกมา โดยมีจมื่นศรีสุรนาทที่เดินเคียงข้าง มีมากิดและทองใบตามติด
“พี่ขอบอกตามตรงมิอ้อมค้อม ด้วยเหตุที่พี่นี้ต้องใจเจ้านัก ถูกชะตาเจ้าตั้งแต่คราแรกที่ได้เห็นและยิ่งได้อยู่ใกล้ ใจก็ยิ่งผูกสมัครใคร่ปรองดองอย่างแน่ชัด”
จอมนางรู้สึกขวยเขินระคนกระหยิ่มใจ พึงพอใจที่เขาพูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ครั้นจะแสดงให้เขาได้รู้ว่าตนเองนั้นไม่ได้รังเกียจเขา มิหนำซ้ำยังแอบมีใจสิเน่หาตั้งแต่คราแรกเช่นกันนั้น ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะเป็นหญิงหากใจเร็วนักก็จะถูกตราหน้าว่าง่าย คุณค่าและศักดิ์ศรีก็คงด้อยค่า เสื่อมราคา พาลจะทำให้ถูกมองไปถึงพ่อแม่ทำให้ท่านเสื่อมถอยไปในทางลบ
“หากเป็นเช่นนั้นเห็นทีคุณพระนายคงต้องลาออกจากราชการมาเป็นช่างทอง เรียนรู้การทำทอง หรือไม่ก็มาฝึกการทอผ้าที่เรือนคุณหญิงแม่ของข้าแล้วกระมัง จะได้ปรองดองสมใจ”
จมื่นศรีสุรนาทยิ้มเย็น
“หากน้องเจ้าเปิดโอกาสให้พี่เช่นนั้น พี่คงต้องหาเวลาแวะไปเพื่อฝึกปรือวิชาต่าง ๆ ให้เชี่ยวชาญและช่ำชองสมกับคำเชิญของน้องเจ้า ที่อุตส่าห์เชิญด้วยมิตรจิตมิตรใจที่เปี่ยมด้วยเมตตา”
จอมนางตวัดสายตาชำเลืองแลเพียงเพียงเศษเสี้ยววินาที ก่อนจะเร่งฝีเท้าหมายจะเดินไปยังท่าเรือ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ยังคงเดินเคียงข้างมาด้วย
“ขอแต่เพียงว่า เพลาที่พี่นี้ไปฝึกปรือนั้น ขอน้องเจ้าโปรดเมตตาจัดอาหารด้วยฝีมือของเจ้าที่ช่ำชองเสียนักมาให้พี่นี้ได้ลิ้มรสทุกครา เหตุเพราะพี่นี้ได้ยินผ่านหูมาว่าเจ้านั้นมีรสมืออันแสนเลิศล้ำยากจะหาสตรีใดทัดเทียมทั้งเครื่องคาวและเครื่องหวาน”
“หากปรารถนาเพียงลิ้มรสเครื่องคาวหวาน คงมิต้องเสียเวลาไปที่เรือนของข้าเพียงเพราะใคร่อ้างเรื่องการฝึกปรือหรอกหนาคุณพระนาย ด้วยเหตุที่คุณหญิงช้อย มารดาของท่านก็มีรสมือที่เป็นเลิศหาได้ยิ่งหย่อนว่าผู้ใดในสยามไม่”
จมื่นศรีสุรนาทยิ้มกว้าง
“อันฝีมือของแม่พี่นั้นเป็นเลิศกว่าฝีมือของสตรีใด นั่นเป็นเพราะว่าฝีมือของแม่พี่นั้นถูกจับจองด้วยความสิเน่หาของพ่อพี่แล้ว พี่นี้ในฐานะลูก หาได้คู่ควรไม่ พี่จำต้องหาแม่หญิงที่มีฝีมือเป็นเลิศ ทั้งงานบ้านงานเรือน ความละมุนละไมเพื่อมาเป็นศรีแก่หัวใจพี่"
จอมนางอมยิ้ม และก็พลอยทำให้ทองใบและมากิดต่างพากันอมยิ้มขวยเขินไปด้วยเมื่อได้ยินคำหวานของจมื่นศรีสุรนาท
“การจะหาแม่หญิงมาเป็นศรีแก่หัวใจคงมิได้หาได้เพียงแค่ราตรีคลี่ผ่าน หากดูเบาไปอาจจะเสียใจภายหลัง ลางทีสิ่งที่ปรากฏอาจจะมิเป็นดังที่ปรากฏก็เป็นได้”
