สาม
ตลอดหลายสิบวันที่ผ่านมาหลังจากวันที่ไปพบจิ้งหนิงไทเฮาซือเซียนก็ถูกจับฝึกมารยาทและระเบียบการที่ควรรู้ทั้งหมดของการเป็นพระชายาเอกขององค์ชายหยางอี้ จนกระทั่งวันสำคัญที่สุดในชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งก็มาถึง นั่นก็คือวันอภิเษกสมรสนั่นเอง
เอาจริงนะ ตั้งแต่ตื่นมาและรู้ว่าตนต้องแต่งงานนั้นยังไม่แม้แต่จะเห็นขี้เล็บของผู้เป็นพระสวามีในอนาคตเลย รู้เพียงว่าเขาคือองค์ชายคนโตสุด เป็นพระโอรสของฮ่องเต้กับพระสนมเอกฉวาลี่ แต่ถึงแม้จะเป็นพระโอรสองค์โตสุดแต่ก็ไม่ได้เป็นที่โปรดปราณแต่อย่างใด เห็นได้จากหนึ่งคือองค์ชายหยางอี้นั้นถูกให้ออกไปตั้งตำหนักแยกข้างนอกรั้ววังทั้งที่ไม่ได้แต่งตั้งตำแหน่งเป็นเป็นอ๋องแต่อย่างใด เพียงให้สิทธิพิเศษออกอยู่นอกวังเท่านั้น ซึ่งนางที่เป็นคนนอกยังมองรู้เลยว่าน่าจะเป็นเพราะฮ่องเต้ไม่อยากเห็นหน้า แต่ก็ไม่แน่อาจมีเหตุผลเชิงลึกก็เป็นได้ ซึ่งจากความไม่โปรดปราณนี้มีสาเหตุมาจากก่อนเข้าสู่ช่วงวัยผู้ใหญ่ขององค์ชายหยางอี้ถูกใต้ซือเพ่ยจวินซึ่งเป็นที่เคารพรักของปวงประชาเมืองนี้ทำนายทายทักว่า องค์ชายหยางอี้มีดวงกินเมือง หลังจากนั้นมาองค์ชายหยางอี้จึงค่อย ๆหายหน้าออกจากความโปรดปราณของฮ่องเต้เรื่อยมา บวกกับความที่เขามีนิสัยประหลาดบางอย่างทำให้ไม่เป็นที่น่าพึงใจของผู้เป็นใหญ่แห่งแผ่นดินนี้เข้าไปใหญ่ และนี่ก็เหมือนจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหม่ขององค์ชายผู้นี้เพราะไทเฮาได้พบนางเข้า ซึ่งเป็นตัวแก้ดวงกินเมืองของหยางอี้นั่นเอง
หากซือเซียนคนนี้มีประโยชน์ถึงเพียงนั้นนางก็ควรได้รับการต้อนรับอย่างดีสิถึงจะถูกใช่หรือไม่
แต่ไยงานอภิเษกสมรสครานี้ถึงดำเนินอย่างไร้เจ้าบ่าวได้เล่า!
