ตอนที่หนึ่ง เมื่อใจมันเซทะเลคือจุดหมาย 2
“ไปซะแล้ว ยังไม่ได้พูดอะไรเลย” องศาพึมพำอย่างเสียดายกับคนที่เพิ่งวิ่งเตลิดไป
สายตาคมกล้ามองตามเจ้าของร่างงดงามในชุดว่ายน้ำสีน้ำทะเลซึ่งเป็นโทนสีที่เขาชอบอย่างพึงพอใจ เขาไม่ได้มองหน้าหล่อนเลย แต่เห็นแค่รูปร่างของหล่อนก็ติดใจเหลือเกิน อยากให้หล่อนถอดเสื้อถักสีขาวนั้นออกเพื่อดูสัดส่วนของหล่อนให้เต็มตา เขามองผ่านหล่อนมาจากบนบ้าน เห็นรูปร่างสวยและสีผิวกับองค์ประกอบอื่นของร่างกายหล่อนรับกันเหมาะเจาะอย่างกับภาพวาดจนเขามองเพลินแล้วทำน้ำมันสนหกใส่ตัวเองและไม่เสียเวลากับการจัดการมันแต่เดินตามลงมาเพื่อดูหญิงสาวคนนี้ใกล้ๆ
เสียดายที่หล่อนวิ่งหนีไปแบบไร้สติเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะแนะนำตัวแล้วเสนอให้หล่อนมาเป็นนางแบบในภาพวาดที่เขาจะส่งไปแสดงในนิทรรศการภาพที่ญี่ปุ่นลองดู เขาคิดว่าเขาชอบรูปร่างของผู้หญิงคนนี้มากกว่านางแบบที่เป็นนางเอกดังจากแดนอาทิตย์อุทัยซึ่งคนที่สั่งเขาวาดภาพส่งมาเสียอีก
“ไม่ต้องเสียดายหรอกองศา เพี้ยนขนาดนั้น ชวนมาร่วมงานใหญ่ด้วย เสียงานเสียการเปล่าๆ แค่ยัยอัยโกะคนเดียวก็รำคาญจะแย่”
เขาบ่นกับตัวเองแล้วเบนความสนใจกลับไปที่ห้องนั่งเล่นของวิลล่าตัวเองที่มองเห็นชัดจากหาดทราย ห้องนั้นเขาดัดแปลงเป็นสตูดิโอวาดภาพ และตอนนี้ก็มีนางแบบภาพเปลือยของเขาอยู่ในนั้นเพื่อเป็นแบบวาดให้เขา และแม่นางแบบตัวดีก็ช่างยั่วยวนเขาจนไม่มีสมาธิ หลายครั้งที่เขาวาดไปได้นิดเดียวต้องเดินโร่ออกมาที่ชายหาดเพื่อสงบสติอารมณ์ไม่ให้ระเบิดจนพลั้งพลาดฉีกรูปที่กำลังวาดเละไล่นางแบบคนนั้นกลับบ้านไปเสีย ถ้าไม่ติดที่ว่าอัยโกะกำลังจะเป็นเมียของคนที่จ้างเขาวาดภาพซึ่งเขานับถือท่านมากจนยอมเสียสละเวลาเขียนงานให้ เขาคงไม่ต้องแคร์อะไรและยุติทุกอย่างแบบตามใจตัวเองแบบที่เคยทำมา
บางสิ่งบางอย่างที่เขาอยากได้จากคนที่จ้างเขาวาดภาพทำให้เขาต้องอดทนกับผู้หญิงน่ารำคาญ และไม่ตอบสนองด้านลบกลับไปกับหล่อนเท่าที่ควร เขาจึงได้แต่ทำงานแบบกระท่อนกระแท่น แล้วเดินมาพักอารมณ์โกรธยามที่เริ่มจะควบคุมไม่อยู่ที่หาดทรายข้างล่างตรงนี้ เคยคิดว่าถ้าเจอคนที่ถูกตาจะหามาเป็นนางแบบแทนที่นางแบบเดิมทันทีแต่เมื่อเจอแล้วและเห็นท่าทางอันไม่เต็มบาทของแม่สาวเชปสวยคนนั้นแล้วองศาก็คิดว่าคงน่ากลัวจะเป็นแบลคลิสต์ที่ไม่ควรเฉียดกายเข้าใกล้เหมือนกับอัยโกะแน่
