ตอนที่ 6 ตัดไม้ข่มนาม (ep.2)
“ไหว้คุณหญิงท่านสิลูกจอมนาง คุณหญิงท่านเป็นภริยาของท่านเจ้าพระยาภักดีพิชัย เป็นสหายคนสนิทของท่านเจ้าคุณพ่อเชียวนะลูก”
จอมนางกระพุ่มมือไหว้คุณหญิงช้อยอย่างนอบน้อม แล้วลดมือลงนั่งก้มหน้านิ่ง แต่คุณหญิงช้อยค่อย ๆ ยื่นมือเรียวไปเชยคางมนขึ้นพิศมอง
“งามวิลาศล้ำเลิศนักนะเจ้า งามเกินสตรีใดในสยาม ปากคอคิ้วคาง ผิวพรรณ อากัปกิริยา งามพร้อมสรรพจริงเจียว”
คุณหญิงช้อยเอ่ยชม
“ขอบน้ำใจคุณหญิงมากที่เมตตาจอมนาง ไหว้พี่เขาสิลูก ท่านจมื่นศรีสุรนาท”
คุณหญิงอรแนะนำต่อ ทำให้จอมนางยกมือไหว้เขาอย่างงดงาม โดยที่จมื่นศรีสุรนาทก็ยกมือรับไหว้พลางมองสำรวจดวงหน้าเรียวสะอาดนั้นอย่างเต็มตา
“ฉันนำอาหารมามอบให้แม่ท่านเจ้าค่ะ นำมาเผื่อ เพราะอย่างไรเสียแม่ท่านก็ต้องมา ไม่ได้มีเวลาไปกราบที่เรือนเลย”
คุณหญิงช้อยหันไปหายายทิพย์
“ขอบน้ำใจแม่มาก แกงสองอย่างนี้ หลานสาวบ่นอยากชิมอยู่พอดี”
คุณหญิงช้อยหันไปหาจอมนาง
“ได้ข่าวว่าเข้าไปเรียนการทำเครื่องหวานในวังหลังมิใช่หรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ”
จอมนางตอบ
“จอมนาง แบ่งขนมหวานให้คุณหญิงท่านกับคุณพระนายไปด้วยสิลูก”
คุณหญิงอรร้องบอกลูก
“เจ้าค่ะ”
จอมนางหันไปดูขนมที่เธอเตรียมมาใส่กระทง มีทั้งทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทอง ทองพลุ ทองโปร่ง
“ขอบน้ำใจน้องมาก”
จมื่นศรีสุรนาทรับขนมจากมือของนางที่ตั้งใจส่งให้บ่าวแต่เขายื่นมือมารับแล้วมองสบตาที่หวานปนเศร้าของนาง ทำให้นางรีบละมือแล้วลดสายตามองต่ำอย่างระมัดระวังทันที
“วันนี้ฉันทำไข่กบ นกปล่อย บัวลอย อ้ายตื้อ(เม็ดแมงลัก ลอดช่อง ข้าวตอก ข้าวเหนียว ขนม 4 อย่างนี้ใส่น้ำกะทิเหมือนกัน) เป็นขนมพื้น ๆ ก็เลยไม่ได้เตรียมมาให้ เอาไว้วันรุ่งเป็นวันเข้าพรรษา เรามาถวายเทียนร่วมกัน ฉันจะนำเครื่องคาวและเครื่องหวานมากำนัลแก่ยายท่านอีกนะเจ้าคะ”
คุณหญิงช้อยเอ่ยออกมา
“วันรุ่งฉันก็จะให้จอมนางเตรียมเครื่องหวานมาเผื่อคุณหญิงด้วยนะ”
คุณหญิงอรช่วยเสริม คุณหญิงช้อยก็ยิ้มรับ
“คุณหญิงคุณเหยิงอะไรแม่อร เรากันเอง อย่าไปถือนักเลยยศศักดิ์ พูดกันเหมือนเดิมเถอะ”
คุณหญิงช้อยหันมาหาจอมนางก่อนจะรวบมือบางไว้แน่นแล้วตบเบา ๆ
“รู้จักพี่เขาแล้วนะลูก หากได้ปะหน้ากันเมื่อไปในวังก็ทักทายกันบ้างนะจ๊ะ อย่าได้หวั่นเกรงภัยจากพี่เขาเลย”
จอมนางคลี่ยิ้มน้อย ๆ แต่ไม่ได้ปลายตาไปมองหน้าจมื่นศรีสุรนาท ทั้งที่ในใจก็อยากจะตวัดสายตาไปมองเขาอีกสักครั้งแต่ก็มิกล้าพอ
ซึ่งตรงข้ามกับจมื่นศรีสุรนาท ที่แสดงออกการถึงความพึงใจจอมนางตั้งแต่แรก เขาเผลอมมองนางแทบไม่ละสายตา แม้กระทั่งคุณหญิงช้อยคลานออกจากที่ตรงนั้นหมายจะกลับไปยังที่นั่ง แต่เขาก็ยังเผลอมองนางอยู่ จนยายทิพย์ต้องกระแอมขึ้นมาเบา ๆ ทำให้เขารีบคลานตามแม่ไป
