บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 5 ตัดไม้ข่มนาม (ep.1)

วันอาสาฬหบูชา ชาวบ้านทั้งสาวทั้งแก่มุ่งหน้ามารวมกันที่วัด ต่างก็จัดเตรียมเครื่องคาวหวานมากันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นขนมชะมด ขนมครก ขนมกง ขนมเบื้อง ลอดช่อง ทองหยิบ ทองหยอด ทองเอก ฝอยทอง ขนมทองโปร่ง ขนมทองพลุ ขนมสำปันนี ขนมไข่เต่า

ส่วนอาหารคาวก็มีอาหารของชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกส แต่ได้ผสมผสานกับไทย อย่างเช่น ขนมจีนไก่คั่ว แกงเหงาหงอด ต้มมะฝาด และก็มีอาหารของชาวเปอร์เซียที่คนไทยนำมาผสมกับรสชาติไทยแล้วทำเป็นอาหารที่รสชาติดี นั่นก็คือแกงมัสมั่น คนไทยสมัยก่อนนิยมกินปลา สัตว์น้ำ กุ้ง หอยซึ่งเป็นสัตว์เล็ก ก็จะมีอาหารประเภทผัก น้ำพริกเป็นอาหารจานหลัก เพิ่งจะเริ่มกินสัตว์ใหญ่ประเภทหมูหรือเนื้อก็เมื่อตอนที่ชาวต่างชาติเข้ามาอยู่ ได้มีการนำประเพณีการกินเข้ามาแลกเปลี่ยนกัน

ในงานบุญวันอาสาฬหบูชาวันนี้ลูกผู้ดีมีเงินหรือยิ่งแล้วใหญ่เป็นลูกขุนนางก็จะแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสวยงามประณีตพิถีพิถันทั้งผ้าห่มสไบแพรพรรณและเครื่องประดับ พรั่งพร้อมด้วยบ่าวไพร่ที่แสดงให้เห็นถึงฐานะของแต่ละคน

วันนี้จอมนางมากับคุณหญิงอรและยายทิพย์ของนาง ในชุดผ้าซิ่นไหมยกหน้านางสีน้ำเงินแก่ ห่มสไบแพรสีเหลือง (ดอกกะบอก) คาดทับด้วยเข็มขัดทอง สวมกำไลข้อมือและแหวนไพลินเข้ากับผ้านุ่ง

“ลำเลียงเครื่องคาวหวานขึ้นไปเร็วเข้า”

คุณหญิงอรหันมาบอกบ่าวไพร่ที่ยกถาดอาหารที่บรรจงแกะสลักผักและผลไม้แทนภาชนะที่บรรจุอาหาร มีการเย็บใบตองรองถาดอย่างสวยงาม รวมถึงดอกบัวที่นำมาพับซ้อนกัน

“ผู้คนวันนี้อุ่นหนาฝาคลั่งดีแท้นะเจ้าคะแม่ท่าน”

แม่อรหรือคุณหญิงอร แต่ส่วนมากแม่อรไม่ค่อยสนใจเรื่องยศตำแหน่งเท่าไหร่นัก หันไปพูดกับยายทิพย์ผู้เป็นมารดา ก่อนจะหันไปมองดูจอมนางที่จัดสำรับขึ้นเตรียมถวายพระภิกษุสงฆ์

วันนี้มีอาหารมากมาย แกงมัสมั่นเนื้อ แกงเทโพ ขนมจีนน้ำยา แกงคั่วส้มหมูป่าใส่ระกำ น้ำพริกลงเรือและอีกหลากหลาย ส่วนมากคนสมัยนี้จะทำอาหารจากธรรมชาติไม่มีการใส่สีกลิ่นสังเคราะห์ อยากได้สีเขียวก็หาได้จากใบเตย อยากได้สีส้มก็ได้จากเปลือกดอกกรรณิการ์ อยากได้สีแดงก็มาจากแตงโมหรือดอกกุหลาบ

