CHAPTER 2
การเคารพการตัดสินใจเป็นสิ่งที่ควรทำถึงแม้ภายในใจมันจะเรียกร้องในทางตรงกันข้ามเพราะฉันรู้ดีไงว่าการตัดสินใจไปเรียนต่อครั้งนี้ของนาชาเธอเหมือนต้องการจะหนีใคร...
ความรวดเร็วในการเตรียมตัวแทบไม่มีอีกทั้งครอบครัวของเราก็ยังต่างมีเสียงคัดค้านจากคุณปู่คุณยาคุณพ่อและก็คุณแม่แต่เสียงของพวกเขาก็ต้องสงบลงเมื่อนาชาใช้ไม้แข็งที่ต่างทำให้ทุกคนยินยอมนั่นก็คือการไม่ยอมออกจากห้องไม่ยอมแตะอาหารสองวัน
การขับรถฝ่าสายฝนของฉันในวันนี้มันรู้หนาวเย็นจนจับขั้วหัวใจเพราะไม่มีเสียงชวนคุย ไม่มีร่างเล็กนั่งประจำที่นั่งคนขับเหมือนทุกๆ ครั้งบอกเลยว่าโคตรเหงายิ่งยามติดไฟแดงสายตามองออกไปนอกรถก็พบแต่ความมืดครึ้มของท้องฟ้าเสมือนว่ากำลังร้องไห้อยู่เช่นเดียวกันกับฉัน ความจริงแล้วการไปเรียนต่างประเทศก็เป็นความฝันของฉันเหมือนกันทว่าความฝันมันก็ยังเป็นความฝันอยู่วันยังค่ำในเมื่อการดูแลกิจการร้านเพชรของทางบ้านต่างหากที่เป็นความจริงยังไงเสียสถานการเป็นพี่สาวก็ยังค้ำคอให้ฉันต้องสืบทอดธุรกิจไม่เหมือนกับนาชาที่ต้องการเปิดร้านเสื้อผ้าเป็นของตัวเอง
สิ่งที่ฉันหลีกหนีไม่ได้นั่นก็คือดูแลธุรกิจของครอบครัว
Rr….
“คะแม่ ซีกำลังจะกลับบ้านคะแต่รถติดหน่อย”
ฉันกรอกเสียงไปตามสายอย่างเคยชินเมื่อสายตาเหลือบมองไปยังหน้าจอเป็นแม่ของตัวเอง ความสงสัยมีอยู่เต็มเปี่ยมเพราะแม่โทรมาหาทีไรมักมีเรื่องเกินความคาดหวังเสมอ
[ซีลูกแวะเอาเอกสารให้แม่หน่อยสิ]
นั่นไงล่ะ... เดาไว้ไม่มีผิด
“เอกสารเหรอคะ ได้ค่ะว่าแต่ที่ไหนคะแม่เดี๋ยวซีไปเอาให้?”
ยังไงก็อยู่ข้างนอกแล้วเข้าบ้านช้าหน่อยไม่เป็นอะไรมากยังไงวันนี้ฉันคงได้นอนที่บ้านใหญ่อยู่ดีอีกอย่างดีว่าไปนั่งเหงาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมกว้างๆ
[ที่คุณอาไชยยัน]
“อาหมอ...”
[จ๊ะ... ไปที่โรงพยาบาลธัญญาเรศเลยนะลูกรัก]
โรงพยาบาลธัญญาเรศ!
“…”
[ขอบใจมากจ๊ะนาซีลูกรักของแม่...]
สายของแม่ตัดไปทิ้งให้ฉันอึ้งอยู่นานสองนานทำไมทุกอย่างมันถึงไม่ได้เป็นดั่งที่ใจคิดเอาไว้เลยนะ มันผิดพลาดไปหมดแล้วไม่น่าสัญญาว่าจะกลับไปนอนบ้านใหญ่เลยด้วยซ้ำไป
ฉันเดินทางผิดมาตั้งแต่ต้นจึงซวยมาตลอดทั้งวัน นาทีนี้ฉันจำเป็นต้องเลี้ยวรถตรงแยกด้านหน้าแล้วมุ่งไปโรงพยาบาลทันที โรงพยาบาลขนาดใหญ่รองรับผู้ป่วยทุกชนชั้นไม่แบ่งแยกถึงเป็นโรงพยาบาลเอกชนก็ตามแต่ยังมีนโยบายช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จึงสามารถติดโรงพยาบาลขวัญใจของคนทั้งประเทศอีกทั้งยังขึ้นมาเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกที่ได้รับการประเมินจากชาวต่างชาติให้เรื่องของเครื่องมือที่ทันสมัย
ฉันกลับมาอีกครั้งในรอบสามปีกว่า...
