ตอนที่ 12 เจ็บกายแต่ได้ใจนาง (ep.4)
ขุนทองดีก้มหน้านิ่ง เขาไม่รู้เลยว่า เมียของพ่อค้าชาวเปอร์เซียผู้นั้นจะมีความสำคัญยิ่งขนาดนี้ เขารู้เพียงว่า ลาติฟาผู้เป็นบุตรีนั้นงามนักหนา
“ที่สำคัญ ตัวจมื่นศรีสุรนาทเองนั้น เป็นหัวหน้ามหาดเล็กที่พ่ออยู่หัวทรงโปรดปรานเสียยิ่ง หากเรื่องรู้ถึงพระเนตรพระกรรณ ไม่เพียงแต่เจ้า แม้แต่ข้าคงต้องโทษ”
ขุนทองดีกำมือแน่น เพราะไม่ว่าจะคิดอ่านทำประการใดกับจมื่นศรีสุรนาทก็ดูเหมือนจะติดขัดด้วยบารมีของคนรอบตัวเขาไปเสียหมด
“อย่าได้ผลีผลามทำการใดที่เกี่ยวข้องกับจมื่นศรีสุรนาทอีก หากมีโอกาสรีบไปขอขมาลาโทษเสีย หนักจะได้เป็นเบา”
ขุนทองดีขบกรามแน่น
“ภายในเพลาอีกไม่กี่ขวบเดือนนี้ จงอย่าให้มีความใด เนื่องจากช้องมาศน้องสาวเจ้ากำลังจะออกเรือนกับนายช่างเปรมบุตรของเจ้าพระยาพานทองเพชรรัตน์”
พระศรีบดินทร์ฤาชัยพูดจบก็ลุกขึ้น
“เจ้าคุณพ่อขอรับ”
ขุนทองดีรีบคลานเข้าไปขวางหน้าพ่อ
“นายช่างเปรมน่ะหรือขอรับ กำลังจะมาเป็นน้องเขยของกระผม”
“ใช่”
ขุนทองดีนึกกระหยิ่มในใจ
“หากเป็นเช่นนั้น ขอเจ้าคุณพ่อโปรดเมตตา สู่ขอแม่หญิงจอมนาง น้องสาวของนายช่างเปรมให้เป็นแม่เรือนของกระผมได้หรือไม่ขอรับ”
“แล้วบรรดาเมียทาสและลูกของเจ้าเล่า”
“หาได้สำคัญกับกระผมไม่ เพราะหัวใจของกระผมมีเพียงแม่หญิงจอมนางผู้เดียวเท่านั้น นางผู้เดียวเท่านั้นที่คู่ควรกับเรือนนี้ สะใภ้ของท่านเจ้าคุณพ่อคือแม่หญิงจอมนางเท่านั้นนะขอรับ”
ขุนทองดีรีบบอกทันที
“เจ้าก็จงเอาชำนะใจของนางให้ได้เสียก่อนเถิด นางผู้นั้นเป็นที่ร่ำลือว่างามนักหนา และก็มีความสามารถในเรื่องการอ่านเขียนจินดามณีนั้นช่ำชองยิ่งกว่าผู้ใด ทั้งภาษาต่างชาติอีกหลากหลาย นางนั้นพูด อ่านเขียนได้คล่อง งานถักงานทอ งานทองของครอบครัวนางชำนาญไปเสียหมด มิมีส่วนด้อยให้ตำหนิแม้น้อยนิด แล้วเจ้าเล่ามีอันใดคู่ควรกับนาง”
พระศรีบดินทร์ฤาชัยเตรียมเดินผ่านลูกชายที่ก้มหน้างุด
“อย่าเพียงแค่ต้องใจนาง หากเจ้ามิมีใจ อย่าหวังเพียงเชยชมเพราะมีชายอื่นหมายปองนาง ด้วยความจริงแท้นั้น ข้าก็เล็งเห็นว่านางดีพร้อมแล้วใคร่ได้มาเป็นประดับเรือนในฐานะลูกสะใภ้เสียนักหนา แต่ติดที่เจ้ายังมิเป็นโล้เป็นพายเท่าที่ควร”
