สอง
นางกำลังอยู่ในร่างของสตรีนางหนึ่งที่ไม่ใช่นาง ตรงหน้านั้นไม่ใช่ผู้หญิงผมซอยสั้น แต่เป็นหญิงสาวใบหน้าซีดเซียวผมยาวถึงกลางหลังต่างหาก
…ซือเซียน
หากเมื่อครู่นางฟังไม่ผิดคนหนึ่งในหญิงสาวพวกนั้นเรียกแม่นางซือเซียน นี่อาจเป็นชื่อของเจ้าของร่างที่ทหารเก่าอย่างนางมาอาศัยอยู่ก็เป็นได้ จากการนั่งนิ่งทบทวนกับตนเองมาสักพักทำให้นางทำใจยอมรับได้ว่านางน่าจะกำลังมาอาศัยร่างกายหญิงสาวนามว่าซือเซียนอยู่ ไม่ทราบด้วยเหตุผลใด หรือไม่แน่ นางอาจจะตายแล้วและวิญญาณล่องลอยมาเกิดใหม่ ณ ที่แห่งนี้อย่างนั้นหรือ
เมื่อครู่นางได้สอบถามจากคนที่มาดูแลตนเองก่อนหน้าทำให้รู้ว่าตอนนี้นางกำลังอยู่ในยุคจีนสมัยโบราณ! ยุคของราชวงศ์เว่ยปกครอง และที่สำคัญสถานที่ที่แม่นางซือเซียนหรือก็คือนางตอนนี้กำลังนั่งอยู่นั้นคือพระราชวัง ในส่วนการดูแลขององค์ไทเฮา
หากความรู้ที่ได้เรียนมาในชาติก่อนไม่ผิดพลาดไป ไทเฮานั้นคือตำแหน่งพระมารดาของฮ่องเต้เชียวนะ บุคคลที่ทรงอำนาจไม่แพ้โอรสสวรรค์ สามารถสั่งตัดหัวคนได้หากไม่พอใจอันใด
เรื่องนี้มันเลวร้ายเสียยิ่งกว่าการต้องออกรบโดยไร้ซึ่งแผนการอีกนะ!
ออกรบอย่างน้อยก็ยังสามารถใช้มือใช้เท้าหลบหลีกและป้องกันตนจากศัตรูได้ แต่การอยู่ใกล้อำนาจสูงสุดอย่างคนในราชวงศ์นั้นเหมือนถูกตัดแขนตัดขารอรับความตายแล้ว
สิ่งที่นางในฐานะนายทหารหน่วยรบพิเศษเก่าที่ต้องใช้ความอดทน ใช้ความสามารถรอบด้านถึงจะผ่านการทดสอบและได้รับตำแหน่งได้นั้นสิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือวาสนานั่นแล นางไม่ชอบเอาใจใคร ในอดีตจึงมักหลีกหนีงานที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์มาโดยตลอด แต่ใครจะคาดคิดว่าเกิดมาใหม่ครานี้กลับมาอยู่ในร่างที่นั่งอยู่ในวังเสียอย่างนั้น ไม่เพียงเท่านั้นนางในฐานะที่อยู่ในร่างซือเซียนยังต้องแต่งกับองค์ชายคนหนึ่งเพื่อแก้ดวงชะตาอีกด้วย
เท่าที่ฟังจากปากนางกำนัลคนหนึ่งเล่าคือ ซือเซียนนั้นเป็นหญิงสาวชาวป่า อาศัยในป่ากับพ่อแม่แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้เกิดไฟไหมป่ายามค่ำคืนขึ้นมา ทำให้ลุกลามถึงบ้านของนาง พ่อแม่ตายส่วนนางนั้นถูกเอาออกมาทันโดยผู้เป็นบิดา แต่ก็ทิ้งรอยแผลฟกช้ำหลายแห่งและที่หนักสุดคือแผลไฟไหม้ขนาดเท่านิ้วชี้ที่ข้างแก้มด้านขวา หลังจากนั้นมีทางการไปพบนางเข้าพาเข้าลงทะเบียนบุคคลไร้ญาติ ซึ่งนั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ข้าราชการแถวนั้นนำนางมาส่งตัวให้ไทเฮาโดยพลัน เพราะครานั้นคือคราแรกที่มีคนที่ไม่ใช่คนบ้านป่ารู้วันเกิดของนาง