เขาไม่ชอบผู้หญิงน่ารำคาญ โดยเฉพาะพวกช่างยั่วกับพวกคนนิสัยเพี้ยนๆ แม้จะอยากได้หล่อนมาเป็นแบบแต่เขาแค่เห็นหล่อนก็ไม่ชอบหน้า ถ้าร่วมงานกันเป็นได้มีเรื่องแน่ ด้วยว่าเซนส์เขาไม่เคยผิดสักครั้งเขาจึงไม่ได้เดินตามหล่อนไป
แล้วเพียงไม่เกินสิบห้านาทีจากนั้น องศาก็ลืมหน้าหล่อนไป แต่ก็ยังนึกถึงรูปร่างสมส่วนงามไม่มีที่ติของหล่อนเป็นที่สุด
แต่ปริมรตาไม่ลืมเขา ผู้ชายบ้าที่ดูท่าทางน่ากลัว มายืนจ้องหล่อนตาเป็นมันจนหล่อนคิดว่าแถบริมทะเลที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแบบนี้ไม่น่าจะปล่อยให้คนบ้ามายืนก่อกวนอยู่ได้ หล่อนจะต้องแจ้งเพื่อนให้จัดการเสียแล้วไม่อย่างนั้นมันต้องกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวไทยแน่ ตอนนี้ต่างชาติยิ่งคอยจ้องหาข้อบกพร่องของไทยเพื่อจะโจมตีอยู่แล้วคงได้กระหน่ำออกข่าวทำร้ายบ้านเกิดของหล่อน มันจะเกิดขึ้นไม่ได้
หล่อนต้องช่วยชาติด้วยการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบมาจัดการกับเขาจึงกลับไปที่โรงแรมของเจติยาเพื่อนรักแล้วเล่าเรื่องให้ฟังอย่างจริงจัง
“จริงๆ นะยัยเจ น่ากลัวมาก แกอยู่แถวนี้แกไม่เคยเห็นหรือไง อยู่แถวๆ วิลล่าโรงแรมมโนราน่ะ” ปริมรตากลับมาเล่าให้ฟัง เพื่อให้เจติยาเป็นคนหาคนมาจัดการเอาคนบ้านี้ไปจากชายหาดเสีย เพราะนอกจากจะรบกวนการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวแล้ว วันพักผ่อนของหล่อนสะดุดแน่ เพราะหล่อนกลัวและหลอนคนบ้านั่นเข้า เวลาจะเดินกลางค่ำกลางคืนชมพลุ ชมไฟแสดงสีเสียงริมทะเลคงไม่สบายใจเลยจนกว่าจะแก้ไขปัญหานี้ได้
“ฉันไม่เคยเดินผ่านทางนั้นหรอกลูกไก่” เจติยาบอกเสียงขึ้นจมูกนิดๆ
“อ้าว ทำไมล่ะ งานแกยุ่งมากจนไม่มีเวลาไปดูโรงแรมข้างๆ เลยเหรอ”
ปริมรตาถามงงๆ
“โรงแรมนั่นน่ะเป็นคู่อริของฉัน ไม่เดินเฉียดหลายให้ระคายใจหรอกย่ะ คนอะไร ที่ของตัวเองก็ออกกว้างขวาง ยังโลภมากอยากขยายโรงแรมเพิ่ม เที่ยวมาเจรจากับฉัน คงเห็นว่ากิจการของฉันง่อนแง่นแล้วจะมาซื้อที่เอาดื้อๆ พอฉันไม่ยอมขายก็ยังมาตื๊ออยู่นั่น ฉันว่านะแกไม่ต้องผ่านไปทางนั้นจะดีกว่านะ จะได้ไม่ต้องเจอคนบ้า แถมไม่ต้องเจอคนนิสัยไม่ดีทางโรงแรมฝั่งนั้น แต่ถ้าไปแล้วเจอก็ตีเข่าใส่กลางลำตัวแรงๆ ให้หงายไปเลย จะได้เลิกบ้า” เจติยาใส่ความโกรธไปในทุกคำพูดจนปริมรตาพอจะเข้าใจแล้วโกรธจริงโกรธจังกันอยู่ทีเดียว
