หนึ่ง
ปวดหัว ปวดหลัง ปวดตัวสุดรวดร้าวไปถ้วนทั่ว พอขยับแขนขาก็รู้สึกไม่คุ้นชินเหลือเกิน รู้สึกเหมือนมีใครนำเชือกหลายหมื่นเส้นมาพันรอบกาย ยามขยับยากเย็นและเชื่องช้าไม่เหมือนอย่างเคย ความรู้สึกตอนนี้คล้ายตอนอดีตที่เกิดอุบัติเหตุรถชนจนต้องนอนโรงพยาบาลหลับไม่ได้สติหลายสัปดาห์ และเมื่อตื่นขึ้นมาความรู้สึกในวันนั้นเหมือนอย่างวันนี้เลย
เปลือกตาเปิดขึ้นรับแสงสว่างเข้านัยน์ตาคราแรกหลังจากร่างสตรีบนเตียงหลับไหลมานานหลายสิบวัน
“แม่นางซือเซียนตื่นแล้ว เจ้ารีบไปเรียกหมอหลวงมาดูเร็ว”
อืม ไยเตียงที่นางนอนถึงมีผ้าผืนบางหลากสีสันผูกระโยงรยางค์ด้วยล่ะ พอมองไปด้านข้างก็เห็นสตรีสองนางฉีกยิ้มหวานในชุดแปลกตา ชุดพวกนางดูราวหลุดออกมาจากละครยุคโบราณอย่างไรอย่างนั้น
ยิ่งพอมองไปอีกทางก็ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ เครื่องเรือนเหล่านี้ที่ตกแต่งภายในห้องล้วนมีราคาสูงไม่ว่านางเองหรือเพื่อนคนไหนที่ตนรู้จักก็ไม่น่าจะหาซื้อมาได้อย่างแน่นอน ฉะนั้นด้วยข้อสรุปในหัวตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยคำถาม
ไม่ใช่บ้านตัวเอง ไม่ใช่บ้านเพื่อน ไม่ใช่โรงพยาบาล แล้วที่นี่คือที่ไหน?
สิ่งที่ดูเป็นไปได้มากที่สุดคือนางถูกใครสักคนจับมาขังที่นี่ แต่ที่คุมขังจะดูดีไปไหม? ทำให้ตัดความเป็นไปได้ข้อนี้ทิ้งไป งานที่นางทำอยู่อย่างทหารสังกัดหน่วยพิเศษปกป้องประเทศนั้น หากถูกจับมาเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างต้องถูกขังในคุกสิ ไม่ใช่สภาพแวดล้อมอย่างนี้แน่นอน
ทั้งดูล้าสมัยแต่กลับเต็มไปด้วยความหรูหรา
หญิงสาวรอบกายแต่งตัวย้อนยุค อีกทั้งภาษาที่ใช้สื่อสารก็เข้าใจได้ยาก
มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่งที่วาบเข้ามาในหัว คือ นางถูกพาอยู่ในกองละครสักเรื่อง
ดูไม่น่าเป็นไปได้แต่นางก็คิดเหตุผลอื่นไม่ออกเสียแล้ว
คิดไม่ทันจบสตรีที่วิ่งออกไปก่อนหน้าก็เดินเข้ามาพร้อมบุรุษในชุดขาวคนหนึ่ง พอทั้งสองเดินมาถึงข้างเตียง ไม่พูดพร่ำอันใด คว้ามือของคนบนเตียงคลำจับหาชีพจรก่อนนิ่งเงียบชั่วครู่
“อาการไม่มีอันใดน่าเป็นห่วง มีเพียงร่างกายอ่อนแอเพราะขาดอาหารมานาน เดี๋ยวข้าจัดยาบำรุงให้”
บุรุษที่กำลังใส่ชุดอย่างหมอหลวงที่นางเคยเห็นในละครย้อนยุคหันมาเอ่ยกับสตรีคนก่อนหน้า โดยไม่มีใครสนใจคนบนเตียงเลยสักคน
อืม พวกเขาเล่นกับนางเสร็จกันหรือยังหนา เห็นนางเป็นคนใจดีหรืออย่างไร นางใช่คนมีเวลาว่างมากขนาดให้พวกคนเหล่านี้มาจูงมือพาเล่นละครไร้สาระพวกนี้หรือไงกัน
แววตาของสตรีบนเตียงที่อยู่ ๆ ก็หมองครึ้มขึ้นมองไล่ทุกคนในห้องช้า ๆ
“พาฉันกลับเดี๋ยวนี้!”