ใครจะรู้เล่าว่าซือเซียนคนเก่าตายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ไยกลายเป็นนายทหารหน่วยพิเศษอย่างนางมาเข้าร่างแทนได้อย่างไร
ความจำล่าสุดคือนางกำลังร่วมรบกับเหล่าพี่น้องทีมเดียวกัน สถานการณ์กำลังเข้าตาจน หากจำไม่ผิดนางนั้นใช้ร่างตนเองห่อหุ้มระเบิด เพื่อไม่ให้เพื่อนในทีมบาดเจ็บไปมากกว่านี้ และนางก็มาได้สติอีกทีบนเตียงแห่งนี้นั่นเอง
เอาล่ะ สวรรค์อยากให้นางเป็นแม่นางซือเซียนนางเป็นให้ก็ได้ แต่ฉไนจึงต้องแต่งงานกับองค์ชายด้วยเล่า
“แม่นางต้องการอะไรอีกหรือไม่”
นางกำนัลนามว่าเย่ปิน คนนี้คือคนที่นางถามเรื่องทั้งหมดก่อนหน้านั่นเอง เย่ปินมองแม่นางซือเซียนนั่งจ้องตนเองในคันฉ่องมาสักพักแล้วจึงเอ่ยถาม
“ฉัน เอ่อ ข้าหิวแล้ว หิวมากด้วย”
เย่ปินยิ้มเต็มใบหน้า นางรีบพยักหน้าและออกไปเพื่อเตรียมอาหารให้ตามที่ขอทันที ดูเหมือนว่าแม่นางผู้นี้จะไม่ได้วิปลาสอันใดแล้ว เมื่อครู่คงแค่ตกใจกระมัง อย่างนี้ต้องรีบให้คนไปส่งข่าวบอกองค์ไทเฮา
“ค่อย ๆ ทานเจ้าค่ะ”
เย่ปินยกเหยือกรินน้ำให้ ส่วนอีกมือก็ยื่นผ้าเพื่อเช็ดปากให้ซือเซียน
“ข้ายังไม่อิ่ม มีอีกไหม เอามาอีก”
เย่ปินไม่มีเวลาให้อ้าปากค้างอย่างนางกำนัลคนอื่น นางหันไปสั่งนางกำนัลคนอื่นที่ยังไม่หายตกใจกับปริมาณอาหารที่สตรีตรงหน้ากิน ก่อนจะสั่งให้ไปเอาอาหารที่คนครัวทำมาเพิ่มอีก
จานว่างเปล่าบนโต๊ะนับโดยเร็วก็ปาไปเกือบยี่สิบใบแล้ว ไม่คิดว่ายังสั่งเพิ่มอีก ไม่รู้ว่าแล้วอาหารเหล่านั้นไปเก็บตรงส่วนใดของร่างผอมแห้งนี้
“ขอเอาแบบจานนี้เพิ่มเป็นพิเศษนะ”
สตรีเจ้าของชื่อซือเซียนพูดจบก็ก้มหน้าลงสวาปามอาหารตรงหน้าต่อ สำหรับนางอาหารตรงหน้าล้วนไม่เคยทานทั้งนั้น และที่สำคัญเจ้าท้องน้อย ๆก็บ่นว่าหิวมาตั้งนานแล้ว ไหนจะร่างกายนี้ที่แสนบอบบางอีกเล่า ไม่ได้หรอกนางต้องขุนให้ตัวหนาขึ้นหน่อยเผื่อใครรังแกจักได้จัดการกลับได้
และแล้วเวลาทานอาหารครั้งแรกหลังจากตื่นของซือเซียนก็จบลงในอีกหนึ่งชั่วยามต่อมา
