บท
ตั้งค่า

SING STORY 3

SING STORY 3

วันต่อมา…

“รีบไปไหนทุกเย็นอะ?”

เสียงของยิมเพื่อนสนิทเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นว่าฉันคว้ากระเป๋า GUCCI คอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดมาสะพาย เตรียมตัวจะกลับ สายตาจับผิดมองมาอย่างทะลุปรุโปร่ง ร่างแบบบางของมันขยับตัวลุกขึ้นจากโต๊ะเลคเชอร์ พร้อมสะบัดผมยาวๆ ไปข้างหลังเรียกสายตาจากหนุ่มๆ ได้มากโข ก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้ามาคล้องแขนฉันไว้

“ว่าไงจ๊ะ? ไปตกหลุมรักผู้ชายที่ไหนอีก?” เสียงประชดประชันถามเค้นมาอีกรอบตา นัยน์ตาสีอ่อนฉายแววขบขัน

ฉันถึงกับหัวเราะออกมา ราวกับว่ามันอ่านใจฉันได้หมดทุกซอกทุกมุมอย่างนั้นแหละ ก็ใช่หรอก… มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเป็นแบบนี้ เวลาฉันชอบใครก็มักจะวิ่งเข้าใส่ทุกที และอาการเดิมๆ ก็คือรีบกลับเพื่อจะไปหาผู้ชาย คติพจน์ของเราก็คือผู้ชายมาก่อนเสมอ ยังไงเพื่อนก็ไม่ไปไหนอยู่แล้ว… ใช่! เราทั้งคู่มันคนแรดแบบนี้แหละ

“คนนี้ฉันรู้จักไหม?” มันยังไม่เลิกกระแซะถาม ฉันเลยส่ายหน้าตอบ

“ไม่หรอก”

“เจอที่ไหน? ที่มอ.หรือเปล่า? คณะฯ อะไร?”

“ใจเย็นๆ ไม่ได้เรียนที่นี่หรอก”

“แล้ว?”

“เจอตามข้างทาง” ฉันบอกไปตามจริง แต่ไม่คิดจะเล่ารายละเอียดอะไรให้ฟังมากนัก

“หืม? คุณนลินชอบผู้ชายตามข้างทาง? คือยังไงไหนเหลามา”

ฉันเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อโดนสายตากดดัน ใบหน้าสวยๆ ของยิมยังคงรอฟังอยู่อย่างนั้น แต่จะพูดยังไงดี ถ้าฉันบอกว่าฉันไปชอบเด็กที่อู่ซ่อมรถคงโดนเพื่อนแหวใส่แน่ๆ และก็ใช่อีก ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่เป็นคนรวย เพื่อนฉันเองก็ไม่แพ้กันหรอก ยัยนี่รวยกว่าฉันด้วยซ้ำไป… สังคมที่เราอยู่ค่อนข้างที่จะ… อืม… เรียกได้ว่าเลิศก็แล้วกัน

ถ้าบอกว่าตอนนี้ฉันชอบเด็กช่างนี่… มันคงตกใจน่าดู

“ไว้จีบติดค่อยมาเล่า” ฉันเลี่ยงที่จะบอก ทำแค่เพียงยิ้มน้อยๆ เท่านั้น

“แกนี่น้า… คนมาจีบตั้งเยอะตั้งแยะไม่ชอบ… ชอบต้องไปตามจีบคนอื่นอยู่เรื่อย” ยิมหัวเราะเบาๆ พร้อมมองตำหนิ “แล้วยังไง? ถ้าแกจีบไม่ติดคือฉันจะไม่ได้เจอ?”

“คนนี้หล่อมาก!! ฉันอยากได้” ฉันทำหน้าจริงจัง

“จ้า เอามาให้ฉันสแกนก่อนก็คบก็แล้วกัน”

“อือฮึ”

ฉันตอบได้แค่นั้นแล้วก็ต้องทำเป็นมองไปทางอื่น ไม่ใช่ว่าไม่รู้นิสัยเพื่อนตัวเองเสียเมื่อไหร่ ยิมเป็นเพื่อนคนเดียวที่ฉันสนิทมาตั้งแต่ไฮสกูลเราเรียนมาพร้อมๆ กัน อยู่ด้วยกันตลอด ฉันชอบใครก็จะบอกมันเสมอ… นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้ฉันกลัว…