ส่วนรสเปรี้ยวก็จะได้จากมะดัน ระกำ หรือมะนาว มะขาม รสเผ็ดก็มาจากเครื่องเทศของพวกแขก ของไทยก็มีพริกไทย ดีปลีที่มักใส่ในแกงคั่วแห้ง

“นั่นมันคุณหญิงช้อย เมียของท่านเจ้าพระยาภักดีพิชัยนี่เจ้าคะ ใคร่รู้จังว่าคุณหญิงจัดเตรียมสำรับชนิดใดมาถวายท่านสมภาร”

เสียงของบัวเผื่อนที่เอ่ยออกมาเมื่อหันไปเห็นคุณหญิงช้อย แม่ของจมื่นศรีสุรนาทก็รีบหันกลับมาหาคุณหญิงอรทันที ทำให้คุณหญิงอร ยายทิพย์แม้แต่จอมนางก็หันไปมองตาม แต่แล้วหัวใจของจอมนางก็ไหววาบขึ้นมาในบัดดล เมื่อมองเห็นชายหนุ่มใบหน้าแขกผิวฝรั่งที่เขาเดินชนนางที่ตลาดเมื่อวันวาน

“แม่หญิงเจ้าคะนั่นมัน”

ทองใบหันมากระซิบกับจอมนางเมื่อเห็นหน้าจมื่นศรีสุรนาทที่มองตรงมา ทำให้จอมนางแสร้งทำเป็นไม่สนใจหยิบจับจัดอาหารต่อไป แต่ทว่าใบหูกลับตั้งใจฟังสิ่งที่บัวเผื่อนหันมาพูดต่อกับคุณหญิงอร

“ ถ้าดูไม่ผิดคงเป็น แกงเหงาหงอดแล้วก็ ต้มมะฝาด บ้านนั้นได้ข่าวมาว่ารสชาติของอาหารคาวไม่เป็นรองใครนะเจ้าคะ”

บัวเผื่อนพูดต่อ ทำให้จอมนางหันมามองหน้ายายทิพย์

“อะไรคือแกงเหงาหงอดกับต้มมะฝาดหรือเจ้าคะยายท่าน”

ยายทิพย์ยิ้มเย็น

“แกงเหงาหงอดก็คล้ายกับแกงส้มของเรานี่แหละลูก แต่วิธีทำต่างออกไป เมื่อถึงฤดูน้ำหลากจะมีการจับปลาสังกะวาด มาทำแกง ก็ล้างเมือกออกจากตัวปลา แล้วขัดด้วยแกลบจนหนังขาว เอาไส้ออกแล้วหั่นเตรียมไว้ พริกแกงตำแบบแกงส้ม โดยใช้ทั้งพริกแห้งและพริกสดสีเหลืองตำกับหัวหอมมากหน่อย และใส่กระเทียมด้วย ใส่กะปิและกระชาย เวลาแกงมาละลายน้ำกรองด้วยผ้าขาวบาง เอาแต่น้ำไปต้มจนเดือดจึงใส่ปลา ปรุงรสด้วยเกลือ มะนาว ไม่ใส่มะขามเปียก และไม่ใส่น้ำตาล แกงจะออกรสเค็มและเปรี้ยว ก่อนกินก็ใส่ใบโหระพาลงไป”

จอมนางยิ้มหวานรู้สึกพึงพอใจกับคำตอบที่ชัดเจนของยาย แต่ทว่านางแทบไม่รู้ตัวเลยว่า ได้ตกเป็นเป้าสายตาของบรรดาหนุ่ม ๆ บนศาลานั้นโดยเฉพาะจมื่นศรีสุรนาทที่จ้องมองนางแทบไม่วางตา จนทำให้ขุนทองดีขยับดาบแล้วขยับดาบอีก

“แล้วต้มมะฝาดละเจ้าคะยายท่าน”