จากนั้นเมื่อพระภิกษุขึ้นศาลา ก็สมาทานรับศีล ฟังเทศน์กันตามปกติ แต่ตอนกลับจมื่นศรีสุรนาทยังอดที่จะเดินมาส่งยายทิพย์กับคุณหญิงอรที่เรือเสียมิได้ ด้วยการช่วยยกข้าวลงลงเรือ แต่ที่สำคัญ เขามีโอกาสได้เห็นหน้าจอมนางใกล้ ๆ ซึ่งเขาพอใจมาก แต่สำหรับขุนทองดีกลับไม่พอใจและเกิดความเกลียดชังเขามากขึ้น
ขุนทองดีกระชับดาบในมือเดินจ้ำไปยังเรือของคุณหญิงช้อยที่รอจมื่นศรีสุรนาทกลับไป แต่ทนายแสนรีบวิ่งเข้าไปขวางทันที
“ท่านขุนขอรับ”
“หลีกไปอ้ายแสน กูจะเอาเลือดหัวมาล้างตีนกูให้จงได้”
ขุนทองดีพูดโพล่งออกมาด้วยโทสะ
“มิดีดอกขอรับ ด้วยสถานที่นี้คืออาราม ผู้คนมากนัก และที่สำคัญ จมื่นศรีสุรนาทมีฝีมือฉกาจนัก ข้าเกรงว่า..”
ทนายแสนก็ยังไม่กล้าจะพูดออกมาเพราะว่าบาดแผลของขุนทองดีก็ยังไม่หาย หากจะโดนซ้ำคงเจ็บหนักและยิ่งไปกว่านั้นหากเรื่องรู้ถึงท่านออกพระศรีบดินทร์ฤาชัย พ่อของขุนทองดี เห็นทีจะแย่
“นี่มึงดูหมิ่นดูแคลนกู ว่าจะเสียทีให้มันอีกครากระนั้นหรือ”
ขุนทองดีแผดเสียงก้องด้วยอารมณ์ที่ขุ่นจัด ทำให้ทนายแสนได้แต่ก้มหน้างุด
“ก็ได้ ฝากไว้ก่อน หากวันใดมีโอกาส กูจะมิยอมละทิ้งโอกาสนั้น เพลานี้มึงหักหน้ากูด้วยการแสดงตนบนอาราม ผูกสมัครอย่างเปิดเผย แต่กูก็หาได้ยอมจำนนหมดหนทางไม่ กูจักให้พ่อกูไปสู่ขอแม่หญิงซะในวันรุ่งให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป”
ขุนทองดีพูดจบก็มองไปที่จมื่นศรีสุรนาทซึ่งกลับมาหาแม่ที่เรือแล้วก็มุ่งหน้ากลับเรือน ในขณะที่ขุนทองดีก็กลับเรือนหมายจะพูดจาปราศรัยกับออกพระศรีบดินทร์ฤาชัย ผู้เป็นพ่อให้เด็ดขาดกันไป ฝ่ายจมื่นศรีสุรนาทก็ส่งมากิดให้ไปบอกบ่าวไพร่ให้จัดเตรียมดอกไม้ ธูปเทียนสำหรับเวียนเทียนในตอนพลบค่ำของวันนี้ ด้วยเขาหมายใจว่าจะได้พบจอมนางอีกอย่างแน่นอน
ดอกบัวที่จับกลีบมาพับซ้อนลดหลั่นกันอย่างสวยงามประณีต ประกอบด้วยธูปเทียนที่ปักอยู่ในกรวยของใบตองที่พับอย่างงดงามเรียบร้อยเหมาะตาถูกลำเลียงไปที่เรือ ตามด้วยร่างโปร่งบางอรชรของจอมนาง ซึ่งเย็นนี้นางสวมสไบแพรสีเหลืองจำปา นุ่งซิ่นไหมยกดอกจีบหน้านางสีน้ำเงินราชาวดีคาดเข็มขัดทอง สวมสร้อยคอ สวมกำไรทองที่แขนซ้อนสองวงกับแหวนที่นิ้วชี้ทั้งสองข้าง
“พี่ท่านไม่ไปด้วยข้าหรอกรึ”
จอมนางหันไปมองหน้าพี่ชายที่เป็นนายช่างทองพระคลังมหาสมบัติ ชื่อเปรม ชายหนุ่มวัยสิบเก้าปีที่ดูสง่างามองอาจร่างใหญ่โตกำยำ สวมเสื้อคอกลมนุ่งโจงกระเบนมีผ้าขาวคาดเอว
“เจ้าไปเถอะนะ มิต้องเกรงภัยใด พี่ส่งบ่าวฝีมือดีตามเจ้าไปคุ้มกันให้แล้ว”
ช่างเปรมบอกน้องสาว
“แล้วพี่ท่านจะไปที่ใดเล่า”
นายช่างเปรมอมยิ้ม