เพื่อนฉันมันค่อนข้างถือตัว เรียกได้ว่าไม่สุงสิงกับคนที่ไม่ใช่ระดับเดียวกันเลยก็ว่าได้ ซึ่งมันต่างจากฉันที่สามารถคุยได้กับทุกคน หรือชอบผู้ชายได้ทุกแบบ ขอแค่หล่อเป็นพอ… เอาเป็นว่ามันคงจะไม่ชอบใจถ้ารู้ว่าฉันไปปิ๊งพี่สิงห์เข้าแน่ๆ

เราเดินมาจนถึงลานจอดรถก่อนที่ร่างบางที่สวยไปทุกส่วนสัดของเพื่อนจะโบกมือให้ฉัน มันเดินไปขึ้นรถพอร์ช911 สีเหลืองสดของตัวเองโดยไม่ลืมตะโกนมาให้กำลังใจกัน

“ขอให้จีบติดล่ะคุณนลิน”

“ติดอยู่แล้วย่ะ”

ฉันโบกมือให้เพื่อนแล้วขึ้นรถตัวเองบ้าง เบาะด้านข้างคนขับมีถุงขนมแบรนด์เดิมที่เมื่อวานฉันไปต่อคิวซื้อมาอีกหลายถุงวางอยู่ แต่โชคดีที่วันนี้ฉันฉลาดพอจะใช้บริการแอพเดลิเวอรี่อาหาร ไม่ต้องไปยืนรออยู่เอง เพราะเห็นเพื่อนๆ ของพี่สิงห์กินกันอย่างอร่อยเมื่อวานนั่นแหละคือเหตุผลที่ฉันสั่งมาเพิ่ม

แค่นึกถึงหน้าหล่อๆ ที่ต้องหงุดหงิดแน่ๆ เมื่อเห็นหน้าฉันอีกรอบก็น่าสนุกแล้ว…

ไปค่ะ… ไปจีบผู้ชายดีกว่า…

สองชั่วโมงต่อมา

ใช่! อ่านไม่ผิดหรอกสองชั่วโมงจริงๆ ที่ฉันต้องนั่งติดแหง็กอยู่บนรถเพราะไอ้อู่บ้านั่นมันดันอยู่ในโซนที่รถติดสุดๆ กว่าจะมาถึงหน้าอู่ก็ปาไปห้าโมงกว่าแล้ว โชคยังดีที่อู่เฮียเล้งยังคงมีลูกค้าอยู่ ทุกคนก็ดูยุ่งๆ ฉันเทียบรถจอดหน้าอู่พยายามสอดส่องสายตาหาพี่สิงห์ รอบนี้ฉันมั่นใจว่าเขาอยู่… เพราะจำไอ้รถมอเตอร์ไซค์เก่าๆ คันนั้นได้ มันจอดสนิทอยู่หน้าร้านที่เดิม

ก๊อกๆ

ร่างสูงของคนเมื่อวานที่น่าจะเป็นรุ่นน้องของพี่สิงห์เป็นคนเดินเข้ามาเคาะกระจกรถฉัน เมื่อฉันเลื่อนกระจกลงเขาก็ทำตาโตก่อนจะอุทานเบาๆ พร้อมกับเหลือบตากลับเข้าไปมองข้างในที่ทุกคนกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น

“พี่สิงห์อยู่ไหม?” ฉันถามพร้อมยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

“เอ่อ…” คนตรงหน้าดูอึกอัก เหมือนไม่กล้าพูดอะไร ฉันเลยไม่ได้สนใจเขาอีกต่อไปรีบดับเครื่องลงพร้อมหอบถุงขนมหลายถุงลงจากรถอย่างทุลักทุเล ก่อนจะยื่นกุญแจไปให้ร่างสูงที่ยังยืนงงอยู่ที่เดิม

“ทำสี”

ไม่รอช้าหลังจากที่บอกเสร็จฉันก็เดินก้าวเข้าไปในอู่อย่างมั่นอกมั่นใจ ช่างหลายคนพากันหันมามองเพราะสภาพพะรุงพะรังของฉัน ช่างส่วนใหญ่ของอู่เฮียเล้งเป็นเด็กช่างเรียนที่เดียวกับพี่สิงห์นั่นแหละ แทบทุกคนยังอยู่ในเสื้อช็อบของวิทยาลัย ฉันเลยกวักมือเรียกคนที่ยืนอยู่ใกล้สุด และดูเหมือนไม่ได้ทำอะไรเข้ามาหา

“ทำอะไรดีครับ?” เขาเดินเข้ามาหาพร้อมเอ่ยถามอย่างสุภาพ

“สวัสดี ฉันชื่อนลินซื้อขนมมาฝาก”

ว่าแล้วก็ยื่นถุงทั้งหมดส่งไปให้ ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่เข้าในสถานการณ์แต่ก็ยื่นมือมารับถุงขนมไปอย่างงงๆ และวินาทีนั้นเองฉันก็เห็นร่างๆ หนึ่งเลื่อนตัวออกมาจากใต้ท้องรถคันหนึ่งซึ่งขึ้นฮ้อยยกรถอยู่ ในปากกำลังคาบไฟฉายอันเล็กเอาไว้ มือข้างหนึ่งถือประแจ ใบหน้าเปื้อนน้ำมันเครื่องจนดำไปส่วนหนึ่งมองมาที่ฉันนิ่งๆ อยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเสียงดังพร้อมหลับตาลงเหมือนข่มอารมณ์

ฉันยกยิ้มเหมือนคนโรคจิตที่เห็นเขาทำท่าอารมณ์เสียแบบนั้น พี่สิงห์ลุกขึ้นยืนช้าๆ ก่อนจะส่งประแจให้ช่างอีกคน ส่วนไฟฉายเอาใส่กระเป๋าเสื้อช็อบไว้ ขายาวๆ เดินเข้ามาหาฉันราวกับรู้อยู่แล้วว่าฉันมาทำไม สายตานิ่งๆ มองฉันสลับกับถุงขนมในมือผู้ชายคนข้างๆ ที่ยืนประกอบฉากอยู่

“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมาแล้ว” เสียงรำคาญเอ่ยอย่างไม่ใยดี จนคนที่ถือถุงขนมรีบขยับตัวถอยห่างออกไป

“ก็ไหนบอกว่ามาได้…” ฉันเถียงทันควัน พร้อมเอี้ยวตัวไปมองด้านหลังชี้นิ้วบอกให้เขาดูถึงเหตุผลที่ว่าทำไมฉันยังมาปรากฏตัวที่นี่อีก “เอารถมาทำสี”

“…” คนตรงหน้ามองฉันนิ่งๆ ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น “งั้นก็กลับไปได้แล้วค่อยมารับพรุ่งนี้ อู่จะปิดแล้ว”

“หืม? โกหก… คนอื่นยังทำงานกันอยู่เลย” ฉันว่าพร้อมกวาดตามองไปรอบๆ

“…” พี่สิงห์ใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มเมื่อเห็นว่าฉันน่าจะไล่ให้กลับไปได้ยาก เขาขยับตัวเดินผ่านร่างฉันไปยังรถคันที่ว่าซึ่งมีรุ่นน้องเขาที่รับกุญแจไปกำลังยืนดูอาการอยู่

ร่างสูงเดินวนไปท้ายรถเพื่อส่องดูรอยที่จะทำสีอย่างไม่เต็มใจนัก ฉันเองก็เดินตามมาดูด้วยอีกคน ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคุยอะไรกันแต่ก็คงเรื่องทำสีนั่นแหละ…

“รีบใช้หรือเปล่าครับ? พี่น่าจะต้องมาพรุ่งนี้นะครับวันนี้คงไม่ทัน” รุ่นน้องเขาว่างั้น

“ได้” ฉันพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ แต่ก็ยังยืนนิ่งๆ ไม่ขยับตัวไปไหนอยู่จุดเดิม

รุ่นน้องคนนั้นมองเราสองคนสลับกันไปมาเหมือนเดาสถานการณ์ได้ แล้วเดินเข้าร้านไปเงียบๆ ตรงนี้เลยเหลือแค่เราสองคนอีกครั้ง ร่างสูงของพี่สิงห์ขยับห่างออกจากหน้าอู่ไปเล็กน้อยก่อนจะดึงบุหรี่ออกมาจุดสูบ เสี้ยวหน้าหล่อหันมามองฉันนิ่งๆ

“ทำแบบนี้เพื่อ?”

“ทำอะไร?”

“ดูจากรอยก็รู้ว่าถอยรถชนมา…”

“ก็ใช่ไงคะ”

“เพราะ?”