“ฉันจะพยายามไม่เดินผ่านก็ได้ แต่ถึงยังไงแกอย่าลืมประสานงานให้คนที่เค้าเกี่ยวข้องมาดูเรื่องนี้ด้วยนะ เดี๋ยวเสียชื่อประเทศไทยไปหมด”
“อืม เดี๋ยวถ้าเจอเพื่อนที่ทำงานอยู่ฝั่งมโนราจะให้เขาพูดกับบอสเขาแล้วไปประสานงานกับคนที่ดูแลเรื่องนี้ให้มาจัดการก็แล้วกัน ฉันน่ะไม่พูดเองหรอก เรามันตัวเล็กๆ ไม่มีใครมาสนใจปัญหาเราว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ฝั่งนั้น ใหญ่โต พูดอะไร ร้องขออะไรเค้าอาจจะฟังเสียงมากกว่า”
คำประชดของเพื่อนสาวทำให้รู้ว่าเจติยาตั้งตนเป็นอริกับฝ่ายนั้นเต็มที่จริงๆ แต่หล่อนก็อดแซวไม่ได้
“แก เจ้าของโรงแรมมโนราคนไม่อยากเดินผ่าน ไม่อยากแม้จะพูดถึง แต่แกมีเพื่อนเป็นพนักงานของเค้าเหรอ”
“ทุกคนที่โรงแรมนั้นนิสัยดี ยกเว้นเจ้าของ ฉันเลยเกลียดเฉพาะเจ้าของ แต่ไม่เกลียดพนักงานโรงแรม จบป่ะ” เจติยาสรุป
“อ้อ เข้าใจแล้วล่ะ” ปริมรตาพยักหน้าเข้าใจ “แต่แก ฉันว่าโรงแรมเขาสวยดีนะ เดินไปวิลล่าแล้วมองเพลินเลย อยากมีบ้านแบบนั้นจัง” แม้จะรู้ว่าเจติยาเกลียดแต่ก็รู้จักเพื่อนดีว่าเจติยาต้องไม่บังคับให้หล่อนเกลียดตามเพราะว่าเจติยามีเหตุผล ถ้าคนเหล่านั้นไม่ได้ทำอะไรปริมรตาก็ไม่มีเหตุผลที่ปริมรตาจะโกรธตามเจติยาไปด้วย
“แกก็ไปสมัครทำงานกับเขาสิ เพื่อนฉันเล่าให้ฟังว่าเขารับผู้จัดการวิลล่าอยู่นะ แกไปทำงานแล้วก็ได้ใกล้ชิดบ้านหลังนั้นเหมือนเป็นเจ้าของบ้านเองเชียวล่ะ ได้เงินดีแล้วยังได้ไปเดินเล่นบ้านตากอากาศราคาคืนละสี่หมื่นห้าหมื่น ถ้าฉันไม่เกลียดเจ้าของโรงแรมนั่นฉันไปขอทำแล้วล่ะ อยากทำงานพิเศษนอกจากทำโรงแรมนี้อยู่เหมือนกัน” เจติยาพูดเล่นๆ ไป แต่คำพูดนั้นกระทบใจปริมรตาเข้าอย่างจัง
“จริงเหรอเจ ฉันสมัครได้ไหม ” หล่อนสนใจ หล่อนชอบที่นี่จนคิดว่าอยากอยู่ที่นี่
ปริมรตาจับมือเพื่อนกระชับ ดวงตาสวยหวานมองแบบถามความเห็นอย่างเต็มเปี่ยม หล่อนไม่อยากอยู่กรุงเทพๆ อีกสักนาที แล้วที่นั่นก็ไม่มีอะไรต้องห่วงเพราะหล่อนอาศัยอยู่ในบ้านสวัสดิการของโรงเรียนที่เคยสอน ไม่ได้ซื้อบ้านซื้อรถเอาไว้ให้ยากลำบาก หากจะอยู่นี่หล่อนก็ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรมากมาย บิดามารดาที่อยู่ต่างประเทศคงจะดีใจด้วยซ้ำที่มาเยี่ยมลูกด้วยและได้เที่ยวด้วย
“สมัครมันก็สมัครได้ แต่แกคิดดีแล้วเหรอ จะทิ้งงานดีๆ ที่กรุงเทพๆ มา งานที่นี่”
“งานดีๆ ที่แกว่า คืองานที่โรงเรียนอนุบาลของแฟนเก่าฉันเป็นเจ้าของนั่นนะเหรอ ฉันไม่คิดจะกลับไปทำอีกหรอกหลังจากที่จับได้ว่าเขาแอบคบกันกับคนที่แม่เขาหาให้ลับหลังฉันตั้งนานฉันก็หันหลังให้คนพวกนั้นแบบไม่เผาผีกันเลย ฉันก็เหมือนลาออกโดยปริยายนั่นแหล่ะแก ไหนๆ ฉันก็จะต้องหางานใหม่ทำแล้ว ฉันก็ทำมันแถวนี้แหล่ะ ฉันชอบที่นี่ ฉันพูดจริงๆ นะ”
“อืม ฉันลืมนึกไปว่าแกทำงานที่เดิมไม่ได้แล้ว เอาอย่างนี้สิ แกมาอยู่กับฉัน แล้วก็ทำงานไปด้วย”
“ฉันไม่รบกวนแกหรอกเจ ฉันหาข้องนอกอยู่ได้ ฉันเกรงใจแก ฉันอกหัก ถังแตก ไร้ที่พึ่งมาหาแก แกก็อ้าแขนรับฉันทั้งที่แกก็ลำบาก ฉันอยู่กับแกอีก ก็ต้องเป็นภาระแกมากขึ้น ฉันว่าฉันหางานทำแล้วเริ่มต้นใหม่โดยที่ไม่รบกวนแกดีกว่านะ” หญิงสาวมองเพื่อนด้วยสายตาขอบคุณ แต่หล่อนก็ไม่อยากให้เจติยาลำบากกับหล่อนมากกว่านี้
ปริมรตารู้มาตลอดว่าเจติยาค่อนข้างลำบาก เพราะถึงแม้ว่าจะมีโรงแรมเป็นของตัวเองแต่ว่าโรงแรมนั้นก็เคยเกือบปิดกิจการไปเพราะทำการตลาดสู้โรงแรมใหญ่ๆ ไม่ได้ พ่อแม่ของเจติยาต้องเอาที่ไปจำนองกับธนาคารมาปรับปรุงโรงแรมใหม่ให้ทันสมัยและครบครัน แต่ดำเนินกิจการไปไม่เท่าไหร่ท่านก็เสียชีวิต เจติยาเอาเงินค่าประกันเหล่านั้นมาปิดหนี้กับธนาคารเพราะไม่ชอบเป็นหนี้ เหลือเงินไม่มากหล่อนก็เอามาลงทุนทำกิจการร้านอาหารตรงอีกฝั่งที่ติดกับถนนใหญ่หลังจากนั้นมากิจการก็ไปได้ดีแต่กำไรส่วนใหญ่ของโรงแรมนั้นเจติยาก็ส่งไปให้น้องชายซึ่งกำลังเรียนที่ต่างประเทศใช้และเขากำลังจะจบในเร็วๆ นี้
ตลอดเวลาที่เป็นเพื่อนกันมาหล่อนไม่เคยรบกวนเจติยาเพราะหล่อนทำงานเป็นครูโรงเรียนเอกชนนานาชาติรายได้จึงสูงและที่สำคัญก็ไม่ค่อยได้ใช้เงิน เงินเก็บจึงมีเยอะมาก บางครั้งที่เจติยาหมุนเงินเดือนให้พนักงานโรงแรมไม่ทันหล่อนยังเคยเอาเงินให้เจติยามาหมุนก่อนเป็นล้านๆ ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ที่ปริมรตาต้องพึ่งเจติยาเพราะเงินก้อนโตที่หล่อนมีนั้นหล่อนก็โง่งมยอมให้คนที่ขึ้นชื่อว่าแฟนยืมไปจนหมดตัวเพราะไว้เนื้อเชื่อใจหวังจะสร้างอนาคตด้วยกัน