ซือเซียนถูกจับแต่งตัวด้วยชุดอย่างหนักสุดแสนจะหนัก แต่ตั้งแต่พิธีส่งตัวเจ้าสาวจนถึงพิธีคำนับฟ้าดินไยนางถึงเป็นผู้ดำเนินการอยู่คนเดียวได้ และกระทั่งตอนนี้ช่วงกลางคืนนางก็ยังต้องนั่งรอเจ้าบ่าวให้มาดื่มสุรามงคลอีก
ดี นางจะไม่ทนอีกต่อไป ซือเซียนถกผ้าคลุมหัวลงและแบกชุดเจ้าสาวไปนั่งบนเก้าอี้กลางห้อง ตรงหน้าเป็นอาหารหลากหลายและสุรามงคล นางโบกมือให้นางกำนัลออกไป ส่วนตัวเองก็ยกสุราดื่มและคีบอาหารเข้าปากอย่างคนอารมณ์ไม่ดี
หิวก็หิว รอไปพระสวามีของนางก็คงไม่มาหรอก มิสู้กินให้ท้องอิ่มจะได้ถอดชุดสุดแสนหนักออก อาบน้ำและเข้านอนมิดีกว่าหรือ
โดยไม่ต้องให้มีใครตอบ ซือเซียนคิดเองเลยว่า ดี
เช้าวันต่อมา เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันแรกของการได้ขึ้นชื่อว่าคือพระชายาเอกขององค์ชายหยางอี้นางจึงตื่นเช้ากว่าเดิม ตื่นขึ้นมาออกกำลังยามเช้า และอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ถึงยามเฉินเท่านั้นจึงเรียกเย่ปินซึ่งคือนางกำนัลคนเดียวของไทเฮาที่ถูกให้มารับใช้ซือเซียนให้เข้ามา
“ข้าจำต้องไปเคารพใครในตำหนักแห่งนี้หรือไม่”
เย่ปินส่ายหน้าเบา ๆ
“ไม่ต้องเพคะพระชายา ที่ตำหนักแห่งนี้มีเพียงองค์ชายอยู่เท่านั้น แต่เดี๋ยวหลังอาหารมื้อเช้าจะมีกูมามาผู้ดูแลตำหนักมาเอ่ยเรื่องกฎระเบียบของที่นี่เพคะ”
และพอหลังนางทานอาหารเช้าเรียบร้อยก็มีสตรีวัยกลางคนนางหนึ่งมาขอเข้าพบ
“คารวะพระชายาเพคะ เรียกหม่อมฉันว่ากูมามาก็ได้เพคะ เป็นแม่นมขององค์ชายหยางอี้และทำหน้าที่ดูแลตำหนักแห่งนี้ด้วย”
ซือเซียนพยักหน้ารับ นางยังคงรู้สึกประหลาดไม่หายที่ต้องให้คนที่อายุมากกว่ามาคารวะกันอย่างนี้
หลังจากนั้นกูมามาก็ไล่เรื่องกฎระเบียบออกมายาวยืดซึ่งส่วนใหญ่นางก็เคยฟังมาจากถงมามามาบ้างแล้ว แต่มาสะดุดที่ประโยคหลัง ๆ
“ที่นี่ห้ามจุดไฟอย่างนั้นหรือ”
ก็ว่าไยเมื่อวานตอนกลางคืนที่ตำหนักถึงไม่ใช้ตะเกียงเป็นแหล่งให้แสงสว่างแต่กลับใช้หยกเรืองแสงแทน นางนึกว่าเจ้าของตำหนักอย่างองค์ชายหยางอี้จะชอบความสวยงามแต่ที่ไหนได้ ที่นี่ห้ามจุดไฟใดใดนี่เอง
“จะมีเพียงเรือนบางแห่งเท่านั้นที่อนุญาตให้ใช้ไฟได้ เช่น โรงครัวเพคะ”
ซือเซียนถึงจะยังสงสัยเรื่องห้ามไม่ให้จุดไฟไม่หายแต่ก็พยักหน้ารับคำ แต่ก็อดเอ่ยถามไม่ได้
“เหตุใดถึงไม่ให้จุดไฟหรือ”
กูมามาทำหน้านิ่งก่อนตอบ ตั้งแต่เข้ามานางยังไม่ได้รับรอยยิ้มจากสตรีตรงหน้าเลยสักแอะ
“เป็นรับสั่งขององค์ชายเพคะ”
