บทที่ ๓ โลกแคบ
หนึ่งเดือนต่อมา...
ขนมผิงเดินทางมาเที่ยวดอยลังกาหลวงซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงราย ช่วงเดือนธันวาคมเช่นนี้อากาศดีและเย็นสบายมากๆ เธอมากับเพื่อนสนิทอีกสองคน คนหนึ่งเป็นชายไม่แท้ชื่อเตโช และอีกคนคือเพื่อนสาวแสนสวยชื่อนึกคิด ตอนนี้สองคนนั้นไปเดินเล่นถ่ายรูปกัน ส่วนคนอวบระยะสุดท้ายอย่างเธอนั้นไม่ชอบถ่ายรูป เพราะไม่ค่อยมีความมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเองเท่าไหร่ ดังนั้นเธอจึงขอแยกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนเพื่อเดินเล่นตามลำพัง
หลังจากเดินเที่ยวได้สักพักขนมผิงก็หันไปเห็นนักท่องเที่ยวแบกเป้ใบใหญ่คนหนึ่งเดินตรงมาทางตน และในมือของเขาเหมือนจะมีกล้องถ่ายรูปอยู่ด้วย ที่สำคัญใบหน้าเจ้าของร่างสูงใหญ่นั่นช่างคุ้นตาเหลือเกิน หล่อนยกมือขึ้นขยี้ตาทั้งสองข้างแล้วก็จ้องมองคนที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขม็ง ในที่สุดภาพใบหน้าหล่อเหลาก็ชัดเจน เป็นใบหน้าของคนที่ลอยเข้ามาในโสตประสาทและรบกวนสมาธิเธอตลอดเวลาตั้งแต่ที่แยกจากกันเมื่อเดือนก่อน วันนั้นหลังจากเขาพาเธอไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแล้วพบว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก เธอก็ขอแยกตัวจากเขาทันที เวลาผ่านมาเป็นเดือนแล้วเธอกับเขาก็ไม่ได้เจอกันอีก แต่วันนี้จู่ๆ เขากลับมาปรากฏตัวตรงหน้าเธออีกครั้ง
“คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหม” ขนมผิงถามตัวเองเบาๆ คล้ายละเมอขณะจ้องมองคนที่เดินตรงมาทางตน แล้วเธอก็มองซ้ายมองขวาเพื่อหาที่หลบ แต่ยังไม่ทันได้ขยับก็ต้องชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยทักทายขึ้น
“ไม่เจอกันนานเลยนะครับขนมผิง” เขาทักทายราวกับว่าตัวเองและหญิงอ้วนตรงหน้าสนิทกันก็มิปาน
ขนมผิงเม้มปากแน่นไม่ตอบ ยังมึนงงอยู่ว่าเขามาได้ยังไง ขนาดเธอมาถึงเชียงรายยังเจอเขาอีก
“ว่ายังไงครับ จะไม่ทักทายผมหน่อยเหรอ ตกใจ กลัว หรือว่าคิดถึง”
วิลถามพลางยักคิ้วให้สาวตรงหน้า เมื่อมองเลยไปข้างหลังหญิงสาวก็เห็นเพื่อนๆ ของเธอกำลังสนุกกับการถ่ายรูป รอบๆ บริเวณมีนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด และบางคนก็กำลังเตรียมเต็นท์สำหรับไว้นอนพักผ่อนในคืนนี้แล้ว นักท่องเที่ยวมีทั้งที่มากันเป็นครอบครัว มากับที่ทำงาน บ้างก็มากับกลุ่มเพื่อนๆ ขณะที่บางคนฉายเดี่ยวแบบชายโฉดรักป่า