ร่างบอบบางวักน้ำที่นางกำนัลคนหนึ่งนำมาให้ล้างไม้ล้างมือขึ้นล้างปาก และรับผ้ามาซับตาม เนื่องจากตอนนี้เป็นคราแรกที่หัวสมองว่างเปล่า จากที่ก่อนหน้ามีแต่เรื่องกินเต็มหัวจึงเพิ่งตระหนักได้ว่า การมาเกิดใหม่ในร่างนี้นั้นก็เหมือนจะดีเหมือนกันนะ รู้สึกสะดวกสบาย มีทั้งอาหารและที่พักครบ อีกทั้งคนรับใช้ก็มีรายล้อมมากมาย นางไม่ต้องทำอันใดเลย ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว
ตอนนี้ซือเซียนถูกพามายังสระน้ำขนาดใหญ่ บนผิวน้ำเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ พอเดินเข้าไปใกล้หน่อยกลิ่นหอมรัญจวนก็โชยออกมา พอมาถึงขอบสระเหล่านางกำนัลก็เข้ามาที่นางและเตรียมช่วยกันจะถอดชุดออกจากร่างซือเซียนทันที
“เดี๋ยวก่อน! อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าจะช่วยข้าอาบน้ำ”
ใช่แล้ว ตอนนี้นางเดินถอยหลังหลบหลีกมือพวกนาง พร้อมใช้มือตัวเองรวบกำชุดไว้แน่น
เป็นนางกำนัลเย่ปินที่เอ่ยขึ้น
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ตอนที่แม่นางยังไม่ฟื้นก็เป็นพวกข้านี่แหละ ที่ช่วยเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้”
สีหน้าของนางกำนัลแต่ละคนไม่มีเขินอายแต่อันใด ทั้งที่สถานการณ์ตอนนี้คือพวกนางกำลังคุกคามร่างกายซึ่งเป็นสิทธิส่วนบุคคลอยู่
ชาติก่อนนางเคยให้ใครมาเห็นเรือนร่างเสียที่ไหนเล่า มาตอนนี้นางต้องให้คนตรงหน้านี้ตั้งหลายนางมาเห็นและจับต้องน่ะหรือ แน่นอนนางยอมไม่ได้หรอก
“ข้าจะอาบเอง เพียงพวกเจ้าบอกว่าข้าต้องอาบอย่างไรและพวกอุปกรณ์พวกนี้ต้องใช้อย่างไรก็พอ”
ซือเซียนไม่สนใจสตรีตรงหน้าทั้งหลายที่เอาแต่มองหน้ากันและแสดงสีหน้าฉงน นางมองของรอบกายและชี้ถามจนครบทุกชิ้นและไล่พวกนางออกไป เมื่อเห็นว่าในห้องอาบน้ำแห่งนี้เหลือเพียงตนเองก็เริ่มปลดชุดออก ใช้เวลามากเสียหน่อยแต่ในที่สุดร่างกายเปลือยเปล่าก็หย่อนตัวลงในน้ำจนได้
เท่าที่นางสังเกตร่างกายของแม่นางที่ตนกำลังใช้ร่างอยู่นั้นมิน่าเชื่อว่าจะเป็นลูกสาวชาวป่า เพราะร่างกายนั้นขาวผ่องมาก ขาวราวหิมะ อีกทั้งยังไร้ร่องรอยแผลเป็นใดใด หากไม่นับผิวที่ไม่นุ่มนวลและไม่ผ่องใสก็ดูคล้ายลูกคนรวยในโลกที่นางจากมาเลย ดูท่าพ่อแม่ของแม่นางคนนี้จะทะนุถนอมพอตัว
พออาบน้ำเสร็จก็ขึ้นจากน้ำและมองหาเสื้อผ้า แต่มองเท่าไรก็หาไม่เจอ
มันไม่มีนั่นเอง !