“คงมิพ้นแม่ช้องมาศบุตรีท่านออกพระศรีบดินทร์ฤาชัยเป็นแน่”
จอมนางเอ่ยถึงชื่อของหญิงสาววัยไล่เลี่ยกับตน เป็นลูกสาวคนสุดท้องของออกพระศรีบดินทร์ฤาชัย และยังเป็นน้องสาวคนละแม่กับขุนทองดีอีกด้วย
“นางงดงามเกินกว่าคำร่ำลือ สมแล้วที่พี่ท่านใฝ่ปองนาง นางนั้นมีปัญญาไวนัก ร่ำเรียนสิ่งใดก็จดจำได้แม่นยำ”
นายช่างมองหน้าน้องสาว
“นางอยู่วังร่วมด้วยเจ้า พอจะมีเวลาได้ปะหน้านางเป็นการส่วนตัวบ้างหรือไม่เล่า”
“หาสำคัญที่ข้า เป็นด้วยพี่ท่านก็มีสามารถมากอยู่มิใช่หรือ มิเช่นนั้นค่ำคืนนี้คงมิดูประหนึ่งองค์อินทร์ได้ยลนางเทพอัปสรท่ามกลางจันทราที่ไร้เงาของเมฆหมอกบดบัง จึงดูงามสรรพและหอมกรุ่น”
จอมนางพูดพลางชะโงกหน้าไปใกล้พี่ชายด้วยการสูดดมกลิ่นแป้งร่ำและน้ำปรุง ทำให้พี่ชายนั้นยิ้มขวยเขิน เหมือนเด็กน้อยที่ถูกจับพิรุธได้ว่าซ่อนของหวงเอาไว้ที่ใด
“ไปเถอะนะพี่ท่าน อย่าได้กังวลกับข้า ข้าเป็นบุตรีของเจ้าพระยาพานทองเพชรรัตน์เจียวหนา คงมิมีผู้ใดหาญหักมาราวีได้ง่าย ๆดอก”
“หากเป็นเช่นนั้นขอน้องเจ้าเร่งไปเถิด”
จอมนางยิ้มให้พี่ชายก่อนจะก้าวลงเรือโดยมีบ่าวหญิงทองใบนั่งไปในเรือลำเดียวกันพร้อมฝีพายหน้าหลังสองคนและบ่าวชายฉกรรจ์ตามติดในเรือลำหลังอีกสี่คน
หลังจากไหว้พระ รับศีลสวดมนต์แล้ว พระสงฆ์ก็เดินนำวนรอบพระอุโบสถโดยมีฆราวาสชายเดินถัดจากพระตามด้วยฆราวาสหญิง สวดมนต์บทพุทธคุณในรอบแรก รอบสองสวดธรรมคุณ รอบสามสวดสังฆคุณ ในขณะที่เดินวนรอบโบสถ์ ญาติธรรมทั้งหลายก็พนมมือถือดอกไม้ธูปเทียน ตามหลังพระคุณเจ้าแล้วก็เปล่งเสียงสวดมนต์ออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ขณะนั้นจมื่นศรีสุรนาทก็ชะลอฝีเท้าที่ก้าวเดินให้ช้าทัดเทียมกับจอมนางที่เดินไป ทำให้นางตวัดสายตาไปมองเขาเล็กน้อยก่อนจะพยายามทำใจให้เป็นสมาธิ แม้ว่าในใจจะเต้นโครมครามก็ตาม แต่ภาพที่ทั้งสองเดินเคียงคู่กันวนรอบโบสถ์นั้น สร้างความกินแหนงแคลงใจให้ขุนทองดีอย่างเหลือล้น
ขุนทองดีพยายามคิดว่าในเขตอารามคงไม่เหมาะที่จะทำอะไร แต่จมื่นศรีสุรนาทกลับแสดงออกมาว่าพึงพอใจแม่หญิงจอมนางอย่างเปิดเผย เหมือนจะประกาศให้ชาวบ้านได้รับรู้ว่าเขามีใจให้นาง
“ท่านขุนขอรับ!”
ขุนทองดีอดทนเดินเวียนเทียนจนครบสามรอบแล้วก็รีบปลีกตัวออกไป ทำให้ทนายแสนรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว
“มึงเร่งไปรวบรวมไพร่มีฝีมือมาให้กูสักห้าหกคนบัดเดี๋ยวนี้”
“จะให้พวกมันไปทำสิ่งใดหรือขอรับ”
“อ้ายเหง้างอก มึงมิเห็นหรอกหรือว่า อ้ายฮาริสมันทำตัวเป็นหอกข้างแคร่ มิเกรงใจสายตาของผู้ใด มันยืนกรานประกาศว่ามีใจสมัครด้วยแม่หญิงของกู ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ไยกูต้องประวิงเวลาให้ชีวิตมันเป็นอิสระอยู่ยงต่อไปได้เล่า”
