ตอนที่ 11 เจ็บกายแต่ได้ใจนาง (ep.3)
ลาติฟาพูดออกมาพลางครุ่นคิด แล้วก็ทำให้เป็นห่วงเขานัก อยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าเขาบาดเจ็บสักเพียงใด แต่ก็เกรงว่าจะรู้ถึงบิดามารดา อีกอย่างก็ไม่สมควรที่สตรีจะไปเยี่ยมอาการบุรุษในเวลาอย่างนี้ ทำให้นางจำต้องอดทนด้วยใจหวั่นวิตก
ซึ่งไม่ต่างจากจอมนางมากนัก คืนนั้นทั้งคืนนางแทบไม่อาจจะข่มตาให้หลับลงได้ เนื่องจากเพราะความห่วงใยจมื่นศรีสุรนาทว่าจะกลับเรือนได้หรือไม่ หรือจะถูกซุ่มทำร้ายอีก ในใจก็เฝ้าภาวนาขอคุณพระคุ้มครองเขาให้อยู่รอดปลอดภัย
ทันที่ที่ตื่นจากที่นอนขุนทองดีก็ผละจากร่างของเมียทาสที่เขาเรียกให้นางเหล่านั้นผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมานอนด้วยทุกคืนไม่เว้นหน้า
“ท่านขุนขอรับ”
ทนายแสนรีบเข้ามาหาเมื่อเมียทาสของเขาออกจากห้อง
“มันตายแล้วใช่หรือไม่”
คำถามนั้นทำให้ทนายแสนก้มหน้านิ่ง
“กูนึกแล้วเชียวน้ำหน้าอย่างมึงจะทำการใดสำเร็จ เพียงแค่ได้เลื่อนยศเป็นทนายเข้าหน่อย ต้องคิดอ่านการนานเนิ่น แล้วเป็นฉันใด มึงปล่อยให้มันลอยนวลกลับเรือน หรือห้ำหั่นพวกหน้าโง่ของมึงตายเกลี้ยงทุ่งเกลี้ยงท่าแล้ว หา”
“หาใช่ไม่ขอรับ”
ทนายแสนร้องตอบ พลางถอยห่างเมื่อขุนทองดีทำท่ายกเท้าหมายจะถีบยัน
“กระผมและพวกกระจายกันออกดักเส้นทางที่จมื่นศรีสุรนาทจะกลับเรือน ไม่ว่าทางบกหรือทางน้ำ แต่ว่า จมื่นศรีสุรนาทได้เข้าไปอาศัยบารมีของพ่อค้าชาวเปอร์เซียนามว่า อิบบา เชวู อัซซอลิฮฺ หลบพักค้างแรมขอรับ”
ขุนทองดีได้ฟังแล้วก็ค่อย ๆ เปล่งเสียงหัวเราะออกมา
“เรือนคุณท้าวโสภานิเวศล่ะสิ บุตรีขุนนางชาวสยามได้ผัวเป็นแขกเซ็นที่ยอมเปลี่ยนศาสนาเพื่อความอยู่รอดในแผ่นดินสยาม คนจำพวกนี้เหตุใดมันจึงพากันได้ดิบได้ดี มันเป็นยุคสมัยของพวกต่างชาติโดยแท้ กูละเดียดฉันท์ท์นักที่เห็นพวกมันมาเดินอยู่บนแผ่นดิน ได้ดีเกินชาวอโยธา กวาดต้อนชาวอโยธาไปเป็นข้าของพวกมัน”
ขุนทองดีตบเข่าฉาดใหญ่ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วดังขึ้น
“แม่หญิงลาติฟาก็งามล้ำ กูใคร่ได้มานอนแนบแขนสักสามราตรีกาล”
ขุนทองดีพูดแล้วก็เงียบไปชั่วครู่
“แต่สตรีใด ก็หาต้องใจกูเท่าแม่หญิงจอมนางไม่ อ้ายฮาริสมันหมดน้ำยา ถึงขนาดต้องอาศัยซิ่นของสตรีคุมหัวคุ้มกระบาลคนแล้วคนเล่าที่คอยปกป้องมัน..แต่กูหายอมให้มันรอดอยู่ได้นานไม่ ในเมื่อมึงมิอาจประหัสประหารมันได้สำเร็จในค่ำคืน กูจะลงมือเอง”
ขุนทองดีพูดจบก็เตรียมลุกขึ้น แต่บานประตูก็ถูกผลักเปิดออกกว้าง ทำให้ขุนทองดูรู้สึกขัดเคืองใจที่มีใครบังอาจมาเปิดประตูโดยไม่บอกกล่าว แต่เขายังไม่ทันได้อ้าปากร้องบอก เมื่อบุคคลที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าประตูคือพ่อของเขา พระศรีบดินทร์ฤาชัย มีชื่อว่าเดิมว่า แช่ม ชายวัยห้าสิบเศษ
“มึงออกไปบัดเดี๋ยวนี้อ้ายทนายแสน”
น้ำเสียงกร้าวเปล่งดังออกมาอย่างน่าเกรงทำให้ทนายแสนรีบรุดออกไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้ขุนทองดีอยู่ประชันหน้ากับพ่อเพียงลำพัง
“ท่านเจ้าคุณพ่อขอรับ เหตุใดมิเรียกลูกไปพบล่ะขอรับ”
ขุนทองดีรีบลุกขึ้นจากเตียงสี่เสาร์ที่นอนอยู่อย่างสุขสบาย แล้วคลุกเข่าคลานไปนั่งแทบเท้าพ่อที่นั่งลงยังตั่งไม้ริมหน้าต่าง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำการใดลงไป”
ขุนทองดีก้มหน้าลง
“หมายใจเพียงสตรีถึงขนาดต้องฆ่ากันเจียวหรือ เจ้ามิมีปัญญาทำให้สตรีที่หมายใจยอมสยบสิโรราบ เลยพาลพาโลโมโหโกธาทำการหยามหยันกันมิเว้นในวัดวาอาราม มิครั่นคร้ามคำครหานินทาว่าจะกระเดื่องเลื่องลุกลามมาถึงข้ากระนั้นรึ”
“ท่านเจ้าคุณพ่อขอรับ! กระผม..”