นางกำนัลคนหนึ่งซึ่งยืนใกล้มากที่สุดสะดุ้งโหยง เพราะเสียงของสตรีนางนี้นั้นแม้จะแหบแห้งไปบ้างแต่กลับเต็มไปด้วยความดุดันประหลาด ช่างขัดกับท่าทางอ่อนแอและใบหน้าที่ดูไม่สู้คนยิ่งนัก อีกทั้งรอยแผลที่ข้างแก้มข้างขวานั้นช่วยส่งเสริมให้สตรีผู้นี้น่ากลัวกว่าสตรีทั่วไปยิ่งยวด
สำหรับรอยแผลที่เกิดจากไฟลวกนั้นไม่ใช่ทำให้เกิดความเกรงกลัวแต่อย่างใด เป็นความกลัวราวกับจ้องมองสัตว์หน้าตาอัปลักษณ์ แต่สำหรับเมื่อครู่แล้วนางรู้สึกเกรงกลัวราวกำลังเผชิญหน้ากับแม่ทัพที่ผ่านศึกและความตายมามากกว่า
“แม่นางซือเซียนใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ นั่งลงก่อน”
สตรีบนเตียงยืนขึ้นบนเตียงท่าทางไม่มั่นคง ท่าทางการจับชุดตัวเอง หมุนตัวแบบสะเปะสะปะดูราวหญิงสติไม่มีที่พวกนางเห็นได้ตามท้องตลาด หญิงสติไม่ดีที่จำไม่ได้แม้บ้านและครอบครัวตนเอง
“นี่ไม่ใช่ตัวฉันเอง ที่นี่ที่ไหนกันแน่”
นางกำนัลในห้องมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกับสตรีตรงหน้าดี พวกนางกำนัลสองคนเข้ามาช่วยกันจับให้ซือเซียนนั่งอยู่บนเตียงดีดี พอเห็นว่าสงบลงแล้วจึงถอยออกมาแต่ก็ยังเฝ้ามองดูท่าทีของคนบนเตียงต่อไป
“ขออยู่คนเดียว ออกไปก่อนได้ไหม”
เหล่านางกำนัลตัดสินใจยอมทำตามสตรีบนเตียง พอพวกนางออกมาก็พากันอออยู่หน้าประตูห้อง แต่ก็ให้นางกำนัลคนหนึ่งเอาเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไปรายงานแก่เจ้านาย
“นางกำนัลที่ดูแลแม่นางซือเซียนมาขอพบเพคะ ไทเฮา”
ถงมามาผู้เป็นนางกำนัลอาวุโสคนสนิทของจิ้งหนิงไทเฮาแห่งราชวงศ์เว่ยเอ่ยรายงานกับสตรีวัยชรานางหนึ่ง ปีนี้จิ้งหนิงไทเฮาผู้เป็นมารดาแท้ของฮ่องเต้อายุได้หกสิบพรรษา แต่นอกจากใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นบ้างแล้ว ท่าทางและความกระฉับกระเฉงก็ยังเหมือนสตรีอายุสามสิบกว่าเท่านั้น
“ให้เข้ามา”
“ถวายพระพรไทเฮาเพคะ”
นางกำนัลคนที่ก่อนหน้าอยู่ในห้องของซือเซียนกำลังหมอบหน้าผากแนบพื้นพอได้รับคำสั่งให้เงยหน้าขึ้นได้จึงเอ่ยต่อทันที
“แม่นางซือเซียนตื่นมาก็อาละวาดเลยเพคะ อีกทั้งยังพูดจาประหลาดด้วย หม่อมฉันไม่แน่ในว่า…นางเอ่อ นางจะวิปลาสหรือไม่เพคะ”
จิ้งหนิงผุดลุกขึ้นทันที คิ้วขมวดมุ่นและท่าทีแสดงอารมณ์เหล่านี้ทำเอาถงมามาเข้ามาห้ามแทบไม่ทัน
“ไทเฮาเพคะ ทรงอย่าลืมสิเพคะ ว่าท่านหมอหลวงเฟยจิน บอกว่าอย่างไร ห้ามทรงขมวดพระขนงเด็ดขาดเพคะ”
ผู้มีตำแหน่งถึงไทเฮาพยักหน้า เมื่อครู่นางลืมตัวไปหน่อยเผลอขมวดคิ้ว ดีที่รู้ตัวทัน ก่อนหน้านางได้รับคำแนะนำจากท่านหมอผู้ดูแลเรื่องความงามให้ตัวนางโดยเฉพาะเอ่ยแนะนำไว้ว่า หากต้องการมีใบหน้าไร้ริ้วรอย ห้ามแสดงอารมณ์บนใบหน้ามากเกินไป แต่ว่าเรื่องที่นางได้ยินมันห้ามไม่แสดงอารมณ์ได้ยากยิ่งน่ะสิ
นางอุตส่าห์หาสตรีนางนี้เจอ เพิ่งได้รับข่าวดีหยก ๆ และดีใจได้ไม่นานก็ต้องมารับรู้ว่าสตรีบ้านนอกผู้นั้นอาจวิปลาสอย่างนั้นหรือ?
