บทที่ 3-1
หลังจากทำงานเป็น lifeguard มาได้หลายวัน ต้นน้ำก็กำลังคิดหาทางได้ใกล้ชิดพัทธนันท์ให้มากขึ้น ค่าใช้จ่ายของเขาก็เริ่มหมดไปกับค่าที่พัก เพราะเรื่องอาหารการกินเขาได้ฝากท้องไว้กับพัทธนันท์เรียบร้อยแล้ว แต่ดูท่าทางพัทธนันท์เองก็ไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ เพราะเธอจะส่งสายตาพิฆาตมาที่เขาเกือบทุกครั้งที่เจอหน้า ซึ่งเรื่องค่าที่พักต้นน้ำคิดว่าน่าจะมีทางออกได้ จึงไม่อยากรบกวนทางบ้าน แต่แผนการที่จะได้เข้าใกล้พัทธนันท์โดยที่เขาไม่ต้องคิดก็เกิดขึ้น เมื่อกลับถึงห้องพักภายในห้องกลับกระจัดกระจาย ทั้งเสื้อผ้าทั้งที่นอนถูกรื้อค้น จนไม่เหลือชิ้นดี และสิ่งที่เขาคิดไว้ก็ถูกต้อง เมื่อเงินค่าที่พักหายไปด้วย และสถานที่ที่เขาคิดถึงเป็นอันดับแรกคือร้านกาแฟ เพราะตั้งแต่เจอกัน พัทธนันท์กับอนวัฒน์ยังไม่เคยพาเขาไปที่บ้านเลยสักครั้ง ต้นน้ำจึงเก็บของที่เหลือแล้วตรงไปที่ร้านกาแฟทันที
โอกาสนี้เขาจะได้เข้าใกล้คุณแม่คนสวยของเขา แค่เรื่องขโมยนะเรื่องเล็กไปเลย แถมจะขอบคุณด้วยซ้ำที่เข้ามาขโมยของที่ห้อง เพราะเขาจะได้ไม่ต้องวางแผนเอง แค่คิดตาเขาก็เป็นประกาย ฉายแววความเจ้าเล่ห์ของตัวเองออกมาทันที ต้นน้ำเข้ามาที่ร้านของพัทธนันท์ก็เกือบจะเที่ยงคืน และด้วยความที่มาบ่อยจึงรู้ว่าทางเข้าและของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นอยู่ที่ไหน เขาจึงอาศัยร้านของพัทธนันท์นอนไปก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป
พัทธนันท์เข้ามาที่ร้านตั้งแต่เช้ามืด เพราะต้องเตรียมของ เนื่องจากตอนเช้าๆ ถึงจะไม่ยุงมากเท่าไหร่ แต่เธอก็ต้องตรวจความสะอาดและความเรียบร้อยก่อนเปิดร้านตอนเจ็ดโมงเช้า แต่ร้านของเธอแม้ว่าจะใกล้สว่างก็ยังมองไม่ชัดอยู่ดี เมื่อก้าวเข้าไปหลังร้านพัทธนันท์ก็สะดุดเข้ากับก้อนกลมๆ ที่อยู่กลางทางเดิน ทำให้เธอล้มลงไปทับกับอกของเจ้าสิ่งนั้นเข้าพอดี ต้นน้ำรู้สึกตัวตั้งแต่ที่พัทธนันท์เข้ามาในร้าน แต่เขาก็แกล้งนอนต่อ ทันทีที่พัทธนันท์สะดุดล้มต้นน้ำก็คว้าตัวเธอไว้เพื่อไม่ให้กระแทกกับพื้น ทำให้พัทธนันท์ตกอยู่ในอ้อมกอดของต้นน้ำ
หลังจากที่พัทธนันท์ล้มลงไปทับเจ้าก้อนกลมๆ ที่เธอสะดุดนั้น เธอก็รู้สึกได้ว่าเจ้าก้อนกลมๆ ที่ว่ากลับกอดเธออยู่ แถมยังถือโอกาสหอมแก้มเธออีก ด้วยความตกใจและคิดว่าก้อนกลมๆ ที่เธอสะดุดล้มเป็นขโมย จึงไม่ได้สนใจว่าตัวเองถูกหอมแก้ม หลังจากที่ตั้งหลักได้ พัทธนันท์จึงร้องออกมาสุดเสียง แต่ก็มีมือของใครบางคนมาปิดมาเธอไว้
