ตอนที่ 10 เจ็บกายแต่ได้ใจนาง (ep.2)
เมื่อคล้อยหลังจอมนาง มากิดก็ขยับเข้าไปใกล้จมื่นศรีสุรนาทด้วยเหลือกันเพียงสองคน มากิดนั้นแน่นอนว่าเกิดความเกรงกลัวขึ้นมาจับใจ เพราะจากที่หลบซ่อนนี้ไปไปยังเรือนของจมื่นศรีสุรนาทก็ไกลโข หากเดินทางน้ำก็ต้องออกไปที่แม่น้ำเพื่อลงเรือ ดีไม่ดีพวกขุนทองดีอาจจะไปดักซุ่มรอจมเรือแล้วรุมทำร้ายอีก ครานี้จมื่นศรีสุรนาทคงถึงคราวแดดิ้นสิ้นชื่ออย่างแน่นอน
ครั้นจะเดินลัดเลาะกลับทางบกก็อ้อมมาก ด้วยอาการบาดเจ็บของจมื่นศรีสุรนาทก็อาจจะกำเริบหนักขึ้นจนยากจะเยียวยา ทำให้มากิดรู้สึกกลัดกลุ้มอย่างหนัก
“เราจะลัดป่าหลังวัดมุ่งไปทางมัสยิด”
จมื่นศรีสุรนาทมองดูสีหน้าของมากิดก็ให้เดาได้ว่ามากิดกำลังหวาดหวั่น
“ไปทางมัสยิดหรือขอรับ แต่ว่านี่มันย่างเข้ายามสองแล้วนะขอรับ( 3 ทุ่มไปถึง เที่ยงคืน)”
จมื่นศรีสุรนาทพยักหน้าก่อนจะยันกายยืนตรงอย่างมั่นคงไม่แสดงอาการออกถึงความเจ็บปวดจากบาดแผลฉกรรจ์นั้นแม้แต่น้อย เขาเดินมุ่งหน้ามีเพียงแสงเดือนและแสงดาวเป็นคบไฟนำทาง
เมื่อเดินมาสักพักก็ต้องรีบหลบฉาก เมื่อเห็นเงาคนหลายคนเหมือนดักซุ่มอยู่ จมื่นศรีสุรนาทจึงเบี่ยงหลบมาอีกด้าน ซึ่งด้านนั้นเป็นทางไปเรือนของคุณท้าวโสภานิเวศ (รับตำแหน่งผู้ช่วยของท้าววรจันทร์ซึ่งท้าววรจันทร์มีหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของเหล่า นางสนมกำนัล)
“คุณพระนายขอรับนี่มันทางไปเรือนคุณท้าวโสภานิเวศนี่ขอรับ”
มากิดร้องบอก จมื่นศรีสุรนาทพยักหน้ารับรู้แล้วก็เดินต่อไปอย่างระมัดระวัง แต่ว่าพอเข้าเขตเรือนของคุณท้าวโสภานิเวศ ไพร่ชายฉกรรจ์ก็กรูกันเข้ามาโอบล้อมในมือถือดาบที่คมกริบ ส่องกระทบกับแสงจันทร์สาดเข้าตาของมากิดจนต้องหลบวูบ
“หยุดบัดเดี๋ยวนี้”
เสียงของหัวหน้ากลุ่มไพร่ชายนั้นดังขึ้น แต่จมื่นศรีสุรนาทยกมือห้ามมากิดชักดาบออกจากฝัก เพราะหากมีการกระทบกันของดาบก็จะทำให้คนของขุนทองดีรู้ว่าเขาได้เข้ามาที่เรือนของคุณท้าวแล้วและยังอาจจะทำให้ผู้คนแตกตื่นได้
“ขออภัยที่มาในยามวิกาลเช่นนี้ ข้าเป็นบุตรของพระยาภักดีพิชัย เจ้ากรมการคลังและการต่างประเทศ ขอเจ้าจงเร่งไปบอกอาข้าทีเถิดว่าหลานมาขอพึ่งบารมี”
เมื่อเขาบอกว่าเป็นลูกใคร หัวหน้าของพวกมันก็ชูตะเกียงมาที่ใบหน้าของเขา
“ท่านจมื่นศรีสุรนาทหรือขอรับ”
“ใช่”
เมื่อเขาตอบรับ พวกบ่าวก็หลีกทางแล้วนำเขามายังเรือนรับรองที่ปลูกสร้างแบบไทยผสมเปอร์เซีย จากนั้นเพียงไม่นาน อิบบา เชวู อัซซอลิฮฺ ชายอายุราวห้าสิบเศษรุ่นเดียวกับพ่อของเขา ผิวขาวแบบแขกขาว เขาเป็นพ่อค้าที่มีตึกหลายคูหาตั้งมั่นอยู่ในตลาดทางทิศใต้ของเกาะเมืองเป็นย่านของชาวต่างประเทศที่เข้ามาพำนักอาศัยอยู่ เขาร่ำรวยจากการค้าขายที่นำสินค้าจากเปอร์เซียเข้ามาขายที่อยุธยาแห่งนี้ก็ตรงเข้ามาหา
