ตอนที่ 19 ของกำนัลจากใจ (ep.2)
จมื่นศรีสุรนาทจิบน้ำชาพลางมองดูสีหน้าของบิดา
“เรื่องคงไม่มีเพียงแค่นี้กระมังถึงเป็นเหตุให้เจ้าคุณพ่อครุ่นคิดหนักถึงเพียงนี้”
คำพูดของลูกชายทำให้คุณหญิงช้อยพลอยมองสีหน้าของสามีไปด้วย ครั้นจะถามก็ไม่ใช่เรื่องของสตรี แต่จะไม่ถามก็ไม่สมควรเพราะดูท่าสามีจะไม่สบายใจอย่างมาก
“มีเหตุใดหรือเจ้าคะท่านเจ้าคุณ ที่ทำให้ท่านดูหม่นหมองเช่นนี้”
พระยาภักดีพิชัยมองหน้าภรรยาแล้ววางมอระกูลงไว้ที่เดิม
“มีการทำนายทายทักถึงผู้ที่จะกินเมืองสืบต่อไป”
จมื่นศรีสุรนาทขมวดคิ้วมุ่น
“มันผู้ใดกัน กระผมจะไปบั่นคอมันลงเสียบัดนี้”
พระยาภักดีพิชัยส่ายหน้าไม่ยอมบอกว่าเป็นใคร
“ออกพระเพทราชาผู้นี้ มีชาติกำเนิดเด่นมาจากสามัญชน ชาวบ้านพลูหลวง แห่งเมืองสุพรรณบุรี มีมารดาคือท้าวศรีสัจจาหรือพระนมเปรมและยังมีน้องสาวเป็นถึงท้าวศรีจุฬาลักษณ์ พระสนมเอกในสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ที่เป็นต้นเหตุของคำทำนายคือ ออกพระเพทราชาเกิดวันเดือนปีเดียวกันคือร่วมสหทินชาติกับสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว”
“แล้วเป็นฉันใดขอรับออกพระเพทราชาคิดการกบฏกระนั้นหรือ”
“หาใช่ไหม”
พระยาภักดีพิชัยนั่งตัวตรงแล้วมองหน้าลูก
“ข้าในราชสำนักเริ่มแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเพราะมีหลายคนหาได้พอใจสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวที่ชื่นชมแขกและฝรั่ง มิหนำซ้ำพวกแขกและพวกฝรั่งยังได้ดิบได้ดีในราชสำนัก ก็เกิดความโกลาหลว่าจะเลือกเข้าฝ่ายใดที่จะได้กินเมืองต่อไป ระหว่างเจ้าฟ้าอภัยทศ เจ้าฟ้าน้อย แลพระปีย์ พระราชโอรสบุญธรรมแต่กลุ่มใหญ่ต่างก็หันมาหาออกพระเพทราชา”
พระยาภักดีพิชัยอธิบาย
“นี่เห็นจะมิเป็นการดีกับราชบัลลังก์ของสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเป็นแน่แท้”
จมื่นศรีสุรนาทเปรย
“ใจเย็นไว้เถิด มันมิง่ายนักดอกที่พวกมันจะโค่นบัลลังก์ได้ ด้วยออกพระเพทราชาเป็นเป็นศิษย์ร่วมครู เป็นพี่น้องที่กินนมร่วมเต้ามาจากแม่เดียวกัน มิเห็นหนทางที่ออกพระจะละเมิดคิดเป็นกบฏ มีเพียงข้าราชสำนักที่แบ่งกันเองด้วยความมิพอใจ ที่ข้าหนักใจด้วยเกรงว่า ความจะถึงพระเนตรพระกรรณแล้วทำให้ไม่สบายพระทัยต่างหากเล่า”
จมื่นศรีสุรนาทยกถ้วยชาขึ้นจิบแล้วเงียบไป