“มีใครอยู่ด้านนอกไหม ข้าอยากได้เสื้อผ้า”
ไม่นานเย่ปินก็นำขบวนนางกำนัลเข้ามาพร้อมชุดสีขาวนวลในมือ พอซือเซียนได้ชุดแล้วก็ไล่คนออกไปแต่ก็ต้องเรียกกลับมาอีกรอบ เพราะชุดนี้นางใส่ไม่เป็น ทำได้แค่เพียงสวมชุดด้านในเท่าที่ทำได้ก่อนแล้วให้เย่ปินเข้ามาช่วยแต่งตัวคนเดียว หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ถูกพาไปยังเตียงนอนขนาดใหญ่หลังเดิม พอนางเอนนอน เหล่านางกำนัลก็ดับไฟที่ตะเกียงและพากันออกไปทันที
เช้าวันต่อมาหลังล้างหน้าแต่งกายเสร็จ ทานโจ๊กข้าวโพดเล็กน้อยซือเซียนก็ถูกพาไปยังตำหนักแห่งใหม่ที่นางไม่เคยมา เพื่อมาหาบุคคลที่เป็นผู้ช่วยชีวิตนาง นั่นก็คือองค์ไทเฮานั่นเอง
เท่าที่ถามจากเย่ปิน ไทเฮาเป็นคนพระทัยกว้างมากหากอยู่ในอารมณ์ปกติ ดังนั้นข้อที่ห้ามทำกับพระองค์คือ อย่าขัดใจเป็นอันขาด พระนางเอ่ยให้ทำอันใดก็ต้องรับคำ และข้อสำคัญอีกอย่างคือ พระนางนั้นรักหลายชายคนที่ซือเซียนจะได้แต่งงานด้วยมาก ฉะนั้นการที่มีนางอยู่แล้วเป็นบุคคลที่เป็นประโยชน์ต่อหลานชายสุดที่รัก ไทเฮาย่อมต้องใจดีกับนางอยู่แล้ว
พอซือเซียนได้ฟังที่เย่ปินเอ่ยจึงพอเบาใจขึ้นมาบ้าง แต่ก็นะนางต้องระวังตัวเองไว้บ้าง เพราะนั่นเป็นเพียงคำบอกปากเปล่าของคนในการปกครองเท่านั้น ไม่สามารถเชื่อได้ทั้งหมดหรอก
ในตำหนักขององค์ไทเฮาตกแต่งหรูหราเสียยิ่งกว่าห้องที่ซือเซียนอยู่มากโข ก็ว่าห้องตนนั้นหรูพอตัวพอมาเจอตำหนักนี้ภาพในความทรงจำนั้นหมองลงทันตา ไหนจะเครื่องแต่งกายของสตรีสูงวัยตรงหน้าอีกเล่า เครื่องประดับจากอัญมณีสักอย่างระยิบระยับสะท้อนเข้าตา อีกทั้งชุดสีทองผสมสีขาวดูสว่างไสวตั้งแต่มองเห็นจากที่ไกล ๆ
“ถวายพระพรไทเฮาเพคะ”
ซือเซียนหมอบราบกับพื้นตามเย่ปินพร้อมเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงคงที่
“เงยหน้าขึ้น”
ซือเซียนเงยหน้าขึ้นตามที่ถูกสั่ง ซึ่งจิ้งหนิงไทเฮาก็ไล่มองสำรวจทั่วใบหน้าก่อนไปหยุดที่แผลสีแดงขนาดเท่านิ้วมือสตรีซึ่งหลบใต้เส้นผมบริเวณแก้มด้านขวา
…สตรีชาวป่าผู้นี้ถือว่างามพอตัว ถึงไม่โดดเด่นแต่ก็น่ามอง ติดก็แต่แผลที่หน้านั้นลบความน่ามองจนหมดสิ้น เป็นแผลไฟไหม้ที่ดูน่าเกลียดมากหากอยู่บนใบหน้าของสตรี ทำให้ลดค่าที่แทบไม่มีอยู่แล้วลงไปอีก ไทเฮาคิดไปแต่ใบหน้าก็เรียบนิ่งคงเดิม
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ยังเจ็บป่วยตรงที่ใดอีกหรือไม่”