รักภูเขา รักท้องฟ้าแบบเขา ดอยแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูปวิวบนยอดดอยเป็นที่สุด แม้การเดินทางขึ้นมาจะเหนื่อยยากลำบากแค่ไหน แต่ก็คุ้มเมื่อได้สัมผัสกับบรรยากาศสวยงามแบบนี้ วิลยกกล้องในมือขึ้นมาถ่ายรูปให้สาวอ้วนที่ยังยืนอึ้งอยู่ เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นพร้อมกันกับที่ขนมผิงยกมือปิดหน้าตัวเองด้วยความตกใจ
“ไม่มีมารยาท!” เธอว่าเขาพร้อมกับหมุนตัวจะเดินหนี แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขากลับเสียหลักล้มลงไปกองกับพื้นหญ้า ทว่าวิลที่เคลื่อนตัวไวเหมือนปรอทเสียสละร่างกายตัวเองเป็นเบาะรองรับร่างนุ่มให้ขนมผิงได้ทัน
“วะ...ว้าย! ”
“ระวังหน่อยสิคุณ” เขาพูดเหมือนดุหญิงสาว แต่จริงๆ แล้วแค่อยากแกล้งเท่านั้น คนอะไรช่างน่าหยอกน่ากอดเสียเหลือเกิน คิดได้ดังนั้นก็ตวัดแขนโอบกอดร่างตุ้ยนุ้ยแน่นกว่าเดิม
“อือ! คนบ้า! ฝรั่งบ้า! ทำให้คนอื่นล้มแล้วยังมาว่าคนอื่นไม่ระวังอีก ปะ...ปล่อยได้แล้ว” เธอสั่งเขาให้รีบปล่อยอ้อมแขนด้วยกลัวว่าเพื่อนๆ จะมาเห็นเข้า
“ขอกอดอีกหน่อยนะ ตัวหอมจัง เหงื่อยังหอมเลย” พูดพลางสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ แล้วมือที่โอบกอดร่างตุ้ยนุ้ยแน่นก็เริ่มเคลื่อนไหวไปมา
“ปล่อยได้แล้ว เราไม่ใช่เพื่อนหรือคนรู้จักมักคุ้นกัน ไม่ต้องมากอดมาหอมแบบนี้ อีกอย่าง...ฉันไม่ชอบ! ” แต่แววตาของเธอไม่ได้บอกแบบนั้น มันทั้งหลุกหลิกและมีแววเขินอาย แถมแก้มทั้งสองข้างก็แดงปลั่งน่ากัดน่าจูบเหลือเกิน
“หึๆ แน่ใจนะครับว่าไม่ชอบ แล้วทำไมแก้มแดงขนาดนั้น”
“ระ...ร้อน”
“ร้อนหรือเขินเลือกสักอย่างสิครับ” วิลเย้าสาวอ้วนเหนือร่างให้ได้อายยิ่งขึ้นไปอีก
“เขินบ้าเขินบอน่ะสิ ปล่อยได้แล้ว จะกอดอะไรแน่นขนาดนี้เนี่ย อึดอัดหายใจไม่ออก ที่บ้านเมืองคุณไม่สอนรึไงว่าห้ามกอดคนอื่นที่ไม่ใช่แฟน” เธอสุดจะทนจึงว่าเข้าให้ พร้อมดิ้นรนยันร่างตัวเองให้ลุกขึ้น แต่ก็ไม่ได้ผล ทั้งที่หล่อนตัวใหญ่กว่าเขาแต่ดิ้นเท่าไรก็ไม่หลุดสักที
เมื่อครู่นี้ขนมผิงพูดรัวเร็วจนวิลฟังแทบไม่ทัน แต่ก็พอจับใจความได้บ้างจึงตอบโต้กลับไป
“สอนครับ แต่ผมเลือกที่จะไม่มีมารยาทกับคุณ” พูดจบก็พลิกร่างขึ้นคร่อมทับสาวอ้วนอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่บนหลังมีเป้ใบใหญ่และหนักอยู่ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหว
“คะ...คุณจะทำอะไรฉัน” เธอถาม
“ทำแบบนี้ไงครับ”
“อ๊ะ...อื้อ...”
คำพูดของขนมผิงถูกปิดกั้นอยู่แค่ในลำคอด้วยริมฝีปากหนาของวิล เขาฉวยโอกาสจังหวะที่สาวเจ้าเนื้อเผยอปากจะต่อว่าเขาทาบทับริมฝีปากหยักหนาลงเคล้าคลึงริมฝีปากระเรื่อ ก่อนจะสอดแทรกเรียวลิ้นสากเจนจัดเข้าไปสำรวจและควานหาความหวานล้ำของโพรงปากอิ่มนุ่มที่จับจ้องมานานแล้วทันที เขาจ้องมองด้วยความหลงใหลทุกครั้งที่เจอหน้าเธอ ริมฝีปากของเธอยั่วยวนและปลุกเร้าความปรารถนาของเขาได้ดีเหลือเกิน
วิลบดจูบดูดดื่มอย่างเอาแต่ใจ ไม่สนว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน ทำราวกับว่าโลกนี้มีเพียงเขาและเธอแค่สองคน โชคดีที่พื้นดอยเป็นต้นหญ้า ช่วยพรางสองร่างที่นอนก่ายเกยทาบทับกันอยู่จากสายตาผู้คน หากนักท่องเที่ยวคนอื่นไม่สังเกตก็คงจะไม่เห็น แต่จะว่าไปก็ไม่มีใครสนใจใครทั้งนั้นแหละ เพราะวิวเบื้องหน้าดึงดูดใจกว่าเยอะ อีกอย่างบนดอยลังกาหลวงแห่งนี้ภาพหนุ่มสาวพลอดรักกันมีให้เห็นบ่อยๆ ขนมผิงนอนนิ่งอึ้งตาเบิกกว้างอย่างทำอะไรไม่ถูก ทว่าวิลใช้ประสบการณ์ที่มากกว่าหลอกล่อจนหญิงสาวเผลอจูบตอบอย่างไร้เดียงสาด้วยความลืมตัว
ทางด้านนึกคิดกับเตโชเมื่อถ่ายรูปกันเสร็จก็มองหาเพื่อนสาว หันมองโดยรอบแต่ก็ไม่เห็นแม้เงาจึงกดโทรศัพท์โทร.หา ตอนนี้นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ กำลังกางเต็นท์พักแรมกันแล้ว พวกเขาขึ้นดอยมากับคนนำทางซึ่งตอนนี้เตรียมเต็นท์ค้างคืนและเก็บสัมภาระไว้ให้พวกเขาเรียบร้อยแล้ว ทว่ากดโทร.หลายครั้งแต่ก็ไม่มีใครรับสาย ในที่สุดทั้งสองก็ตัดสินใจร้องตะโกนเรียกชื่อเพื่อนรัก
“ขนมผิง! แกอยู่ไหน!” เตโชจีบปากจีบคอดัดเสียงเล็กเสียงน้อยร้องเรียกชื่อเพื่อนสาวตัวกลม
“ขนมผิง! ตัวเองอยู่ไหน เดี๋ยวก็มืดหรอก” นึกคิดร้องเรียกอีกคนพร้อมเดินหาเพื่อนรัก แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ กลับมา
“แก...ยายขนมผิงอ้วนหายไปไหนอะ เมื่อกี้ยังเห็นเดินไปทางนั้นอยู่เลย” เตโชถามหน้าเครียดพลางเกาะแขนของนึกคิด
“นั่นสิ เพราะแกเลยยายเตโชคนสวยน้อย อยากถ่ายรูปมากซะจนเพื่อนหาย” นึกคิดว่าเข้าให้
“พอกันแหละน่า จะโทษกันไปมาทำไม รีบตามหายายขนมผิงเถอะ เดี๋ยวก็มืดก่อนพอดี” ชายใจหญิงเอ่ยแล้วเดินไปอีกทางพร้อมร้องเรียกเพื่อนรัก ส่วนนึกคิดก็เดินไปอีกทาง แต่ก็ไร้เสียงตอบรับกลับมา มีเพียงเสียงพูดคุยกันของนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปมาเท่านั้น เอารูปในมือถือถามใครๆ ก็ไม่มีใครเห็น