และพอซือเซียนสบตากูมามาก็ได้รับความหมายมาประมาณว่า ไม่ต้องถามมาก คำสั่งเจ้าของจวนน่ะเข้าใจไหม กลับมา จึงได้แต่ต้องปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป
“อย่างนั้นมีเรื่องอื่นอีกไหม”
“ส่วนเรื่องข้ารับใช้ หม่อมฉันจะจัดมาภายในช่วงเช้านี้เพคะ และเรื่องอื่น ๆ จะมีนางกำนัลส่งของมาให้ตามเวลาที่เหมาะ หากมีเรื่องอื่นใดต้องการสามารถให้คนไปบอกแก่พ่อบ้านผู้ดูแลตำหนักได้เพคะ”
และก่อนจากไปกูมามาก็กำชับอีกเรื่องหนึ่ง และจากไปทันทีโดยไม่รอให้นางเอ่ยถามอันใด
“ตำหนักฝ่ายขวาในส่วนขององค์ชายหยางอี้ หากไม่ได้รับพระราชทานพระอนุญาตจากองค์ชาย พระชายาก็ไม่สามารถเสด็จไปได้เพคะ”
เอิ่ม พูดง่ายก็คือจะให้นางอยู่แต่ส่วนของตัวเองอย่างนั้นกระมัง ซือเซียนชักสงสัยแล้ว นี่นางถูกแต่งเข้ามาเป็นชายาเอกจริงหรือนี่ นึกว่าถูกเชิญมาเป็นแขกคนหนึ่งเท่านั้นเอง
กว่าชั่วยาม ของที่กูมามาเอ่ยถึงก่อนหน้าก็ถูกบ่าวรับใช้บุรุษยกเข้ามา
“พระชายาเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจัดการให้เพคะ”
เย่ปินเปิดฝาหีบทันทีซึ่งมันก็คือเหล่าเสื้อผ้าและเครื่องประดับสำหรับพระชายานั่นเอง แต่พอเย่ปินเปิดดูแล้วก็พูดอย่างที่ได้ยินก่อนหน้าเลย
“จัดการอันใดหรือ”
ซือเซียนดูของด้านในหีบที่เย่ปินเปิดให้ดู จากที่นางเห็นนะมันก็คือเครื่องประดับและเสื้อผ้าอย่างไรเล่า ไม่เห็นมีเรื่องอันใดต้องจัดการ
“เครื่องประดับและชุดเหล่านี้หาได้เหมาะกับฐานะพระชายาเอกไม่เพคะ ของพวกนี้นางกำนัลในวังยังใส่ดีกว่านี้อีกเพคะ”
ซือเซียนจึงตั้งใจดูของในหีบอีกทีพอนำไปเทียบกับเครื่องแต่งกายของนางกำนัลที่เห็นในช่วงที่ผ่านมาก็พยักหน้าเห็นด้วย จึงเอ่ยเสียงราบเรียบขัดกับนางกำนัลตัวน้อยที่มีท่าทีกระฟัดกระเฟียดราวฟ้ากับเหว
“คนจัดการคงจัดมาผิดกระมัง เจ้าไปเปลี่ยนมาก็สิ้นเรื่องแล้ว”
จากนั้นซือเซียนก็ปล่อยให้เย่ปินออกไปจัดการ นางให้บ่าวในเรือนช่วยยกของตามไป เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยามซือเซียนก็ไม่เห็นเย่ปินกลับมาแต่อย่างใด พอถามบ่าวคนหนึ่งที่กูมามาเพิ่งส่งมาก็ส่ายหน้าไม่รู้เช่นกัน นางจึงตัดสินใจเดินออกไปตาม
แม้ทางจะไม่คุ้นชินแต่นางก็พอจำได้ว่าส่วนที่เป็นที่พักและทำงานของพ่อบ้านของตำหนักแห่งนี้คือตรงไหน ซึ่งเดินมาใกล้ถึงเป้าหมายก็ได้ยินเสียงโวยวายของคนของตนดังขึ้น
“พวกเจ้าทำอย่างไรก็จักไม่เปลี่ยนใช่หรือไม่ หากเรื่องนี้ถึงหูจิ้งหนิงไทเฮาพวกเจ้าถูกไล่ออกแน่ !”