“…”

“แค่เพราะฉันพูดเมื่อวาน?” เสียงเครียดๆ เอ่ยถาม นัยน์ตาสีอ่อนมีแววตาตำหนิอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของฉัน “ปัญญาอ่อนเปล่าวะเนี่ย?”

“…” ฉันตีหน้าบึ้งขึ้นมาทันที อะไรคือปัญญาอ่อน?

“รู้ว่ารวย… แต่ทำแบบนี้มันดูโง่”

“…” โห! ยังปากจัดเหมือนเดิม…

“ไม่รู้ตัวละสิว่าตัวเองโง่… ไม่งั้นคงไม่ทำหรอก” เขาโยนก้นบุหรี่ทิ้ง ก่อนจะยกมือขึ้นเสยผมอย่างหงุดหงิด

“ก็พี่สิงห์บอกว่าต้องรถพังก่อนถึงค่อยมา” ฉันแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ไปงั้น รู้ว่าฟังดูยิ่งปัญญาอ่อนหนักเข้าไปใหญ่ แต่ฉันก็งี้แหละ… เหตุผลไม่จำเป็น…

“…” คนตรงหน้าถอนหายใจเสียงดังเหมือนหมดคำจะพูด ทำท่าเหมือนจะเดินหนีไปดื้อๆ ฉันเลยรีบขยับตัวไปยืนกางแขนขวางทางเอาไว้

“เดี๋ยวสิ ยังไม่ได้คุยเลย”

“ไร?” เสียงห้วนๆ ถาม เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นโบว์

“ชื่อนลินนะคะ” ฉันรีบแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ พร้อมยื่นมือให้ แต่คนตรงหน้ากลับทำเพียงแค่มอง แล้วเอามือตัวเองล้วงกระเป๋าเสื้อซะงั้น

“รู้แล้ว”

“พี่สิงห์อายุเท่าไหร่? บางทีเราอาจจะอายุเท่ากันก็ได้”

“ยี่สิบเอ็ด”

“หูย! งั้นก็เดาถูก ลินแค่สิบเก้าเอง!” ฉันทำหน้ากระดี๊กระด๊าอย่างตื่นเต้น แต่คนตรงหน้ากลับมองอาการฉันนิ่งๆ เหมือนเดิม

“ได้คุยแล้วพอใจยัง?”

“โหย! ทำไมเฉยชาจังเลยอะ” ฉันทำเป็นกอดอกมองอย่างงอนๆ ผู้ชายร้อยทั้งร้อยต้องใจอ่อนเวลาเห็นผู้หญิงทำหน้าน่ารักขนาดนี้ละวะ!

“แค่นี้นะ จะทำงาน”

แต่ไอ้พี่บ้านี่กลับเดินผ่านฉันไปหน้าตาเฉยเลย!!!!!

สองชั่วโมงผ่านไป

ฉันกำลังนั่งเลื่อนโทรศัพท์เล่นอยู่ที่โซฟาสำหรับลูกค้ามาจนครบสองชั่วโมงพอดี ช่างกลุ่มสุดท้ายหันมาโบกมือบ๊ายบายให้ฉันอย่างเป็นกันเองเพราะเราอายุไม่ห่างกันเท่าไหร่ และฉันก็ตีสนิทพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนชอบที่ฉันซื้อขนมมาฝาก และรู้เรื่องที่ฉันมาที่นี่เพราะอะไร… แต่อย่างหลังฉันไม่ได้เป็นคนพูดหรอก พวกเขาคงเดาๆ กันได้นั่นแหละ

ถึงแม้ว่าอู่จะปิดแล้ว ประตูเหล็กเลื่อนลงจนเหลือแค่ครึ่งเดียวแต่ฉันก็ยังคงนั่งอยู่ข้างในอย่างไม่คิดจะยอมกลับ คนที่เอาแต่ไล่ตอนแรกก็ดูเหมือนจะขี้เกียจไล่ฉันแล้วด้วย พี่สิงห์ทำงานไปเรื่อยโดยไม่หันมามองฉันสักนิดตลอดเวลาสองชั่วโมงที่ผ่านมานี้ เหมือนจะบอกเป็นนัยๆ ว่าอยากทำอะไรก็ทำ ประมาณนั้นแหละ