“กินข้าวกันเถอะเจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ กับข้าวจะเย็นเสียหมด ไปเถิดคุณพระนาย เดี๋ยวค่อยคุยกันต่อ”
“ขอรับแม่ท่าน เชิญเจ้าคุณพ่อขอรับ”
พระยาภักดีพิชัยก็ลุกเดินนำไปยังที่นั่งแล้วกินอาหารพร้อมลูกและภรรยา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจมื่นศรีสุรนาทก็อดกริ่งเกรงภัยเสียไม่ได้ ไม่ต่างจากพระยาภักดีพิชัยมากนัก
“แม่ได้ข่าวว่าเจ้าไปเกี้ยวบุตรีของท่านเจ้าพระยาพานทองเพชรรัตน์จนเกิดเหตุถึงกับคืนเรือนมิได้จริงหรือไม่คุณพระนาย”
หลังจากที่ทานอาหารอิ่มก็ตบท้ายด้วยของหวานและผลไม้ตามชอบ จู่ ๆ คุณหญิงช้อยก็เอ่ยถามขึ้น ทำให้จมื่นศรีสุรนาทต้องตวัดสายตาไปมองหน้าพระยาภักดีพิชัยทันที
“ไม่ร้ายแรงนักดอกขอรับแม่ท่านอย่ากังวลเลย”
เขารีบตอบแก้ เพราะเกรงว่าพ่อจะรู้เรื่องแล้วพาลโกรธ เรื่องจะไม่จบแล้วลุกลามใหญ่โตไป
“เป็นธรรมดาของชายชาติเมื่อเกิดมาก็ต้องมีการต้องใจสตรีบ้าง สมัยพ่อนี้กว่าจะได้ครองเรือนเคียงแม่เจ้า เลือดตาแทบกระเด็น กว่าจะพิสูจน์ตนว่ารักแท้ต่อแม่เจ้าให้ตาของเจ้าได้ประจักษ์ชัด”
พระยาภักดีพิชัยเอ่ยออกมา
“บุตรีพระยาพานทองเพชรรัตน์ แว่วมาว่างามละมุนยิ่งนัก ที่ยิ่งไปกว่าความงามคือความสามารถทั้งอ่านเขียนภาษาไทยภาษาฝรั่งแขก งานทองงานทอนางนั้นเลิศเลอยิ่งนัก”
จมื่นศรีสุรนาทยิ้มกว้างรู้สึกผ่อนคลายลงอย่างมาก
“จริงขอรับเจ้าคุณพ่อ”
เขาสนับสนุนคำพูดของพ่อทันที
“เป็นธรรมดาของหอมแมงวันชอบตอม เกสรของดอกไม้ ผึ้งภมรต่างหมายชม แล้วแต่ใครจะปรีชาสามารถครอบครองได้ ที่สำคัญ อย่าพลาดพลั้งถึงขั้นถูกบั่นจนพิการเพียงเพราะต้องใจสตรีแล้วแกร่งแย่งกัน ดูที่ใจของนางด้วยว่ามีด้วยเจ้าหรือผู้ใด”
“ขอรับ”
จมื่นศรีสุรนาทยิ้มกว้าง ทำให้สองสามีภรรยาต่างหันไปมองหน้ากันแล้วอมยิ้มเพราะพอจะเข้าใจท่าทีของลูกชายได้ว่าต้องชอบใจลูกสาวท่านเจ้าพระยานั้นอย่างมาก
“อย่าทำให้ตนลำบากเพียงเพราะสตรีนะเจ้า ดูทีดูท่าให้จงเหมาะ หากพลาดพลั้งเจ้าได้เจ็บได้ไข้ถึงล้มหมอนนอนเสื่อจนเกือบหาชีวิตไม่ พ่อแลแม่เจ้าคงยากจะอยู่ยั้งได้ แต่ก่อนพ่อจะม้วยมรณ์พ่อจะปลิดชีพมันผู้นั้นที่กระทำลูกพ่อ ไม่ว่ามันจะโคตรเง้าเหล่ากอใด”
จมื่นศรีสุรนาทพนมมือไหว้บิดาด้วยรู้สึกซาบซึ้งใจในความรักที่พ่อนั้นมอบให้