ขุนทองดีเงยหน้าขึ้นพลางคลี่ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำพ่อ เขาเริ่มมีความหวังขึ้นมารำไร
ทันทีที่รู้สึกตัวตื่นในตอนย่ำรุ่งเมื่อแว่วเสียงไก่ขัน จมื่นศรีสุรนาทก็รีบลุกขึ้นเตรียมตัวหมายจะกลับเรือนทันที แม้ว่าเขาจะยังรู้สึกเจ็บที่บาดแผลทางด้านหลังอยู่ก็ตามที
“คุณพระนายขอรับ”
มากิดรีบลุกขึ้นแล้วขยับเข้ามาใกล้ทันที
“จะกลับเรือนเลยหรือขอรับ”
“ใช่”
“แล้ว..” มากิดชะเง้อมองไปทางด้านหลังของเขาที่สวมใส่เสื้อผ้าอย่างเรียบร้อย
“ยาหมอฝรั่งกับยาของชาวเปอร์เซียนี่ช่างดีแท้ ออกฤทธิ์ได้เร็วพลันชะงักนัก ข้าบรรเทาความเจ็บปวดลงราวกับหายสนิท”
จมื่นศรีสุรนาทพูดพลางทำท่าขยับแขน โยกไหล่
“จริงหรือขอรับ แต่บาดแผลของคุณพระนายฉกรรจ์นัก ถ้ามิได้หมอฝรั่งเย็บแผลให้ ป่านนี้คงฉีกขาดบาดแผลคงมากโขกว่าเดิม”
จมื่นศรีสุรนาทโน้มตัวลงมาหามากิด
“อย่าอึงไป ข้ามิใคร่ให้คนทางเรือนรู้ว่าข้าเจ็บ เพราะเกรงว่าเรื่องคงจะไม่เงียบหายไป ข้ารู้ชัดถึงความคิดของพ่อข้าดี ยิ่งหากเรื่องแพร่งพรายถึงพระเนตรพระกรรณของพ่ออยู่หัวด้วยแล้วไซร้ เรื่องคงมิจบง่าย ๆ”
มากิดมองหน้าเขา
“ดีสิขอรับหากเป็นเช่นนั้น จะได้สั่งสอนอ้ายขุนทองดีให้มันรู้บ้างว่าการกระทำเยี่ยงหมาลอบกัดมันได้ผลตอบแทนเช่นไร”
“ข้าใคร่ต่อสู้กันเช่นชายชาตินักรบ มิต้องการให้ผู้อื่นมาเดือดร้อน ที่สำคัญ คงมิดีกับแม่หญิงของข้านัก หากมีใครล่วงรู้ว่าเหตุเกิดเพียงเพราะขุนทองดีมีใจให้นาง และมิพอใจที่ข้าเองก็ต้องใจนางเฉกเช่นกัน”
เขาพูดจบก็เตรียมลุกขึ้น แต่ก็ต้องนั่งลงตามเดิมเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่หน้าห้อง
“คุณพระนายเจ้าคะ”
เรียม บ่าวคนสนิทของลาติฟา เปิดประตูกว้างแล้วหลีกทางให้ลาติฟาที่เดินเข้ามา ภาพสาวลูกครึ่งไทย แขกขาวหรือชาวเปอร์เซีย นางห่มสไบนุ่งซิ่นยกดอก ไว้ผมยาวด้านหลังยาวส่วนด้านหน้าตัดสั้นแสกกลาง เช่นเดียวกับหญิงสาวอโยธยา แต่ลาติฟามีดวงตาสีเทาเข้ม จมูกแหลมโด่ง โครงหน้าออกไปทางแขก ผิวขาวออกเหลืองมาทางไทย จึงดูคมคายอย่างมาก
“พ่อท่านและแม่ท่านได้ให้ข้าจัดเตรียมสำรับไว้เผื่อคุณพระนายแล้วเจ้าค่ะ”
“ขอบน้ำใจเจ้ามากลาติฟา”