อาไชยยันเป็นพี่ชายของแม่ท่านทำงานเป็นหมอทางด้านสมองอยู่นี่ตั้งแต่เรียนจบจากต่างประเทศมาแน่นอนว่าโรงพยาบาลใหญ่แบบนี้ก็ต้องมีบุคลากรที่มีคุณสมบัติเริดไม่ต่างจากโรงพยาบาลเหมือนกัน
แหล่งรวมคนเก่งแสนเก่งไงล่ะ
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาด้านในกลิ่นเฉพาะตัวของโรงพยาบาลก็เข้ามาปะทะจมูกฉันบอกเลยว่าไม่ชอบเอามากๆ สำหรับกลิ่นนี้แล้วนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงไม่เรียนหมอทั้งๆ ที่สอบติดฉันปฏิเสธการเรียนหมออย่างเอาเป็นเอาตาย
“กลิ่นแบบนี้ตายแน่นาซีเอ้ย”
ร่างเล็กรีบค้นกระเป๋าเอายาดมหลอดโบราณสีเงินของคุณย่าขึ้นมาสูดดมเข้าเต็มปอดแบบไม่ปล่อยออกจากจมูกก่อนเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์แผนกที่อาไชยยันประจำอยู่
“ขอโทษคะ อยากพบคุณหมอไชยยันคะ”
“รอสักครู่นะคะ” พนักงานเคาน์เตอร์บอกกับฉันพร้อมรอยยิ้มอันสดใจหรือไม่ก็คงหัวเราะฉันในใจล้อเลียนเรื่องยาดมคุณย่า “ตอนนี้คุณหมอมีแขกอยู่คะ”
“มีแขก?”
“ใช่ค่ะ กรุณารอสักครู่นะคะ”
แต่ฉันแค่มาเอาเอกสารให้คุณแม่เท่านั้นนะไม่ได้มาตรวจหรือว่านัดอะไรเป็นพิเศษทำไมถึงต้องมาติดขัดแบบนี้ ถ้าคุณแม่ให้มาเอาแสดงว่าอาหมอว่างแน่ๆ
“แต่เท่าที่ทราบมาคุณหมอท่านว่างไม่ใช่หรอคะ?”
ถึงจะเสียมารยาทแต่ฉันไม่อยากอยู่นานจริงๆ โรงพยาบาลแห่งนี้อะไรที่ทำให้ไปพ้นๆ มันจะเป็นสิ่งดีและยอดเยี่ยมมากเพราะฉะนั้นฉันจึงอยากออกไปเร็วๆ
“เอ่อ... พอดีคุณหมอธนดลพึ่งเข้าไปคะ”
แซงงั้นเหรอ?
ไม่สิไม่เรียกว่าแซงเพราะฉันไม่ได้นัด แต่จู่ๆ ก็เจอเหตุการณ์แบบนี้มันทำให้ฉันอารมณ์เสียมากขึ้นเป็นเท่าตัวเรียกได้ว่าควันออกหูเลยแหละ นึกไม่ถึงว่าโรงพยาบาลใหญ่ขนาดนี้จะเจออะไรแบบนี้
“ถ้างั้นฉันก็เข้าไปได้!”
“คุณคะไม่ได้นะคะ คุณคะ คุณ!”
ร่างเล็กเดินตรงเข้าไปโดนไม่รับฟังเสียงคัดค้านของพนักงานเคาน์เตอร์เลยเธอกระชับกระเป๋าสะพายใบใหญ่เข้าหาตัวเองพร้อมทั้งเชิดใบหน้าตรงไปห้องที่ต้องการไม่นานนักเท้าสวยก็หยุดลง