แต่ตอนที่รู้ว่าเขามีคนอื่น หล่อนก็ถอยออกมาจากเขาและไม่คิดจะเกี่ยวข้องกับเขาไม่ว่าเรื่องใด การทวงเงินจากจึงไม่อยู่ในสมองของหล่อนเพราะรู้ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ให้ การไปเจ็บช้ำกับเงินที่เคยให้เขาไปทำให้หล่อนยิ่งย้อนกลับไปเห็นคืนวันอันแสนโง่งม ดังนั้นหล่อนจึงก้าวออกมาจากชีวิตเดิมๆ พร้อมด้วยเงินที่มีก้อนสุดท้ายคือเศษเงินที่แฟนเก่าไม่ได้ถอนออกจากธนาคารทำให้หล่อนยังเหลือเงินนี้ไว้ประทังชีวิต จนเคลื่อนย้ายมาหาที่พักใจที่โรงแรมของเจติยาให้เจติยาช่วยหล่อน แต่หล่อนก็ไม่คิดจะงอมืองอเท้ารับความช่วยเหลืออย่างเดียวเพราะเกรงใจเจติยาเหลือเกิน
“แกออกไปข้างนอกไม่ได้นะลูกไก่ นอกจากจะแพงแล้วอาจจะไม่ปลอดภัยกับแก แกอยู่มันที่นี่แหล่ะ ใกล้ที่ทำงาน ฉันจะได้มีเพื่อนด้วย ถ้าแกเกรงใจแกก็ช่วยทำงานในโรงแรมตอนที่แกว่าง หรือไม่ก็ช่วยค่าน้ำค่าไฟฉันนิดหน่อยก็พอ ฉันเป็นเพื่อนแกนะ แกจะเกรงใจฉันทำไม” เจติยาร่ายยาวให้ปริมรตาเปลี่ยนใจ
“แต่ว่าแก”
“หยุดเลยยัยลูกไก่ อย่าเถียง ไม่งั้นฉันจะเลิกเป็นเพื่อนกับแก” นอกจากจะไม่ยอมให้เพื่อนผู้แสนเรียบร้อยที่ปล่อยให้ความรักบังตาจนโง่มาพักใหญ่ได้มีโอกาสเถียงแล้วเจติยายังขู่เข็ญให้คนเคยโง่รับข้อเสนอของหล่อน เพราะคนแกร่งเกินผู้หญิงคนใดในโลกอย่างหล่อนจะสอนให้ปริมรตาฉลาดและรู้ทันคนให้มากขึ้นเอง
“ก็ได้ยัยเจ” ปริมรตารับคำ ความเกรงใจเริ่มเบาบางลงเมื่อรู้ว่าเพื่อนเต็มใจช่วยเหลือ “งั้นฉันจะไปสมัครงานที่นั่นแล้วก็ทำงานช่วยแกด้วยตอนว่างก็แล้วกัน ขอบใจที่ช่วยเหลือฉันแล้วก็ขอบใจที่แกยอมให้ฉันไปทำงานที่โรงแรมคู่อริแกด้วย”
“ฉันจะให้แกไปเป็นไส้ศึกด้วยไง ไม่ต้องขอบใจหรอก ฉันหว่านพืชหวังผล” เจติยาแอบกระซิบติดตลก ทำให้ปริมรตาที่กำลังอินกับความเศร้าหลุดหัวเราะออกมา
“แกมันร้ายนะยัยเจ” แม้จะรู้ว่าเจติยาเป็นคนดี ไม่ได้คิดร้ายอะไรกับใคร แต่ก็อดแซวไม่ได้ เพราะคนแรกที่เจติยาคิดร้ายด้วยคือเจ้าของโรงแรมมโนรา ท่าทางจะมีอะไรพิเศษต่อกันไม่เบาถึงได้เรียกปฏิกิริยาตอบสนองจากเจติยาได้ขนาดนี้ แม้จะเป็นปฏิกิริยาลบก็ตามทีเถอะ
ปริมรตาชักอยากเห็นเสียแล้วว่าคนที่มีเรื่องกับเจติยาจนเจติยาสาปส่งทุกวัน จะเป็นคนยังไงกันแน่