“เจ้าแน่ใจหรือไม่”
นางกำนัลที่เข้ามาใหม่ส่ายหน้าโดยพลัน
“นางเอาแต่ถามว่านางคือใครและที่นี่ที่ไหนเจ้าค่ะ อีกทั้งยังมีท่าทีประหลาดจับนู่นจับนี่ไปทั่ว ท่าทางราวสัตว์ป่าตื่นตกใจเลยเพคะ”
“ให้หมอหลวงคังมาตรวจอีกรอบก็แล้วกัน แล้วก็เรื่องนี้เจ้าต้องให้ทุกคนเก็บเป็นความลับ หากมีคนนอกรู้ลงโทษพวกเจ้าทั้งหมด”
“เพคะไทเฮา อย่างนั้นหม่อมฉันขอตัวลาเพคะ”
ก่อนนางกำนัลจากไปจิ้งหนิงก็เอ่ยกำชับด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวลแต่ใบหน้าเรียบนิ่ง
“ให้คนมารายการอาการนางอย่างสม่ำเสมอด้วย”
พอนางกำนัลคนนั้นออกไป ประตูปิดลง ไทเฮาก็หันมาพร่ำบ่นกับถงมามาซึ่งคือนางกำนัลอาวุโสที่เสมือนเป็นสหายและคู่คิดเรื่องต่าง ๆ ทันที
“ข้าว่าให้คนออกตามหาสตรีนางอื่นเพิ่มเถิด ถงมามาไปจัดการทำตามที่เราสั่งอย่างเร็วที่สุด”
ที่จิ้งหนิงเอ่ยเรื่องตามหา คือนางหมายถึงให้ตามหาหญิงสาวที่มีวันเกิดตรงกับวันสิบห้าค่ำเดือนสามปีมะโรง สาเหตุที่นางตามหาสตรีเกิดในวันนี้ เพราะใต้ซือที่วัดประจำราชวงศ์ทำนายไว้ว่าหลานชายของนางอย่างองค์ชายใหญ่นามหยางอี้นั้นเกิดมามีดวงพิฆาตราชวงศ์ โดยมีหนทางแก้คือต้องแต่งงานกับสตรีตามวันเกิดนี้ก่อนอายุยี่สิบปี ซึ่งอีกเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น หลานชายสุดที่รักที่นางเลี้ยงมาตั้งแต่ยังแบเบาะจะมีอายุครบตามกำหนดแล้ว เหมือนโชคเข้าข้างหลานชายของนาง ไทเฮาจิ้งหลินส่งคนออกตามหามาตั้งแต่ได้รับรู้คำทำนายนั่นจนป่านนี้เพิ่งได้พบสตรีที่มีคุณสมบัติตามที่ต้องการก่อนวันที่หลาย แต่ฉไนจากที่นางกำนัลเอ่ยเมื่อครู่จึงกลายเป็นคนวิปลาสไปเสียได้ ก่อนหน้านี้นางมีโอกาสไปดูสตรีผู้นั้นตอนยังไม่ได้สติหลายครา ก็พอทำใจกับสถานะหญิงบ้านป่าและรอยแผลสดจากเหตุการณ์ไฟไหม้ได้แล้ว หากมีความวิปลาศเพิ่มเข้ามาอีกแน่นอนว่าจิ้งหนิงย่อมรับเป็นสะใภ้ราชวงศ์ไม่ได้แน่
“แล้วพระองค์จะทรงทำอย่างไรกับแม่นางผู้นั้นต่อหรือเพคะ”
ถงมามาที่หันไปสั่งงานตามที่ไทเฮาบอกก็กลับมาสนใจผู้เป็นนาย
“จำต้องดูแลนางให้ดี สิ่งใดเปลี่ยนได้ย่อมต้องทำให้เต็มที่ ส่วนปัญหานี้ให้หมอหลวงคังตรวจอาการและรักษาให้สุดความสามารถแล้วกัน”
“เพคะ”
“ส่วนเรื่องแผลไฟไหม้บนหน้านางนั้นหม่อมฉันให้หมอหลวงเฟยจินจัดการนะเพคะ”
จิ้งหนิงไทเฮาพยักหน้า นางเดินกลับเข้าไปยังตำหนักด้านในและเอนตัวลงนอน อายุมากขึ้นทำอะไรนิดหน่อยก็เหนื่อยเสียแล้ว
“แต่หากรักษาไม่หายอย่างไรก็ไม่จำเป็นต้องให้หมอหลวงคังเหน็ดเหนื่อยเกินไป เขาอายุมากแล้ว”
ถงมามาค้อมหัวลงสายตาล้ำลึกมองผ่านแผ่นหลังของผู้เป็นเจ้านายจนหายลับไปกับม่านสีทองอร่าม
…นางนั้นอยู่กับองค์ไทเฮามาหลายสิบปีย่อมต้องเข้าใจในความหมายที่พระนางต้องการจะสื่ออยู่แล้ว คำพูดของพระนางหาได้ต้องการให้หมอหลวงคังทำการรักษาแผลไฟไหม้ของแม่นางซือเซียนไม่ จงใจให้ท่านหมอหลวงทำการรักษาเป็นฉากหน้าเท่านั้น
นางสงสารก็แต่หญิงสาววัยออกเรือนผู้นั้นนั่นแล ใครบ้างล่ะจะทนมีชีวิตอยู่ได้กับแผลน่าเกลียดน่ากลัวเยี่ยงนั้น หวังก็เพียงว่านางจะมีสติและพยายามกอบโกยความสุขในโอกาสที่ได้เป็นพระชายาให้มากที่สุด และนานเท่าที่จะทำได้เท่านั้นแล