“หลานเองหรือนี่ ไยมาอยู่ที่นี่ได้เล่า”
“ข้าหนีภัยมาขอรับอาท่าน”
จมื่นศรีสุรนาทบอกอย่างไม่ปิดบังอำพราง ทำให้อิบบา เชวู รีบนำทางเขาเข้ามาในเรือนด้านใน
“มันผู้ใดกล้าดักทำร้ายหลานประหนึ่งหมาลอบกัดเช่นนี้”
อิบบา เชวู เอ่ยถามด้วยความข้องใจนี้
“เป็นเรื่องผิดใจกันเล็กน้อยธรรมดาของบุรุษขอรับ แต่เนื่องจากกระผมมิอาจทัดทานกำลังคนของฝ่ายโน้นเพราะมีมากกว่าได้ จึงจำต้องหลบ ด้วยเพลานี้เกรงว่าท่านเจ้าคุณพ่อและแม่ท่านอาจจะกำลังปริวิตกที่กระผมหาได้คืนเรือนตามเพลาไม่”
อิบบา เชวู พยักหน้าช้า ๆ พลางสังเกตเห็นเลือดที่เกรอะกรังตกลงมาที่ชายเสื้อของจมื่นศรีสุรนาทประกอบกับกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้ง แม้จมื่นจะไม่แสดงอาการให้เห็นถึงอาการบาดเจ็บแต่เขามั่นใจจมื่นศรีสุรนาทต้องบาดเจ็บไม่น้อยจนไม่สามารถจะประดาบกับใครได้ ไม่เช่นนั้นเขาต้องไม่หลบลี้หนีหน้าให้ได้อายแบบนี้แน่
“กระผมมิปรารถนาให้เรื่องถึงหูของท่านเจ้าคุณพ่อเลยขอรับอาท่าน ขอเพียงได้กลับคืนเรือนโดยมิมีเหตุอันใด เท่านั้นขอรับ ดังนั้นกระผมใคร่ขอความเมตตาจากอาท่าน ขออาศัยท่าน้ำและเรือนำทางให้กระผมคืนเรือนด้วยเถิดขอรับ”
อิบบา เชวู หัวเราะเบา ๆ
“จะยากอันใดหนักหนาเล่าหลานชาย ก็พักเสียที่นี่เลยเป็นไร อานี้จะให้คนเดินสารส่งข่าวแจ้งแก่สหายรักท่านเจ้าคุณให้รู้ชัดว่าหลานได้อาศัยที่เรือนเพื่อพบประพูดคุยกับอา”
“แต่กระผมเกรงว่า..”
“อย่าปฏิเสธเลยหลานรัก พักเสียที่นี่เถิด”
อิบบา เชวู พูดจบก็หันไปเรียกคนของเขาให้เร่งไปบ้านของจมื่นศรีสุรนาทแจ้งข่าวให้ พระยาภักดีพิชัยได้รู้ว่าบุตรของท่านได้พักอยู่ที่นี่ จากนั้นก็ให้คนจัดห้องและอาหารให้จมื่นศรีสุรนาทได้พักอาศัยหลับนอน พร้อมกับส่งคนไปรับหมอชาวเปอร์เซียให้มาดูแลบาดแผลของเขา
“ผู้ใดมาพักที่เรือนรึ ข้าเห็นพ่อท่านดูวกวนกังวลนัก”
ลาติฟา หญิงสาวลูกครึ่งไทยเปอร์เซีย หรือแขกขาววัยสิบหก เอ่ยถามเรียม บ่าวรับใช้ใกล้ชิด หลังจากที่มองเห็นความผิดปกตั้งแต่ย่างเข้ายามที่สอง เพราะบ่าวไพร่ดูละแวดระวัง และยังมาตอนนี้ก็ยิ่งเพิ่มระมัดระวังมากขึ้นไปอีก
“มีแขกมาเจ้าคะแม่หญิง”
“ผู้ใดกัน”
นางเอ่ยถามเรียมบ่าววัยเกือบสามสิบ
“แว่วว่าเป็นจมื่นศรีสุรนาทเจ้าค่ะ”
เพียงแค่ลาติฟาได้ยินว่าแขกที่มายามวิกาลคือใคร หัวใจของนางก็หวิวหวั่นร้อนรนขึ้นมาแทบทันที
“ผู้ใดนะเรียม!”