“ต้มมะฝาด คล้ายต้มจับฉ่ายของคนจีน แต่ใส่ลูกผักชี ยี่หร่า ใบกระวาน กานพลู รากผักชี กระเทียม และขมิ้นตำจนละเอียด หั่นกะหล่ำปลี ผักคะน้า หัวไชเท้า ต้นหอม ผักชี เรียงลงในหม้อ แล้วค่อยใส่หมู เป็ด ไก่สดลงไปบนผัก หรือจะใส่เนื้อวัวด้วยก็ควรต้มให้นิ่มก่อน วางสลับกันเป็นชั้น ๆ ไปเรื่อยพร้อมกับโรยเครื่องปรุงที่ตำไว้แล้วลงบนผักและเนื้อ ใส่น้ำแกงพอสมควร แล้วปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปีบ และน้ำส้มสายชู ต้มเคี่ยวจนผักเปื่อยเนื้อนุ่มก็เป็นอันเสร็จ”

ยายทิพย์ตอบทำให้จอมนางหันไปมองหน้าแม่อร

“ไยลูกมิเคยได้กินของแบบนี้เลยล่ะเจ้าคะแม่ท่าน”

คุณหญิงอรยิ้มเย็น

“แม่ก็เห็นลูกคลุกคลีอยู่กับพวกฝรั่งมังค่า ก็นึกว่าจะเบื่อ มิหนำซ้ำยังมีคุณท้าวหลายนางก็อยู่ในวัง สอนทำอาหารอีกด้วย”

“แม่ท่านเข้าใจผิดแล้วกระมัง ลูกนี้หาได้ชิมรสแกงสองอย่างนั้นไม่ เพิ่งเคยได้ยินชื่อก็เห็นจะวันนี้”

จอมนางยิ้มกว้างแล้วหันไปหายายทิพย์

“ถ้าเป็นเช่นนั้น ขอยายท่านโปรดเมตตาหลาน ช่วยทำแกงสองอย่างนี้ให้หลานได้ลิ้มรสสักคราได้ไหมเจ้าคะ”

ยายทิพย์ยิ้มกว้างก่อนจะกลายเป็นหัวเราะแผ่ว ๆ

“คงจะไม่ต้องแล้วกระมัง”

ยายทิพย์ตอบพร้อมกับหันไปรับไหว้คุณหญิงช้อยที่คลานมาใกล้ท่านพร้อมกับแบ่งอาหารส่วนหนึ่งมาส่งให้ โดยมีจมื่นศรีสุรนาทเป็นผู้ที่ถือตามแม่ของเขามา

“นี่คุณยายทิพย์ และคุณหญิงอร ภริยาของท่านเจ้าพระยาพานทองเพชรรัตน์ ไหว้เสียนะคุณพระนาย”

คุณหญิงช้อยแนะนำให้ลูกชายรู้จักยายทิพย์และคุณหญิงอร เขาก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ท่ามกลางสายตาของคุณหญิงอรและยายทิพย์ รวมถึงบ่าวไพร่ที่ต่างเผลอมองด้วยความชื่นชม มีเพียงจอมนางที่แสร้งทำไม่ใส่ใจนัก แต่ในใจของนางมันเต้นโครมครามเสียยกใหญ่ ยิ่งเมื่อเขานั่งลงใกล้ ๆ หัวใจนางก็ยิ่งเต้นแรงเกิดอาการประหม่าขึ้นมาในบัดดล

“นี่บุตรของฉันเจ้าค่ะแม่ท่าน เป็นบุตรโทนที่มาเกิดเพียงลำพังไม่ยอมนำพาพี่น้องมาด้วยเลย จมื่นศรีสุรนาทเจ้าค่ะ หรือจะเรียกชื่อเดิมก็ ฮาริสเจ้าค่ะ”

เมื่อคุณหญิงช้อยเอ่ยแนะนำก็ทำให้ทั้งคุณหญิงอรและยายทิพย์ต่างพากับเมียงมองแล้วยิ้มอย่างชื่นชม

“งามจริงนะพ่อ งามสมวัยจริง มิหนำซ้ำยังได้ยศได้ตำแหน่งที่ดีตั้งแต่ยังหนุ่ม”

ยายทิพย์เอ่ยชม ทำให้คุณหญิงอรหันไปมองหน้าจอมนาง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel