ตอนที่สอง เทวดาเดินดิน 2
“คุณเมฆเคยสงสัยไหมคะว่ายัยเจเกลียดคุณคิมตรงไหน” ปริมรตาถามเมฆาเมื่อเดินออกมาด้วยกัน
“เคยครับ จนตอนนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบ คุณคิมทำดีกับเจตลอดไม่เคยทำร้ายเลย แต่เจก็ไม่ชอบ ผมเองเป็นผู้ชายยังคิดว่าคุณคิมเป็นคนดีน่าคบหา พนักงานทุกคนก็รักคุณคิมมากๆ แต่กับเจนี่ไม่รู้ว่าไปผิดใจกันตอนไหนเจถึงได้เกลียดแบบไม่เผาผีขนาดนั้น” เมฆาเองก็สงสัยในสิ่งเดียวกับปริมรตาเช่นกัน
“เป็นเพราะว่าคุณคิมต้องการซื้อที่ยัยเจหรือเปล่าคะ”
“คุณคิมไม่ได้บังคับนะครับ ตอนติดต่อไปนั้นเห็นว่าโรงแรมเจกำลังซวนเซจนจะมีคนเทคโอเวอร์ คุณคิมเลยไปเสนอราคาที่ดีกว่านายหน้าให้ แต่เจไม่ยอมขาย แต่ทุ่มเงินทั้งหมดที่มีปรับปรุงโรงแรมใหม่จนกระเตื้องขึ้นมา แล้วคุณคิมก็ไม่ได้ไปสอบถามเรื่องซื้อที่อีกเลยนะ”
“เฮ้อ ยัยเจนี่แปลกคน สงสัยจะเป็นคนเดียวในโลกนี้มั้งคะที่ไม่ถูกกับคุณคิม”
“ผมก็ว่าอย่างนั้น คุณคิมใจดีไม่เคยมีเรื่องกับใครเลย มีแต่ช่วยเหลือมากกว่า”
“สงสัยว่าจะไม่ถูกชะตาเลยพาลเกลียด”
ปริมรตาเดา แต่ก็คิดว่านั่นคงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเพราะคนที่ให้คำตอบได้ดีที่สุดคงเป็นเจติยา
“กลับมาแล้วเหรอ ทำไมหายไปนานจัง” เจติยาร้องทักปริมรตากับเมฆาจากหน้าเคาน์เตอร์ส่วนต้อนรับลูกค้าของโรงแรมตัวเองเมื่อเห็นทั้งคู่เดินกลับมาด้วยกัน
“กว่าจะได้กลับ ฉันต้องไปกรอกไปสมัคร แล้วให้ฝ่ายบุคคลส่งฉันไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลก่อนอีก คุณเมฆไม่บอกกันบ้างเลยว่าต้องไปเจาะเลือด ไม่อย่างนั้นลูกไก่คงไม่กล้าไปสมัครงานหรอก เจ็บยังไม่หายเลยเนี่ย”
“ใจเสาะไปได้แก” เจติยาดีรู้ว่าอีกฝ่ายกลัวเข็มมากแค่ไหนแต่ก็ยังแซว
ปริมรตาเลยค้อนกลับมาวงใหญ่
เมฆาขอตัวกลับหลังจากที่มาส่งปริมรตาได้เพียงไม่นาน มีโอกาสแล้วปริมรตาเลยจับเข่าคุยกับเจติยาทันที
“นี่แก ถามจริง คุณคิมไม่ดีตรงไหน เขาออกจะดูเป็นคนดีแถมยังใจดี ขนาดนั้น ฉันล่ะแปลกใจจริงๆ ตอนแรกฉันนึกว่าเขานิสัยไม่ดีซะอีกแต่นี่ตรงข้ามเลย”
“ไหนว่าจะสาปส่งผู้ชายทุกคนในโลกไง มาชมนายนั่นซะแล้ว” เจติยาไม่ตอบคำถาม แต่ย้อนกลับเพื่อเตือนสติไม่ให้ปริมรตาใจอ่อนเรื่องผู้ชายอีก “แกลืมโทรศัพท์ไว้ที่เคาน์เตอร์ แฟนแกโทรมาไม่รู้กี่สาย ฉันรับแล้วบอกว่าแกไม่อยู่ให้เลิกโทรมาถึงได้หยุดโทร”
“แกบอกหรือเปล่าว่าฉันอยู่ที่ไหน” ปริมรตาตกใจกลัวเพื่อนบอกว่าหล่อนอยู่ที่ไหนเพราะกลัวเขามาตามกลับ
“ไม่ได้บอก ฉันแค่บอกว่าแกออกไปข้างนอกลืมมือถือไว้ด้วย แกกลับมาแล้วแล้วจะให้โทรกลับเองไม่ต้องกระหน่ำโทรแบบไร้สติอีก เพราะโทรยังไงก็ไม่ได้คุยกับแก”
“ดีแล้ว ฉันไม่ค่อยอยากคุยกับเขาเท่าไหร่”
“ไม่ได้นะแก” เจติยาแย้ง “เค้ายังไม่คืนเงินแกสักบาท แกลองคุยก่อน”
“คุยไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
“ไม่มีได้ยังไง แกลองพูดก่อนสิ ยังไม่ต้องบอกมันว่าแกรู้อะไรมา แต่ทำเป็นเดือดร้อนขอเงินคืนก่อน ได้ไม่ได้ค่อยว่ากัน”
“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันลองโทรหาเขาดู เผื่อว่าจะคุยเรื่องเงินกันได้บ้าง”
“เออ ไปทวงมันเลยไป” เจติยาพยักหน้าเข้าใจ รุนหลังปริมรตามานั่งโทรศัพท์ที่บริเวณลอบบี้ของโรงแรมที่เป็นโต๊ะเหล็กดัดสีขาวสะอาดตัดกับสวนสีเขียวที่มีดอกไม้บานสะพรั่งอยู่หลายชนิด ความร่มรื่นงดงามของไม้เมืองร้อนไม่ได้ทำให้หญิงสาวใจเย็นหรือรู้สึกดีขึ้นมาเลย เมื่อหล่อนต้องติดต่อกับอดีตคนเคยรักอีกครั้ง
แฟนของปริมรตาไม่รู้เรื่องเลยว่าหล่อนไปรู้ความลับของเขาแล้วและเป็นฝ่ายปลีกตัวออกมาจากเขา หล่อนโกรธจนไม่คิดจะติดต่อในตอนแรก แต่ตอนนี้หล่อนคิดได้ว่าหล่อนน่าจะคุยกับเขาเรื่องเงินด้วยเผื่อว่าจะได้คืน เผลอๆ เงินเดือนเดือนล่าสุดที่ก็ยังไม่ได้รับเลยเพราะก่อนหน้านี้ทางโรงเรียนมีปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างหนักอาจจะถูกโอนเข้าบัญชีบ้าง ความหวังเรื่องเงินทำให้ปริมรตาเปลี่ยนใจ ยอมกดโทรกลับหาแฟนหนุ่มที่โทรมาจนสายแทบไหม้ตลอดหลายวันที่หล่อนหายตัวมา
“ลูกไก่ หายไปไหนมา พี่เป็นห่วงรู้ไหม เห็นครูอ้อยข้างห้องลูกไก่บอกว่าเห็นลูกไก่เก็บกระเป๋าออกจากห้องหลายใบ แล้วไม่มาอีกเลยสงสัยแอบหนีพี่เที่ยวเพราะพี่งานยุ่ง พี่พยายามติดต่อลูกไก่เพราะว่าเป็นห่วง จะคุยเรื่องงานด้วย”
ปริมรตาเม้มปาก นั่นยังไงล่ะ เขาไม่ได้ถามหล่อนสักคำเลยว่าหายไปไหน ทำอะไร ที่เขาต้องการคือผลประโยชน์ล้วนๆ หล่อนน่าจะตาสว่างให้เร็วกว่านี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีปัญหาเรื่องการเงินเพราะเขาอย่างที่กำลังเป็นอยู่
“มีเรื่องอะไรหรือคะ” หญิงสาวอดเปล่งเสียงประชดถามไปไม่ได้ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายนั้นจะไม่รู้ตัวเสียด้วย
“คือว่ามีพ่อแม่เด็กอยากส่งลูกให้เข้าเรียนในห้องที่ลูกไก่เป็นครูประจำชั้นจ้ะ เขาอยากให้ลูกเรียนกับคุณครูลูกไก่”
“แต่จำนวนเด็กที่ลูกไก่รับก็ครบโควตาแล้วนะคะ จริง ๆ ต้องเป็นสิบห้าคนเท่านั้น แต่นี่เพิ่มแฝดก็เป็นสิบเจ็ดลูกไก่สอนคนเดียวไม่ไหวหรอกค่ะ” หญิงสาวเล่นตามน้ำไป รู้สึกรังเกียจแฟนหนุ่มเหลือเกิน หากพ่อแม่เด็กแฝดนั่นไม่ยัดเงินราคาสูงมากขนาดนั้นมาเขาคงโทรหาหล่อน ไม่ใส่ใจใยดีหล่อน สงสัยคิดว่ายังไงหล่อนก็ต้องกลับไปที่นั่นอยู่แล้วกระมัง
“รับเพิ่มอีกสองคนทีเถอะครับ พี่สัญญาว่าจะเพิ่มค่าเหนื่อยให้”
ปริมรตาแอบถอนหายใจ ค่าเหนื่อยที่เพิ่มนะหรือ แค่เดือนละไม่กี่พัน แต่พ่อแม่เด็กที่สนับสนุนการเงินเพื่อให้ลูกได้เรียนกับหล่อนต้องจ่ายเงินหกหลักมันคุ้มค่ากันเสียที่ไหน
ยามนี้หญิงสาวแสนโกรธเคืองแต่เริ่มฉลาดพอที่จะไม่แสดงออก เจติยาบอกหล่อนว่าอย่าได้หลงกลไปให้อภัยคนแบบนี้อีกเด็ดขาด เขาร้ายมาต้องร้ายกลับ!
“ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวยอมตกลง
“ลูกไก่น่ารักที่สุด สมแล้วที่พี่รักและไว้ใจเพราะลูกไก่ช่วยพี่ได้เสมอ”
ถ้าหากไม่ได้รู้ความลับเขามาก่อน หล่อนคงเคลิ้มไปกับวาจาหวานของเขาเป็นแน่ แต่ขอโทษเถอะ วันนี้หล่อนเป็นคนใหม่แล้วคำพูดหวานเพื่อหลอกใช้ไม่มีวันระคายหูหล่อนได้อีก
“ลูกไก่จะช่วยที่สุดเท่าที่จะช่วยได้ แต่ตอนนี้ พี่พัธช่วยอะไรลูกไก่หน่อยได้ไหมคะ”
“ว่าไงจ๊ะ ลูกไก่อยากได้อะไรบอกพี่มาได้ทุกอย่างเลยจ้ะ”
“ลูกไก่ต้องการเงิน”
พัธนันท์เงียบไปครู่หนึ่งจึงถาม
“ได้สิจ๊ะ ลูกไก่ต้องการเท่าไหร่ แล้วเอาไปทำอะไรเอ่ย”
“ลูกไก่ต้องการสามล้านค่ะ ลูกไก่จะต้องใช้ ไม่อย่างนั้นลูกไก่กลับไปที่โรงเรียนไม่ได้แน่ค่ะ”
“หือ เยอะจังเลย ลูกไก่มีความจำเป็นอะไรต้องใช้เงินมากขนาดนั้น บอกพี่ได้ไหม”
ปริมรตาอยากกรีดร้อง หล่อนเป็นเจ้านี้ ขอเงินคืนเพียงครึ่งเดียวที่เขายืมไป แต่ต้องมาขอร้องเขาราวกับว่าเป็นลูกหนี้เอง แถมเขายังทำท่าว่าจะไม่ยอมให้อีก ในโลกนี้มีใครที่หน้าด้านเหมือนลูกหนี้หล่อนคนนี้บ้างนะ