ซือเซียนเดินมาเห็นแต่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งแต่ไม่เห็นนางกำนัลเย่ปินผู้เป็นต้นเสียงเลย จึงเดาว่านางคงถูกล้อมอยู่กลางวงนั้นอย่างแน่นอน
“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า ว่าของพวกนี้พวกเราตั้งใจจัดเตรียมไว้ให้พระชายา หากเจ้าอยากเปลี่ยนก็ต้องรอเสียหน่อยเพราะรอบการตัดชุดนั้นเพิ่งผ่านไป ส่วนเรื่องฟ้องไทเฮานั้นเจ้าอยากฟ้องก็เชิญเถิดอย่างไรพวกข้าก็ทำตามที่องค์ชายสั่งมิได้บกพร่องแต่อย่างใด แน่นอนว่าพวกข้ามิผิด”
“พวกเจ้าตั้งใจหมิ่นเกียรติพระชายาน่ะสิ หากข้า…”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”
ซือเซียนเดินนำบ่าวสองคนมายังตำแหน่งที่เย่ปินยืนอยู่ แต่พอมาถึงกลางวงก็กลายเป็นซือเซียนเดินเข้ามาคนเดียว ส่วนบ่าวสองคนนั้นยืนนอกวงเสียอย่างนั้น
“คารวะพระชายาเพคะ”
แม้ปากจะบอกว่าคารวะนางแต่ท่าทางการย่อของบ่าวแต่ละคนนั้นไร้ความเคารพต่อนางสิ้นดี
อย่างนั้นซือเซียนก็พอจะเดาเรื่องได้แล้ว การที่นางได้เครื่องใช้ประมาณนั้นไม่ใช่เป็นการเข้าใจผิดแต่อย่างใด แต่คนที่จัดมาให้ตั้งใจทำอย่างนั้น คงเห็นว่านางเป็นสาวชาวป่ากระมังถึงคิดจะแกล้งอันใดก็ได้
“คนของพระชายามาหาเรื่องพวกบ่าวเพคะ พวกบ่าวก็อยู่กันอยู่ดีดี”
ซือเซียนมองไปยังคนที่พูด นางใส่ชุดธรรมดาน่าจะเป็นบ่าวที่จัดการเรื่องทั่วไปหรือไม่ก็อาจเป็นฝ่ายตัดเย็บ เพราะเท่าที่นางจำได้คือ ตำหนักขององค์ชายหยางอี้ผู้นี้นั้นจะเป็นกึ่ง ๆ ตำหนักและจวน จึงมีทั้งข้ารับใช้ที่ถือเป็นนางกำนัลและบ่าว จะต่างกันตรงที่นางกำนัลนั้นคือผู้ที่ผ่านการคัดเลือกและฝึกมารยาทมาระดับหนึ่งเท่านั้นเอง นอกนั้นหน้าที่ก็แล้วแต่ได้รับมอบหมาย
“ไม่ใช่เพคะ บ่าวพวกนี้ยืนยันว่าอย่างไรก็จะไม่เปลี่ยนเครื่องประดับและเสื้อผ้าพวกนี้ ทั้งยังเอ่ยบอกหม่อมฉันตอนก่อนที่พระองค์จะเสด็จมาอีกว่า พวกนางจัดชุดให้เหมาะสมตามฐานะแล้วแต่เป็นพระชายาเองที่เรื่องมาก อย่างนั้นต้องรอให้ถึงรอบการตัดชุดใหม่ถึงจะทำให้เจ้าค่ะ”
ตอนที่เย่ปินได้ยินคำเอ่ยของพวกนางตอนนั้นแทบกระโดดไปสบั้นคอพวกบ่าวเหิมเกริมพวกนี้ แต่ติดที่มันออกจะผิดจากที่ถูกสั่งสอนจึงทำได้เพียงแต่เอ่ยโต้ตอบอย่างที่เห็น
ซือเซียนพยักหน้าพร้อมเอื้อมมือลูบไหล่เย่ปินเบา ๆ นางรู้สึกประทับใจนางกำนัลผู้นี้มาก ด้วยมิคิดว่านางจะจงรักภักดีกับหญิงชาวบ้านอย่างนางเยี่ยงนี้ ก่อนที่จะหันไปสบตากับบ่าวฝั่งตรงข้ามตรง ๆ ซึ่งอีกฝ่ายนั้นหน้าเสียไปชั่วครู่ แต่พอมองรอบกายที่เห็นว่ามีแต่พวกของตนจึงกลับมายิ้มอย่างมั่นใจอีกครา
“ที่นางพูดมาเจ้ามีสิ่งใดต้องการโต้แย้งหรือไม่”