“อย่าร้องนะ ไม่อย่างนั้นไม่รับผิดชอบความปลอดภัย” ต้นน้ำกระซิบที่หูของพัทธนันท์ ทำให้พัทธนันท์มั่นใจแล้วว่าเจ้าคนที่กอดเธอไว้ต้องเป็นขโมยแน่นอน ทั้งๆ ที่กลัวอยู่ แต่คนอย่างพัทธนันท์หรือจะยอมอะไรง่ายๆ คิดได้แค่นั้นพัทธนันท์ก็กัดเข้าที่มือของต้นน้ำอย่างแรง
“โอ๊ย...เจ็บนะ กัดมาได้” เพราะความเจ็บทำให้ต้นน้ำปล่อยตัวพัทธนันท์ให้เป็นอิสระ หลังจากที่หลุดออกจากอ้อมกอดของต้นน้ำ พัทธนันท์ก็ตรงเข้าไปเปิดไฟพร้อมกับหยิบไม้เบสบอลมาเป็นอาวุธด้วย กะจะใช้ฟาดหัวให้หายแค้นที่กล้าเข้ามาขโมยของที่ร้านเธอ แต่เมื่อเห็นหน้าเจ้าหัวขโมยได้ถนัด จึงได้แต่บ่นกับตัวเองว่าน่าจะกัดให้มือเขาขาดไปเลย
“นี่นาย เข้ามาอยู่ที่นี่ได้ไง แล้วเมื่อกี้นายแต๊ะอั๋งฉันเหรอ ไอ้เด็กบ้าแล้วทำไมไม่ไปนอนที่โฮมสเตย์ มาอยู่ในร้านคนอื่นเขาเนี่ย” พัทธนันท์พูดรัวยาวไม่ปล่อยให้ต้นน้ำได้ตอบอะไร พอพูดจบพัทธนันท์ก็ออกอาการหอบเล็กๆ
“หายใจบ้างก็ได้นะแม่ ถามเป็นชุดเลยผมตอบไม่ทันหรอก อีกอย่างกัดมาได้ เนี่ยดูซิเป็นรอยเขี้ยวเลย” ต้นน้ำยื่นมือเข้ามาใกล้เพื่อให้พัทธนันท์ดูผลงานของตัวเอง
“ก็ใครเล่นให้นายเข้ามาอยู่ในร้านมืดๆ แบบนี้ล่ะ ฉันไม่เอาไม้เบสบอลตีหัวแตกก็บุญแล้ว อีกอย่างฉันบอกนายแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเรียกฉันว่าแม่”
“ก็แม่เองนั่นแหละบอกไม่ใช่เหรอว่าจะเรียกอะไรก็เชิญ ผมก็เลยเรียกว่าแม่ไง น่าเคารพจะตายไป”
“น่าเคารพอะไรเล่า และที่สำคัญ ฉันไปอนุญาตนายตอนไหน นายนั่นแหละโมเม พูดเองเออเอง เลิกพูดเรื่องอื่นได้แล้ว ตอบคำถามฉันมาว่านายเข้ามาอยู่ในร้านฉันได้ไง แล้วเมื่อกี้...” พูดแค่นั้นเสียงพัทธนันท์ก็หายไป
ถึงไม่บอกต้นน้ำก็พอจะเดาออก ไอ้ที่ว่าเมื่อกี้น่ะมันตอนไหน เพราะตอนนี้พัทธนันท์ยืนหน้าแดงเป็นลูกตำลึง แต่เขาไม่รู้ว่าแดงเพราะโกรธที่เขาเข้ามาในร้านหรือแดงเพราะโดนเขาหอมแก้มกันแน่ ต้นน้ำก็ได้แต่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้กลบเกลื่อนสิ่งที่ตัวเองทำได้ซะสนิท พร้อมเปลี่ยนเรื่องเป็นเล่าสิ่งที่เกิดที่โฮมสเตย์ให้พัทธนันท์ฟัง
หลังจากที่พัทธนันท์ได้ฟังต้นน้ำอธิบายสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเข้ามานอนที่ร้านแล้ว เธอก็ไม่มีอะไรจะพูด นอกจากนั่งถอนหายใจ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรกับเพื่อนของน้องชายคนนี้ดี
“แล้วนี่คลื่นรู้เรื่องที่นายโดนขโมยของหรือยัง”