ปริมรตานึกถึงตอนไม่กี่เดือนก่อนขณะนั้นความรักยังบังตาหล่อนทำให้หล่อนตั้งใจทำงานสร้างฐานะจนมีเงินเก็บหลายล้าน พัธนันท์รู้ดีเพราะเขาโอนเงินเข้าบัญชีและดูแลให้หล่อนทุกเดือน ต่อจากนั้นเขาก็เอาความน่าสงสารมาหลอกล่อหล่อน บอกว่าโรงเรียนมีปัญหาใหญ่ที่หุ้นส่วนนั้นขายหุ้นกะทันหัน หากไม่ซื้อไว้ผู้ถือหุ้นคนอื่นอาจกว้านซื้อแล้วจะมีอำนาจบริหารแทนพัธนันท์ เขาจึงต้องรีบหาเงินไปซื้อหุ้นไว้จากผู้ถือหุ้นรายนั้น เขาบอกปริมรตาว่ารวบรวมเงินได้หลายสิบล้าน แต่ขาดอีกเพียงหกล้าน และทำท่ากลุ้มใจเหมือนจะฆ่าตัวตาย
หญิงสาวไว้เนื้อเชื่อใจและคิดว่าจะสร้างอนาคตด้วยกันอยู่ที่โรงเรียนนี้ตลอดไป จึงทุ่มทุนสร้างสุดตัวยอมให้เขาไปเบิกเงินทั้งหมดที่หล่อนมีเพื่อช่วยเหลือโรงเรียน เผื่อว่ามารดาเขาที่จงเกลียดจงชังหล่อนไม่ยอมรับหล่อนจะได้เห็นใจและรู้ว่าหล่อนไม่ทอดทิ้งพวกเขาในยามที่ลำบาก
แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็อย่างที่เห็น นอกจากว่ามารดาของเขาจะไม่มีวันยอมรับหล่อนแล้ว ความหวังจะได้เงินคืนยังริบหรี่อีกต่างหาก
“ลูกไก่มีปัญหาเรื่องเงินจริงๆ ค่ะ แต่ตอนนี้เล่าไม่ได้ค่ะ หลังจากพี่พัธโอนเงินมาให้แล้วลูกไก่จะบินไปกรุงเทพๆ ไปเล่าทุกอย่างให้ฟังนะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นเออย่างนี้ดีกว่าจ้ะ ลูกไก่บอกพี่ว่าอยู่ที่ไหนนะ พี่จะจองตั๋วให้ แล้วลูกไก่มาที่กรุงเทพๆ แล้วเราจะได้พูดกันว่าจะเอาไงต่อไปดี”
“ไม่ต้องจองให้ค่ะ ลูกไก่อยู่ภูเก็ตค่ะพี่พัธโอนเงินค่าตั๋วมาก็พอ เดี๋ยวลูกไก่ไปหาซื้อที่เคาน์เตอร์เอง” แม้อยากจะกรีดร้องให้ลั่น แต่หล่อนก็ไม่ทำ ได้แต่ไขว้นิ้วหราขณะที่กำลังโกหกเขา
“โอเค เดี๋ยวพี่โอนไปให้พันห้าลูกไก่จองตั๋วชั้นประหยัดของนกแอร์มาเย็นนี้เลยนะจ้ะ เดี๋ยวพี่ไปรับที่สนามบิน พี่จะให้ลูกไก่มาเซ็นสัญญาเรื่องชั่วโมงสอนพิเศษ จากนั้นเราค่อยไปดินเนอร์ฉลองกัน”
“...” ปริมรตาแทบไม่มีอะไรจะพูด รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงกับคำตอบของเขาเหลือเกิน
“พี่จะโอนเงินเข้าให้ตอนนี้เลย พอได้รับแล้วรีบมาเลยนะจ๊ะ”
ยังไม่ทันได้ต่อรองอะไรพัธนันท์ก็กดวางสายไป หญิงสาวอ้าปกค้างเหมือนถูกน็อกกลางอากาศ ทวงหนี้หกล้าน ได้คืนมาพันห้า จะโทษใครได้นอกจากความโง่ของตัวเอง
แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ หล่อนจะไม่มีวันกลับไปโง่อีกแน่นอน