เรียมอมยิ้มเพราะพอจะเดาใจนายได้
“จมื่นศรีสุรนาทเจ้าค่ะ ชายหนุ่มรูปงามผู้นั้นมากับบ่าวคนสนิทเพียงสองคน เพลานี้พำนักอยู่ที่เรือนรับรองเจ้าค่ะ”
“จริงกระนั้นหรือ ด้วยเหตุใดกันคุณพระนายจึงมาพำนักที่เรือนข้าในยามวิกาลเช่นนี้ได้”
เรียมส่ายหน้า
“เจ้าจงเร่งไปอย่าได้ช้า เอาความที่ข้าใคร่รู้กลับมาในเร็วพลัน”
เรียมหน้าเผือดลงเพราะรู้ดีว่านายของตนมีอารมณ์ร้อนเพียงใด จึงรีบรุดลงไปด้านล่างเรียบ ๆ เคียงถามจากเหล่าไพร่ยาม
“ว่าอย่างไร”
“ความมิแจ้งชัดนักเจ้าค่ะว่าคุณพระนายได้มีเรื่องกับผู้ใด ด้วยเหตุที่คุณพระนายมิได้บอกชื่อมันผู้นั้น แต่ว่า เมื่อก่อนที่คุณพระนายจะมาถึงราวชั่วน้ำเดือด ได้มีกลุ่มบ่าวของขุนทองดีมาด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ยังแถวเรียบแม่น้ำและทำทีว่าจะล้ำเขตเข้ามาด้วยเจ้าค่ะ”
ลาติฟาได้ยินก็ทำให้นึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับจมื่นศรีสุรนาท ผู้ที่เคยพูดจากเกี้ยวนางเมื่อครั้งที่ได้ปะหน้ากันในบางครั้งที่เข้าออกวัง
“ชายหน้าเหลี่ยมท่าทางกรุ้มกริ่มไม่น่าไว้วางใจผู้นั้นรึ”
ลาติฟาเอ่ยออกมาเมื่อนึกถึงสีหน้าและแววตาของขุนทองดี
“ขุนทองดีเป็นนักเลงอันธพาลมีพวกมาก ชอบเที่ยวเตร่สำมะเลเทเมาทั้งฝิ่นทั้งสตรี การพนัน เครื่องดองของเมามิละเว้นและยังมีเมียทาสอีกนับสิบในเรือน”
เรียมอธิบายต่อ
“เหตุใดคุณพระนายจึงมีเรื่องกับคนประเภทนั้น แล้วเหตุใดคุณพระนายจำต้องหลีกลี้หลบหนีให้ได้อายเช่นนี้”
ลาติฟาหันไปมองหน้าเรียม ซึ่งก็ได้แต่ส่ายหน้า
“แว่วว่าคุณพระนายเจ็บหนักได้บาดแผลฉกรรจ์แต่กระทำราวกับมิรู้ร้อนรู้หนาว มิรู้ว่าเจ็บว่าปวด และยังปรารถนาจะเก็บเป็นความลับมิให้แพร่งพรายถึงหูท่านเจ้าพระยาภักดีพิชัยด้วยนะเจ้าคะ”
“หากเป็นเช่นนั้นคงมีเหตุสำคัญเป็นแน่ ด้วยนิสัยนักรบที่ชาญณรงค์มากฝีมือ เหตุไฉนถูกทำร้ายจนเจ็บหนักได้ หากมิใช่เกิดจากการซุ่มโจมตีเยี่ยงหมาลอบกัด”
