ตอนที่2. มินตรา
หญิงสาววัยยี่สิบตอนปลาย รูปร่างสูงโปร่งซ่อนอยู่ในเสื้อยืดกางเกงยีนส์สีดำ ท่วงท่าทะมัดทะแมง ผมยาวๆถูกรวบเป็นมวยสูงเผยให้เห็นเครื่องหน้าโดดเด่น จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางเฉียบ และ ดวงตากลมโตขนตายาวเป็นแพเรียงสวย ใบหน้าขาวสะอ้านไร้การแต่งเติมสีสันแต่แก้มที่ยังมีเลือดฝาดอย่างคนสุขภาพดี จึงชวนให้ผู้พบเห็นอดเหลียวมองไม่ได้
“สวัสดีค่ะ คุณมิ้น” ประชาสัมพันธ์สองสาวที่นั่งตรงเคาน์เตอร์ต้อนรับส่งเสียงทักทาย
“บอสอยู่ไหม” หล่อนถาม
“อยู่ค่ะ” หนึ่งในสองสาวตอบแล้วผายมือเชิญ ให้เข้าไปในห้องที่มีป้ายชื่อติดพร้อมระบุตำแหน่ง ‘ผู้อำนวยการองค์กรแบล็คบัตเตอร์ฟลาย’
หล่อนเคาะประตูเบาๆก่อนเปิดเข้าไป มินตราจึงเห็น ‘บอส’ นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ชายหนุ่มมีวัยมากกว่าหล่อนเกือบสิบปีหากยังดูภูมิฐานทะมัดทะแมง
ปารย์เงยหน้าขึ้นมองหล่อนนิดเดียว ก่อนหันกลับไปจ้องข้อมูลที่เป็นตัวหนังสือถี่ยิบบนจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะ
ไม่แปลกใจที่ได้เห็นมินตราเดินหน้าตึงเข้ามาในห้องทำงานของเขา ทั้งที่ปกติ... ทั้งคู่จะติดต่อกันทางโทรศัพท์มือถือ หรือไม่ก็อินเตอร์เน็ต นอกจากมีประชุมร่วมกันภายในองค์กร หรือมีเรื่องเร่งด่วนสำคัญ
“นั่งก่อนสิ” เขาพยักหน้าให้หล่อนนั่งลงตรงข้าม “ผมก็คิดอยู่ แต่ไม่นึกว่า คุณจะมาถึงที่นี่เร็วกว่าที่คิดไว้”
“แน่นอนค่ะ บอส ฉันต้องการรู้เหตุผล”
มินตราไม่อ้อมค้อม หล่อนถามทันที น้ำเสียงที่เคร่งเครียดจริงจังของหล่อน ทำให้ปารย์ต้องตัดสินใจปิดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ตรงหน้าลง
“คุณได้รับเอกสารทั้งหมดแล้วใช่ไหม” เขาเงยหน้าขึ้นย้อนถาม
“ใช่ค่ะ เพิ่งได้รับเมื่อวาน” มินตราหยิบเอกสารปึกหนาในซองสีน้ำตาลออกจากกระเป๋าสะพายใบโต ก่อนวางมันลงบนโต๊ะ
“...ถึงต้องมาหาบอสที่นี่”หล่อนพูดพลางเลื่อนเอกสารซองนั้นไปตรงหน้าเขา
“ผมก็คิดอยู่ คุณต้องซีเรียส” บอสยอมรับ
“แล้วทำไมยังส่ง ‘เคส’นี้มาให้ฉัน”
มินตราหน้าบึ้งตึง จากปกติที่เพื่อนร่วมองค์กรตั้งฉายาลับหลังหล่อนว่า ‘เสือยิ้มยาก’ ในตอนนี้ใบหน้าสวยของหล่อนยิ่งไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนอารมณ์
ปารย์รับเอกสารปึกนั้น ก่อนหยิบมันออกจากซอง
“ผมก็ไม่เห็นว่า.....” เขาอธิบาย พร้อมกับพลิกดูเอกสารทีละใบ โดยเฉพาะภาพถ่ายของบุคคลที่เป็น ‘เคส’ของหล่อน
“...ดอกเตอร์บุญเติม จะย่ำแย่ตรงไหน ดอกเตอร์เป็นคนดี เป็นคนเก่งระดับหัวกะทิของวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์”
“ฉันทราบ อ่านจากข้อมูลทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว”
“หืม” หัวหน้าใหญ่ขององค์กรเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม....แล้วคุณยังมีปัญหาอะไร ถึงทำท่าจะปฏิเสธเคส....
“ฉันไม่คิดว่า เอ่อ เขาจะอายุน้อยกว่าที่คิดไว้”
ดอกเตอร์บุญเติมรุ่นราวคราวเดียวกับปารย์ ไม่ใช่ศาสตราจารย์แก่ๆอย่างที่หล่อนคาดเดา
บอสใหญ่หัวเราะในลำคอ เขาส่ายหน้าไปมา
“ผมคิดว่า คุณจะเลิกตั้งกฎให้ตัวเองแล้วเสียอีก มินตรา”
“บอสก็รู้ เรื่องนั้น....”
ปารย์ถอนหายใจ พลางเรียกชื่อหล่อนด้วยเสียงอ่อนโยน
“มินตรา...”
เขาสบตาหล่อนด้วยความเห็นใจ ในฐานะที่ หล่อน ‘เคย’เป็นคนในครอบครัวเขาคนหนึ่ง ถึงตอนนี้ เขาก็ยังรู้สึกว่าหล่อนยังเป็นสมาชิกในครอบครัวของเขาเช่นเดิม หากหล่อนยัง ‘ยอมรับ’
มินตราเข้ามาอยู่ในครอบครัวของเขาตั้งแต่หล่อนอายุไม่ถึงสิบขวบ ตอนนั้นบิดาของปารย์เป็นนายตำรวจมือปราบที่เก่งคนหนึ่งของกรม
เขาได้ตัวเด็กหญิงมาจากการทลายแก๊งโจรข้ามชาติที่มีคดีพัวพันทั้งยาเสพติดและค้าอาวุธสงคราม เด็กหญิงที่ไม่มีประวัติการเกิด เติบโตขึ้นมาในซ่องโจรอย่างไม่มีใครสนใจ
นายตำรวจใหญ่เห็นถึงความเฉลียวฉลาดเกินวัยของเด็กหญิง ควรได้รับการสนับสนุนเลี้ยงดูไปทางที่ถูกที่ควร เด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู พอที่จะทำให้ลัดดาผู้เป็นภรรยายอมใจอ่อนรับอุปการะเด็กหญิง
มินตราได้รับการเลี้ยงดูเหมือนเด็กในบ้านคนหนึ่ง เพียงแต่เด็กหญิงได้รับการขัดเกลานิสัยใจคอใหม่ทั้งหมด ราวผ้าขาวเปื้อนสีที่ได้รับการซักล้างจนแทบสะอาดหมดจด โดยเฉพาะความเอื้ออาทรของปารย์ลูกชายนายตำรวจใหญ่ที่ดูแลหล่อนเหมือนน้องสาวสายเลือดเดียวกัน
นั่น...ทำให้มินตราเติบโตขึ้นมาด้วยความอบอุ่น
กระทั่ง ...