“ว้าย ยัยลูกไก่ ขำว่ะ ขำที่สุด” เจติยาฟังเรื่องที่ปริมรตากลับมาเล่าหลังจากวางสายจากแฟนหนุ่มให้ฟังแล้วก็หัวเราะจนตัวโยน “เกิดมาไม่เคยได้ยิน หรือว่าแกจะเข้าใจผิดว่าแกให้เขายืมแต่เขาเข้าใจว่าแกให้ฟรีหรือเปล่า”
“ถ้าแกจะเยาะเย้ยฉันอย่างนี้นะ ฉันจะร้องไห้มันตรงนี้แหล่ะ” ปริมรตาพูดอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น หน้าแดงก่ำด้วยความโมโห พอตาสว่างขึ้นก็เห็นความชั่วร้าย ต่างๆ นาๆ ของพัธนันท์ที่หล่อนไม่เคยมองเห็นมาตลอด
ตอนนี้ที่โกรธนั้นความจริงไม่ได้โกรธเขาสักนิด ไม่ได้โกรธเจติยาที่เหลือเชื่อเรื่องของหล่อน แต่โกรธตัวเองที่โง่ โง่ยิ่งกว่าสัตว์เซลเดียวที่ไม่มีสมองให้เขากระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ฉันคิดอยู่แล้วว่าเขาขาดเงินขนาดนั้น เขาจะมีที่ไหนคืน ฉันก็ยังไปทวงให้เซ็งอารมณ์ ไม่น่าติดต่อกลับไปเลย ตอกย้ำความโง่ตัวเองสุดๆ” เจ้าหนี้สาวบ่นอุบอิบ
“เออ เอาเถอะน่า ยิ่งเจ็บยิ่งเข้มแข็ง จากนี้ไปแกจะไม่เป็นอย่างนี้อีก จำเอาไว้เป็นบทเรียนแล้วกัน”
“อืม จำอย่างดีเลยล่ะ อย่าพูดถึงให้เสียอารมณ์เลย ฉันจะตัดขาดกับทางนั้นให้หมดไป ไม่มีปริมรตาคนเดิมอีกแล้ว มีแต่ยัยลูกไก่สาวเกาะสมุยจอมแกร่งเท่านั้น”
เจติยายกนิ้วโป้งให้ปริมรตาอย่างยกย่องให้กำลังใจ ฮึดสู้ไปด้วยกันทั้งสองสาว
“อ้อ เจฉันยังเล่าเรื่องคุณคิมไม่จบ เขาไม่ได้ดูเลวร้ายอะไรเลยนะ ฉันถามจริงๆ ว่าแกทำไมถึงเกลียดเขา ฉันอยากรู้มาก แกช่วยบอกฉันที” ปริมรตาเขย่าแขนเพื่อนสีหน้าไร้ซึ่งความเจ็บปวดใดๆ เลยเมื่อนึกถึงคิมิยะ
“อย่าพูดกับฉันเรื่องนายคนนี้อีกเด็ดขาดนะขอบอก แกจะชอบจะปลื้มฉันไม่ว่า แต่อย่ามาพูดให้ได้ยินเข้าหูเชียว เสียอารมณ์” คนเสียอารมณ์หน้าบูดบึ้งขึ้นมาทันตา
ปริมรตาเชื่อว่าเจติยาไม่อยากพูดถึงจริงๆ จึงพูดไปเรื่องอื่น เจติยาตอบบ้างไม่ตอบบ้างเพราะในหัวครุ่นคิดถึงคนที่ปริมรตาเพิ่งชมให้ฟังเมื่อครู่
เป็นคนดีมากๆ อย่างนั้นหรือ นั่นก็แค่เปลือกนอกเท่านั้นแหล่ะ มีไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่าเขามันไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่ใครๆ คิดกัน หนึ่งในไม่กี่คนนั้นที่รู้คือหล่อนเอง
เขามันร้าย! เจติยาถึงได้เกลียดเขาเข้ากระดูกดำอย่างนี้