ขุนทองดีกำลังจะหาทางแก้ต่างให้ตนเอง แต่พระศรีบดินทร์ฤาชัย ยกมือห้าม
“เจ้ามิรู้หรือว่ายุคสมัยนี้ชาวเปอร์เซียมีบทบาทสำคัญมากแค่ไหนทางการเมือง รอบทิศรอบทางมีแต่ชาวเปอร์เซีย ฝรั่งมังค่า อโยธยาได้ชื่อว่าเป็นนครเวนิสแห่งตะวันออก ผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติเข้ามาอยู่อาศัยทำให้อโยธยาเจริญรุ่งเรือง”
“นั่นเป็นเพราะพ่ออยู่หัวทรงโปรดชาวฝรั่งมากกว่าชาวอโยธาต่างหากเล่า”
ขุนทองดีแย้ง
“หยุดบัดเดี๋ยวนี้นะ”
พระศรีบดินทร์ฤาชัยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันร้องบอก ก่อนจะเหลียวมองไปลอบตัว แล้วโน้มใบหน้าลงไปกระซิบกับขุนทองดี
“อย่าพูดแบบนี้เจียวหนา หัวเจ้าจะหลุดจากบ่ามิรู้ตัว”
พระศรีบดินทร์ฤาชัยเงยหน้าขึ้น
“เราต้องอาศัยชาวต่างชาติมาแต่สมัยโบราณ มาช่วยทำการรบการศึก แล้วก็อยู่ด้วยดีเสมอมา มาผิดที่เจ้านี่กระมังที่ก่อเรื่อง อย่าให้ใหญ่โตมากไปกว่านี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดาของจมื่นศรีสุรนาทเป็นผู้ใด ดำรงยศใด”
“รู้ขอรับ”
ขุนทองดีตอบ
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า ณ เพลานี้ ผู้ใดกินตำแหน่งอัครเสนาบดี"
ขุนทองดีขบกรามแน่น
“ท่านอาคา มูฮัมหมัด ชาวมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซีย ที่กล่าวขานกันว่าเป็นผู้มากด้วยความรู้ความสามารถขอรับ”
ขุนทองดีตอบ
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่าคนที่ให้จมื่นศรีสุรนาทพำนักพักอาศัยหลบร้อนในค่ำคืนคือผู้ใด”
“อิบบา เชวู พ่อค้าชาวเปอร์เซียที่มีอิทธิพลขอรับ”
“และเขายังเป็นน้องชายของ พระยายมราชสังข์ เจ้าครองนครราชสีมา ยิ่งไปกว่านั้นคุณท้าวโสภานิเวศผู้เป็นเมีย ยังเป็นที่โปรดปรานของ กรมหลวงโยธาทิพพระราชกัลยาณีเจ้าฟ้าศรีสุวรรณ ขนิษฐาขององค์สมเด็จพระนารายณ์อีกด้วย”
พระศรีบดินทร์ฤาชัยพูดพลางมองหน้าลูกชายคนโตที่เกิดจากเมียเอกคือ แม่แก้ว
“เจ้าอย่าได้ดูเบากษัตรีผู้นี้เจียวหนา ซึ่งพระราชกัลยาณีมีความสำคัญต่อราชบัลลังก์เป็นอันมาก อีกทั้งยังเป็นคู่ทุกข์คู่ยากเป็นผู้มีส่วนอย่างสำคัญในการทำให้พ่ออยู่หัวได้ราชสมบัติ”