“กระผมนี้ซึ้งในน้ำใจเจ้าคุณพ่อท่านเป็นที่สุด กระผมจะมิยอมทำตนให้ลำบากเป็นแน่แท้ เพราะระลึกอยู่เสมอว่าเป็นลูกชายโทน ที่มีตามมาก็แต่น้องสาวสองคนเท่านั้นหามีน้องชายตามมาสักคนไม่”
เจ้าพระยาภักดีพิชัยวางมือลงบนบ่าของเขาแล้วบีบหนัก ๆ
“วันพรุ่งแม่จะไปที่เรือนท่านเจ้าพระยาพานทองเพชรรัตน์ จะไปกราบยายทิพย์ ครั้นจะไปมือเปล่าก็กระไร แม่ก็ตระเตรียมของหวานที่ขึ้นชื่อของบ้านเราไปร่วมด้วยผ้าแพรของเจ้า
จมื่นศรีสุรนาทยิ้มพลางก้มหน้าใบหน้าแดงซ่านขึ้นลามไปถึงใบหู จนทำให้ผู้เป็นบิดาหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างนึกเอ็นดูลูกชายเพราะเขาไม่เคยมีทีท่าแบบนี้มาก่อน
“หากได้เกี่ยวดองกับท่านพระยาพานทองเพชรรัตน์ก็คงเป็นการดี สองครอบครัวจะได้ยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้น แต่พ่อได้ข่าวมาว่า บุตรของพระศรีบดินทร์ฤาชัย ก็หมายปองแม่จอมนางเช่นเจ้า และตัวขุนทองดีผู้นี้เป็นนักเลงอันธพาลมีพวกมาก”
พระยาภักดีพิชัยหันมาหาเขา
“เจ้ามีเรื่องกับขุนทองดีนักเลงพนัน นักเลงผู้หญิง ต้องระมัดระวังตนไว้บ้าง พ่อมิเกรงหากจะมาสู้กันซึ่งหน้า แต่เกรงว่าจะมาแบบหมาลอบกัดเจ้าจะเสียท่าเอาได้ นอกจากมากิดให้เจ้าพาบ่าวมีฝีมือร่วมไปด้วยอีกหนึ่ง”
“ขอรับ”
“พ่อได้ข่าวมาอีกว่า บุตรของพระศรีบดินทร์ฤาชัยผู้นี้คิดอ่านการมิเบา ดูทีว่าจะหาทางเข้าสังกัดนายใหม่ และมุ่งไปที่ออกพระเพทราชาเป็นแน่แท้ ชายผู้นี้เจ้าพึงระวังให้มาก ด้วยทางนักเลงอาจมิน่าวางใจเพราะเป็นนักเลงที่หวังเพียงชำนะหาได้ใส่ใจหนทางไม่”
พ่อเตือนลูก
“ขอรับ ขอเจ้าคุณพ่อโปรดวางใจเถิด ด้วยลูกนี้ก็มิใคร่ชอบหน้าขุนทองดีนัก แลมิคิดจะสมัครสมานสมาคมด้วยทุกหนทางเป็นแน่”
จมื่นศรีสุรนาทยืนยัน
“ดีแล้วหากเจ้ารู้ซึ้งเช่นนั้น อ่านกลคนลวงต้องอ่านให้ถึงแก่นของสันดาน แค่แสดงน้ำใสใจจริงอาจปลิ้นปล้อนแสร้งกระทำได้”
“ขอรับ”
สองพ่อลูกนั่งคุยกันอยู่พักใหญ่ก็แยกย้ายกันกลับไปยังที่พักของตน แต่จมื่นศรีสุรนาทกลับยังไม่อาจจะข่มตาหลับลงได้เพราะเขาตื่นเต้นเหลือเกินว่า วันพรุ่งนี้ เมื่อแม่ของเขานำผ้าไปกำนัลแก่จอมนางจะถูกใจนางหรือไม่ แล้วนางจะมีทีท่าตอบกลับว่าอย่างไร
แม้เขาจะได้คำมั่นจากนางแล้วว่ายอมให้เขาดูใจและคบหาเป็นเวลาสองปี แต่ก็เกรงว่าเวลาเปลี่ยนใจนางอาจเปลี่ยน เขาหยิบขลุ่ยขึ้นมาแล้วเป่าบทเพลงคร่ำครวญอย่างแสนหวานเพื่อฆ่าเวลาที่ยังไม่ง่วงเลยสักนิด