ซือเซียนไม่ได้สบตาของไทเฮาตามที่เย่ปินกำชับมา นางจึงไม่สามารถอ่านสายตาของเจ้าของน้ำเสียงนิ่งและเต็มไปด้วยอำนาจตรงหน้าได้ แต่เท่าที่ฟังจากน้ำเสียง ไม่ใช่คนใจร้อนแน่นอน และดูใจดีอย่างที่เย่ปินเอ่ยบอกก่อนหน้านั่นแล
ซือเซียนก้มหน้าลงแต่สูงกว่าระดับที่หมอบเคารพก่อนหน้าก่อนเอ่ยตอบ
“ไม่เจ็บที่อันใดเป็นพิเศษแล้วเพคะ เพียงแต่รู้สึกอ่อนเพลียบ้างเท่านั้น ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงเป็นห่วงเพคะ”
ซือเซียนพยายามงัดความรู้ที่เคยเรียนมาจากชาติที่แล้วมาใช้ นอกจากวิชาการต่อสู้เพื่อใช้ในด้านการปกป้องประเทศแล้วนั้น ทหารหน่วยพิเศษอย่างนางยังได้เรียนสารพัดวิชาที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบข้อมูลและแฝงตัวอีกด้วย การที่นางบอกว่าไม่ชอบการเข้าหน้ากับเหล่าราชวงศ์ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้วิธีปฏิบัติตัวเสียหน่อย เพียงแค่เลี่ยงได้ก็จะเลี่ยงเท่านั้น
ไทเฮาเผยสีหน้าฉงนชั่วครู่ ก่อนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ด้วยไม่คิดว่าคนบ้านป่าจะมีกริยามารยาทอย่างคุณหนูชาวเมืองได้ เผลอ ๆอาจดีกว่าคุณหนูบางนางด้วยซ้ำ ซึ่งซือเซียนก็รับรู้ได้ถึงความแปลกใจนั่น ไม่ใช่เพราะนางจ้องไปที่ไทเฮาแต่อย่างใด นางสังเกตจากสตรีอีกคนที่นั่งข้างไทเฮาต่างหาก อายุของสตรีนางนี้คงน้อยกว่าไทเฮาเล็กน้อย ดูจากการได้ยืนรับใช้ใกล้ ๆ ก็เดาว่าอาจเป็นนางกำนัลอาวุโสที่รับใช้ไทเฮมานานกระมัง
“เจ้าน่าจะรู้กระมังว่าเหตุใดข้าจึงนำเจ้ามาพักที่ตำหนักของข้าเยี่ยงนี้”
ซือเซียนก้มหัวต่ำกว่าเดิมก่อนเอ่ยตอบ
“เพคะ หม่อมฉันทราบดีและรู้สึกดีใจเป็นอันมาก” แต่ในใจของซือเซียนยามพูดคำนี้นั้นแทบอยากกัดลิ้นตัวเองตาย “หากไม่ได้พระกรุณาของพระองค์หม่อมฉันคงไม่มีโอกาสนั้น หากหม่อมฉันจะสามารถทำสิ่งใดตอบแทนพระองค์ได้ย่อมพร้อมทำอย่างไม่รีรอเพคะ”
เอาล่ะ ทักษะการเอาใจขั้นสุดถูกขุดจากก้นบึ้งของจิตใจซือเซียน นี่อย่างไรนางจึงไม่ชอบสุงสิงกับเหล่าราชวงศ์ สิ่งพื้นฐานสำหรับการทำภารกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเหล่าบุคคลเหล่านี้คือความประจบสอพลอ ซึ่งต้องไม่มากเกินและไม่น้อยเกินด้วย
“ดี อย่างนั้นจากนี้ไปข้าจะให้ถงมามาเป็นผู้ดูแลและสอนสั่งเจ้าก็แล้วกัน”
ซือเซียนหมอบสุดอีกคราเป็นการรับคำ พอได้มองไปที่ถงมามาหรือก็คือสตรีข้างกายไทเฮาก็รู้สึกขนลุกประหลาด นางว่าต่อแต่นี้นางคงไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายเยี่ยงวันก่อน ๆ เป็นแน่