จอมนางยังหาทางบ่ายเบี่ยงด้วยน้ำคำที่ชาญฉลาดทำให้จมื่นศรีสุรนาทคลี่ยิ้มอย่างสุขใจ
“แล้วเมื่อใดเล่าที่จะตัดสินได้ว่า พี่นี้สมควรได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งเดียวที่จะมีวาสนาได้อยู่ใต้แสงทินกรและจันทราในเรือนเดียวกับน้องเจ้า”
จอมนางคลี่ยิ้มน้อย ๆ
“อันเสาร์หินแปดศอกตอกสลักไว้ ผลักบ่อย ๆ เสาร์ยังคลอนเคลือนได้ อันน้ำใจของบุรุษนั้นไซร้ยากแท้หยั่งถึง หากมิผ่านแล้ง ผ่านฝน ผ่านหนาวสักสองขวบปี เห็นทีจะดูยากยิ่งนัก”
จมื่นศรีสุรนาทก้าวมาหยุดยืนขวางหน้าจอมนาง
“ขอบน้ำใจเจ้ามากนักที่เปิดทางแก่พี่ อย่าว่าแต่สองขวบปีเลย แม้สักสิบขวบปีพี่นี้ก็เต็มใจที่จะพิสูจน์ให้เจ้าได้ประจักษ์ชัดถึงน้ำใจของพี่”
จอมนางช้อนสายตามองสบตาเขาเพียงแวบเดียวแล้วก็มองที่มือของตน
“หากคุณพระนายเต็มใจถึงกระนั้น ข้าก็เต็มใจที่จะให้ท่านพิสูจน์ยาวนานถึงสิบขวบปี”
“พี่ก็พร้อมเต็มใจมิได้ขัด แต่เกรงว่าหากสิบขวบปีผ่านไป น้องเจ้าอายุเข้ายี่สิบหก พี่นี้เล่าก็สามสิบสาม คงงามหน้าทั้งสยามว่าดูใจกันนานเนิ่น กว่าจะได้ลูกยาออกมาเชยชมแล้วเลี้ยงจนเติบใหญ่ พี่นี้คงแทบคลาน”
เขาพูดพลางชำเลืองมองดวงหน้าที่หวานจับใจของนาง
“และยังเจ้าช่างน่าเสียดายนักที่เปรียบเสมือนดอกไม้งามยืนต้นปะทะแล้ง ปะทะหนาวอย่างเดียวดาย หมู่แมลงที่คอยเฝ้าหวังเชยชมเกสรคงต่างโผผินบินจรจากไปไกล เหลือเพียงพี่นี้ที่เฝ้าคอยมองด้วยใจปฏิพัทธ์อย่างน่าอนาถ มิต่างจากทินกรสาดแสงยันล่วง มิอาจฉาบทาบแม้รัศมีของดวงจันทราที่ฉายแสง”
จอมนางคลี่ยิ้มเมื่อช้อนสายตามองหน้าเขา เผยให้เขาได้เห็นรอยยิ้มที่สวยงามของนางซี่งไรฟันซี่สวยของนางไม่ได้เป็นสีดำเงางามเหมือนของสตรีชาวกรุงศรีทั่วไป เนื่องจากนางเป็นคนทันสมัยและมักคุ้นกับพวกฝรั่งมังค่าได้รับขนบจากต่างชาติหลายภาษาหลายธรรมเนียมจึงมีโอกาสได้เลือกตามความชอบของตน
“หากเป็นเช่นนั้นคงต้องรอวันที่เกิดสุริยคราสหรือจันทรคราสกระมัง ทินกรจะได้ประสบจันทราสมใจ”
จอมนางสัพยอกทำให้จมื่นศรีสุรนาทยิ้มกว้าง
“พี่ใคร่ขอความเมตตาจากน้องเจ้า อย่าเพิ่งหน่ายแหนงพี่นี้เลย ให้โอกาสพี่ได้รู้จักมักคุ้นกับเจ้า อย่าเพิ่งด่วนตัดสัมพันธ์อันดีนี้เลยหนา”
“ในเมื่อคุณพระนายอุตส่าห์ขอ ข้าก็เห็นสมควรจะยกให้ สองขวบปีก็คงเหมาะสำหรับการดูใจ”
เขายังคงยิ้ม
“ขอบน้ำใจเจ้านัก พี่นี้หาได้ต้องใจสตรีใดในสยามมาก่อนเก่า มุทำแต่งานเป็นข้ารับใช้พ่ออยู่หัวด้วยดี กลับบ้านก็ฟูมฟักเอาใจใส่บิดามารดา เพลานี้พี่เห็นสมควรเพราะประสบเจ้า เหมือนกามเทพแผลงศรเข้าทันใด เจ้าคือคนที่ใช่สำหรับพี่ ยากจะหาสตรีใดเทียบเคียงได้อีก”
“คารมคุณพระนายหาได้เหมาะจะเป็นมหาดเล็กมากผีมือไม่ เห็นควรว่าจะฝึกปรือเพื่อเป็นนักกลอนจะมั่นเหมาะกว่า”
นางช้อนสายตาตวัดมองเขาแล้วเดินเลี่ยงหลบไป โดยมีเขาเดินตาม
“คารมพี่นี้ออกจากก้นบึ้งของดวงใจ มิได้มีพร่ำเพื่ออวดสตรีใด มีก็แต่เจ้าเท่านั้น”
จอมนางอมยิ้มเมื่อเดินมาใกล้ถึงริมน้ำที่เรือลอยลำรออยู่
“เห็นทีว่าข้าต้องขอกลับเรือนก่อน ขืนอยู่ต่อไปอาจจะมิเหมาะนัก ขอคุณพระนายก็จงเร่งกลับเรือนเถิดหนา ด้วยฟ้ามืดครึ้มลงมาแล้วเกรงว่าอาจจะมีฝน”
“วันรุ่งพี่จะมาวัดเพื่อถวายผ้าอาบน้ำฝนร่วมเจ้า”
จอมนางตวัดสายตามามองเขาเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป ในขณะที่จมื่นศรีสุรนาทยังเผลอยืนมองดูนางอยู่ด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม โดยไม่ทันระวังว่าภัยกำลังจะคืบคลานมาถึงตัว
เมื่อจมื่นศรีสุรนาทมัวแต่ยืนมองดูจอมนางที่กำลังจะก้าวลงเรือ ทำให้คนของขุนทองดีก็กรูกันเข้ามาแล้วคมดาบของหนึ่งในจำนวนชายฉกรรจ์เกือบสิบ ก็ตวัดลงยังแผ่นหลังของจมื่นศรีสุรนาทอย่างจัง
“คุณพระนาย!”
มากิดร้องเรียกสุดเสียงเมื่อเขาหันมาเห็นจมื่นศรีสุรนาทถูกคมดาบ แต่ด้วยฝีมือและการฝึกฝนมาอย่างดี ทำให้จมื่นศรีสุรนาทสามารถหลบหลีกคมดาบของเหล่าชายฉกรรจ์ที่รุมเข้ามานั้นได้พร้อมกับชักดาบออกจากฝักอย่างรวดเร็วแล้วก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด มากิดรีบกระโจนเข้าใส่เพื่อช่วยเจ้านาย
แต่ว่าเสียงดาบที่กระทบกันนั้นทำให้ผู้คนที่กำลังจะกลับบ้านต่างก็หันไปมองแม้จะอยู่ในช่วงค่ำแต่เป็นคืนเดือนหงายก็ทำให้เห็นว่ากำลังเกิดการต่อสู้กันขึ้น หนึ่งในนั้นคือทองใบที่หันไปเห็นเหตุการณ์นั้น
“แม่หญิงเจ้าคะ ดูโน่นสิ!”
เมื่อทองใบร้องเรียกก็ทำให้จอมนางชะงักปลายเท้าที่เตรียมจะก้าวลงเรือหันไปตามเสียง ฉับพลันหัวใจของนางไหววาบ
“คุณพระนายถูกซุ่มทำร้ายเจ้าค่ะ”
ทองใบรีบก้าวเดินไปหยุดประชิดร่างบางของจอมนาง
“ผู้ใดกันถึงกล้าซุ่มทำร้ายคนในเขตอาราม”
จอมนางเอ่ยออกมาก่อนจะหันไปมองบ่าวชายที่พี่ชายของนางส่งมา
“พวกเจ้าจงไปดูทีเถิด แล้วหาทางช่วยจมื่นศรีสุรนาทให้จงได้”
“แต่พวกข้าเกรงว่า ภัยอาจจะลุกลามมาถึงแม่หญิงได้ ข้าใคร่ขอเชิญแม่หญิงจงรีบลงเรือแล้วกลับเรือนเถิดนะขอรับ”
จอมนางหันไปมองหน้าหนึ่งในบ่าวของเปรม