จมื่นศรีสุรนาทร้องบอกพลางมองดูใบหน้าที่สวยงามสมวัยของลาติฟา ซึ่งเมื่อถูกเขาจ้องมองก็มีท่าขวยเขินจนต้องเบือนหน้าหลบสายตาเขา ก็หันหน้าไปทางมากิดพอดีทำให้มากิดมีโอกาสได้มองหน้าลาติฟาอย่างถนัดชัดเจน
“ข้ามิได้ปะหน้าเจ้ามากี่ขวบเดือนแล้วนี่”
“สองขวบเดือนเห็นจะได้ มีกระไรรึ”
ลาติฟาหันกลับไปมองหน้าเขา พลางคลี่ยิ้มส่งให้
“รึคุณพระนายจะบอกว่า ข้างามขึ้นจนผิดตา”
เขาหัวเราะเบา ๆ โดยที่มากิดมักจะลอบชำเลืองมองดูลาติฟาบ่อยครั้ง
“เจ้าก็งามสมวัย เห็นคราใดก็เหมือนเดิมมิเปลี่ยนแปลง”
“กระนั้นหรือ แล้วสตรีใดเล่าที่มีความงามแล้วแปรเปลี่ยนทุกครั้งที่คุณพระนายได้ประสบ”
คำถามนั้นเหมือนต้องการจะเจาะล้วงความในใจของเขา ซึ่งเมื่อเขาได้ยินคำถาม ก็ทำให้เขานึกถึงใบหน้าของจอมนางขึ้นมา นางนั้นงามละมุนยิ่งนัก ดูหวานละไมอ้อนแอ้นอรชรอย่างน่าทะนุถนอมฟูมฟัก แต่ก็เก่งรอบด้านฉลาดและกล้าหาญนัก
“คำร่ำลือที่ว่า ต้นเหตุของความขัดเคืองเพียงเพราะคุณพระนายให้ความคุ้นเคยกับแม่หญิงจอมนาง จริงหรือไม่เล่า”
ลาติฟาไม่ยอมเก็บความสงสัยเอาไว้จึงเอ่ยถามออกไปทันที
“หาใช่ไม่ ขอน้องเจ้าอย่าเข้าใจเช่นนั้นเลยหนา เป็นเพียงแค่ความข้องขัดไม่เข้าใจตรงกันก็เท่านั้น มินานก็คลี่คลาย”
ลาติฟาลอบผ่อนลมหายใจอกมาเบา ๆ เพราะพอเข้าใจว่า เขาจงใจปกป้องเกียรติของจอมนาง จึงไม่ยอมปริปากพูดให้ด่างพร้อย
“พ่อท่านกับแม่ท่านรออยู่ที่เรือน ข้าใคร่ขอนำทางคุณพระนายไปเจ้าค่ะ”
“ตามสบายเถิดนะเจ้า ข้าขอชำระหน้าบ้วนปากสักครู่แล้วจะตามไป”
ลาติฟาหันหลังเดินออก เมื่อเรียมปิดประตู แต่นางหันกลับไปยังหน้าห้องพร้อมกับตวัดสายตาไปมองก่อนจะเบือนหน้ามาอีกทาง ภาพใบหน้าที่แสนงดงามของจอมนางลอยเด่น สาวรุ่นราวคราวเดียวกันแต่งามนักหนา ดูเหมือนอ่อนแอด้วยเรือนร่างที่งามกลมกลึงอย่างน่าถนอม แต่กลับเก่งกาจรอบด้าน คล่องแคล่วและเฉลียวฉลาด
“คงไม่ธรรมดาแน่ชัดสำหรับเหตุวิวาทหมายคร่าชีวิตครานี้ เพียงเพราะสตรีที่มีสิริวิลาศล้ำเลิศมิเป็นรองผู้ใดนางนั้น..งามละมุนสมเป็นสตรีชาวอโยธยา อากัปกริยาแช่มช้อยนัก มิหนำซ้ำยังมีจิตทันสมัยโดดเด่นด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง”
ลาติฟาส่ายหน้าเมื่อนึกถึงจอมนาง ก่อนจะเดินตรงไปยังเรือนที่มีไว้สำหรับทานอาหารของครอบครัว