และใช่… ฉันอยากรอเขานั่นแหละ

“ไม่กลับเหรอ?” ฉันคว่ำหน้าโทรศัพท์ลงบนตักเมื่อคนกลุ่มสุดท้ายเดินออกจากอู่ไปแล้ว

“…”

ร่างสูงที่กำลังยืนใช้ผ้าเช็ดเหงื่ออยู่ตรงมุมหนึ่งชำเลืองมองมาเงียบๆ โดยไม่ตอบอะไร ขายาวๆ เดินเก็บข้าวเก็บของที่คนอื่นลืมทิ้งวางไว้กระจัดกระจาย ฉันได้แต่นั่งยิ้มเก้อมองเขาอยู่อย่างนั้น แหม… พี่มันหยิ่งจริงๆ

“ไม่หิวเหรอ? ไม่เห็นกินอะไรเลย คนอื่นเขายังกินขนมที่ลินเอามาฝาก” ฉันลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปหาเจ้าตัวที่กำลังลากถังน้ำออกมาเพื่อจะถูพื้น

“หลบไป เกะกะ”

“…” ฉันทำหน้าบึ้งใส่ แต่ก็ยอมหลบทางให้ ก่อนจะเปรยถามเบาๆ “แล้ววันนี้ไปส่งได้มั้ย?”

“…” ได้ผลชะงัด คนตัวใหญ่ที่กำลังถูพื้นถึงกับหันกลับมามองหน้ากัน เรียวคิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย “ใครบอกว่าจะไปส่ง?”

“ไม่มี… แต่จะให้ลินนั่งแท็กซี่กลับเองเหรอ? รถก็ทิ้งไว้ที่นี่ แถมยังรอมาตั้งสองชั่วโมง”

“ก็แล้วทำไมไม่กลับไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด?”

“ก็รอไง”

“รอทำไม? บอกว่าไม่อยากคุย” น้ำเสียงรำคาญบอกประโยคเดิมเป็นรอบที่ล้านได้แล้วมั้ง

“ทำไมใจร้าย!” ฉันกระทืบเท้าอย่างเอาแต่ใจ จนคนตรงหน้ากลอกตาใส่ อย่างเอือมระอา

“เลิกมาที่นี่ได้แล้ว วันนั้นช่วยเพราะสงสาร แต่ไม่ได้อยากสานต่อ เข้าใจมั้ยวะ?”

“ก็ชอบอะ” ฉันปั้นยิ้มหวานส่งให้อย่างไม่รักนวลสงวนตัวเลยสักนิด พอตั้งท่าจะก้าวเท้าเข้าไปหาคนตรงหน้ากลับยกมือขึ้นมาห้ามไว้

“พอเลย… เป็นผู้หญิงแท้ๆ ทำแบบนี้เพื่อ?” เสี้ยวหน้าหล่อดูหงุดหงิดน่าดู สายตาลากลงไปมองเรียวขาเล็กของฉันแล้วชี้ไม้ชี้มือ “แล้วดู… ใส่กระโปรงสั้นแค่คืบมานั่งอ่อยในร้าน ผู้ชายอยู่กันเป็นโขยงไม่รู้จักกลัว?”

“กลัวไรอะ? ไม่เห็นมีใครสนใจ”

“…” คนตรงหน้าเลียริมฝีปากค้างไว้เหมือนหมดคำจะพูดอีกครั้ง นัยน์ตาสีอ่อนจ้องหน้าฉันนิ่ง “ต้องการอะไร?”

“ก็บอกแล้วไงว่าชอบ…”

“เอาอะไรมาชอบ… เจอหน้ากันแค่กี่ครั้งเอง?”

“ก็พี่หล่อ” ฉันบอกอย่างตรงไปตรงมาที่สุด คนตรงหน้าไม่ได้ทำท่าทีขัดเขินเลยสักนิดเหมือนมั่นใจในความหล่อของตัวเองอยู่แล้ว

“แค่นี้?”

“อือ”

“กลับบ้านไป รำคาญ” ว่าแล้วก็โบกมือไล่ แล้วหันกลับไปถูพื้นต่อ ปล่อยให้ฉันยืนเบะปากมองบนอยู่คนเดียว

เอะอะก็ไล่ๆ เดี๋ยวก็รำคาญบ้าง เดี๋ยวก็โง่บ้าง… ผู้ชายอะไรกัน…

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel