พี่สิงห์เด็กช่างคนดุกับคุณนลิน

150.0K · จบแล้ว
ACHICHI
48
บท
21.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ไม่อยากจะเชื่อว่าคุณหนูนลินสุดไฮโซโก้เก๋แบบฉัน จะมาตกหลุมรักพ่อคนเบ้าหน้าหล่อ ท่าทางอันธพาลแบบนี้ นอกจากจะไม่มีเงินพาไปช็อปปิ้งที่ห้างหรูสุดโปรดแล้ว ฉันยังมีเดทครั้งแรกที่ตลาด! ซ้ำยังต้องนั่งรถมอเตอไซค์บุโรทั่ง... แต่อย่างว่า... หมอนี่นอกจากหน้าตาแล้ว อีกอย่างนึงที่ดีเลิศก็คือ เรื่องบนเตียง!

นิยายรักโรแมนติกนิยายปัจจุบันหมอผู้ชายอบอุ่นรักแรกพบพระเอกเก่งบอสซึนเดเระฟินๆรักหวานๆ

SING STORY 1

SING STORY 1

01.30 น.

ไม่อยากจะเชื่อ…

ว่าฉันจะต้องมายืนรอเพื่อนมารับตรงซอยเปลี่ยวตอนตีหนึ่งกว่าๆ แบบนี้ โอเค… มันก็เป็นย่านที่คนพลุกพล่านนั่นแหละ แต่ทีนี้เพราะซอยอื่นรถมันเยอะฉันเลยโดนสั่งให้มายืนรอตรงซอยนี้แทน ไม่มีใคร… ไม่มีรถผ่าน… มีก็แต่…

ร่างสูงของใครคนหนึ่งกำลังมุดหัวออกมาจากประตูเลื่อนที่ปิดลงมาครึ่งหนึ่งของอู่ซ่อมรถขนาดใหญ่ มันดูเหมือนจะเลยเวลาทำการมานานแล้วทว่าแสงไฟจากในอู่เพิ่งจะดับลงเมื่อครู่นี้เอง เพราะความระแวงฉันเลยลอบสังเกตผู้ชายคนนั้นเงียบๆ ร่างสูงดูทะมัดทะแมง แข็งแรง และที่สำคัญ… หน้าตาหมอนั่นหล่อลากดินเลยล่ะ…

ใบหน้าติดจะหงุดหงิดเหลือบมามองหน้าฉันที่ยืนอยู่ชิดฟุตบาทฝั่งตรงข้ามเงียบๆ ฉันเลยพลอยได้จ้องเขาได้ถนัดขึ้น นัยน์ตาสีอ่อนดูแปลกใจที่มีผู้หญิงที่แต่งตัวจัดเต็มมายืนแกร่วอยู่แถวนี้ แต่แล้วจมูกโด่งก็พ่นลมหายใจเบาๆ เขายืดตัวขึ้นเต็มความสูง ทำให้ฉันมองเห็นว่าเขาอยู่ในเสื้อช็อบสีเลือดหมู เหมือนจะเรียนวิทยาลัยช่างเขาเสยผมสีน้ำตาลเข้มขึ้นก่อนมือสองข้างจะลดลงมาเท้าสะเอว และพุ่งสายตามองมาที่ฉันอย่างชัดเจน สายตาเขาดู…

เรียกว่ารำคาญได้รึเปล่า?

“บอกแล้วไงว่าไม่ซื้อ!” เสียงดุๆ พูดขึ้น ดูเหมือนเจ้าตัวกำลังสนทนากับฉัน นั่นทำให้ฉันตกใจมากจนเผลอร้องออกมา

“ซื้อ? ซื้ออะไร?”

“ก็ขายอะไรละเจ๊” ท่าทางกวนประสาทรวมถึงคำพูดที่เอ่ยออกมาทำให้ฉันรู้ได้ในทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร!!

“ฉันไม่ใช่คุณตัวนะ!” เสียงแหลมขึ้นสิบระดับของฉันตะโกนกลับไปอย่างมีน้ำโห โอ้โห! หน้าตาหล่อโคตรแต่ปากคือแบบ…

“ก็เห็นมายืนอ่อย แถวนี้มีใครที่ไหน? ไปซอยเจ็ดนู่นเจ๊” ว่าแล้วเขาก็โบกมือไล่

โอ้วม้ายก็อด!!! ไอ้บ้านี่!!

“ฉันมายืนรอเพื่อนต่างหาก! ไม่ได้มาขาย!” เสียงลุกลี้ลุกลนของฉันดูเหมือนจะยิ่งทำให้คู่สนทนาได้ใจ เขาขยับปากยิ้มพร้อมเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม

“เอาเหอะ” ว่าแล้วก็พยักหน้าเหมือนเข้าอกเข้าใจฉัน… แต่แค่มองก็รู้ว่ากำลังกวนประสาทกัน!!

วินาทีนี้ฉันถึงกับต้องก้มหน้าลงมองการแต่งกายของตัวเอง มันเหมือนมาขายตรงไหนกัน? ก็แค่ใส่เดรสเกาะอกที่สั้นขึ้นมาจากขาอ่อนแค่คืบ รองเท้าส้นสูงสี่นิ้ว… ผมสีน้ำตาลอ่อนถูกปล่อยให้สยายคลอเคลียช่วงต้นแขน นอกนั้นก็ปกตินะ…

สภาพคนออกจากผับก็อย่างงี้ทั้งนั้นแหละไอ้บ้า! ฉันตะโกนด่าคนที่กำลังเลื่อนมอเตอร์ไซค์ที่ดูเหมือนเศษซากอารยธรรมรุ่นดึกดำบรรพ์ออกมาจากซองจอด

เออ!! รีบๆ ไปเลย! ยิ่งโมโหอยู่!

แน่นอนแหละว่าฉันพูดได้แค่ในใจ… ถึงเขาจะหล่อ แต่ดูจากทรงก็ไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่… ถ้าไปตะโกนใส่อาจจะเขาวิ่งมาต่อยก็ได้ สมัยนี้ไว้ใจใครได้ที่ไหน…

ฉันพยายามจะไม่สนใจหมอนั่น แต่ไอ้บ้านั่นกลับควักบุหรี่ออกมาจุดสูบเฉยเลย… ทั้งๆ ที่ทำท่าเหมือนจะไปแล้วแท้ๆ สายตานิ่งๆ เหลือบมามองฉันเป็นพักๆ ระหว่างที่อีกมือกำลังเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ ปากก็พ่นควันไปด้วย…

บรรยากาศมันชวนอึดอัดสุดๆ ทั้งๆ ที่เรายืนห่างกันหลายเมตรซ้ำยังมีถนนเส้นเล็กๆ ตัดผ่านซอยคั่นระหว่างกลาง แต่จิตใจของฉันก็อยู่ไม่สุขเอาเสียเลย อยากจะเดินหนีไปไกลๆ เหมือนกัน ติดตรงที่มันจะยิ่งต้องเดินลึกเข้าไปนี่สิ… ตรงนี้ดูมีแสงสว่างที่สุดแล้วด้วย…

“ฮัลโหล… แกอยู่ไหนแล้วเนี่ย?” ฉันหมุนตัวหันหลังให้ไอ้หล่อนั้นเพื่อจะคุยโทรศัพท์

‘รถติดมากเลย น่าจะอีกยี่สิบนาที มีด่านด้วย’ เสียงเบื่อๆ ของยิมเพื่อนสนิทคนสวยที่ต้องไปวนรถมาไกลกว่าปกติเอ่ยตอบกลับมา

“ยี่สิบ?”

‘อืม… ไม่ต้องออกมานะ เดี๋ยววนเข้าซอยแล้วออกทางลัดเลย’

“แต่ซอยนี่มันเปลี่ยวมากเลยนะแก” ฉันพยายามพูดเสียงเบาที่สุด มีหันไปมองผู้ชายคนนั้นบ้างเพราะสัญชาติญาณระวังภัย และหมอนั่นก็ยังยืนอยู่ที่เดิม พ่นควันเหมือนเดิม

‘เอออดทนนิดนะแก แค่นี้นะเดี๋ยวจะรีบไป’

“ยิม!”

เสียงจากปลายสายตัดไปแล้ว พร้อมกับเม็ดเหงื่อที่เริ่มผุดซึมขึ้นตามกรอบหน้าของฉัน ความเงียบรอบตัวทำให้ฉันเริ่มจะกลัวขึ้นมา… ทำไมร่างสูงตรงนั้นถึงได้เอาแต่ยืนสูบบุหรี่อยู่ได้ ดึกดื่นป่านนี้ทำไมไม่รีบไปๆ สักทีล่ะ!!

ฉันกลัวนะ ฮือ!! TT_____TT

วินาทีหลังจากนั้นฉันก็รู้สึกโล่งอกเมื่อมีเสียงเครื่องยนต์ขยับใกล้เข้ามา แสงไฟจากหน้ารถมองเห็นได้จากไกลๆ มีรถผ่านไปมาสักคันสองคันก็ยังดีละวะ!

แต่ก็เหมือนคิดผิด…

เมื่อกลุ่มแก๊งมอเตอร์ไซค์หลายคันเริ่มบิดเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ฉันพยายามเดินหลบเข้าข้างทางให้ได้มากที่สุด เพราะบนมอเตอร์ไซค์พวกนั้นมีผู้ชายหลายคนพากันหันมามองยังจุดที่ฉันยืนอยู่ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะตะโกนแซว

“เท่าไหร่คร้าบ?”

“!!”

ฉันตกใจมาก ไม่ใช่เพราะไอ้พวกนี้มันแซว แต่เป็นเพราะพวกมันค่อยๆ ชะลอรถลงตรงหน้าฉันต่างหาก!! มองๆ ดูน่าจะเป็นสิบคนได้เลย… แถมท่าทางแต่ละคนก็คือ…

เอาเป็นว่าละไว้ในฐานที่เข้าใจ

“พันห้า?” หัวโจกที่เอ่ยถามราคาฉันในตอนแรก เลิกคิ้วถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ เพื่อนๆ ของมันพากันหัวเราะเกรียว

“…” สวยอย่างฉันได้แค่พันห้าเองเหรอ? พระเจ้า!

“หรือสองพัน?”

ไอ้พวกบ้านี่พากันหัวเราะเสียงดังในขณะที่ฉันหน้าเสียสุดๆ ทั้งกลัวทั้งอาย อยากจะด่าพวกมันสักยกนึงแต่ก็กลัว… แต่แล้วสายตาฉันก็มองไปเห็นร่างสูงของไอ้หล่อคนเดิมกำลังมองมาด้วยสายตานิ่งสนิท หมอนั่นไม่คิดจะช่วยกันสักนิด เอาแต่ยืนตีหน้านิ่งอยู่ได้! เมื่อส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือเองไม่สำเร็จ ฉันเลยจำใจต้องรีบวิ่งไปหาเขาเอง…

ใช่!! หมอนี่ดูปลอดภัยที่สุดแล้วในเวลานี้!

“อะไรวะ?”

กลุ่มไอ้พวกบ้านั่นพากันหันมองตามฉันมา รวมถึงร่างสูงข้างๆ ฉันเองก็ด้วย เรียวคิ้วเข้มเลิกขึ้นนิดๆ เหมือนจะสื่อสารกับฉันว่าต้องการอะไร…

เขาโง่หรือยังไงเนี่ย?

ฉันขยับตัวไปหลบอยู่ข้างๆ ไอ้เศษเหล็กซังกะบ๊วยที่ถูกเลื่อนออกจากซองจอดเมื่อครู่นี้ โดยใช้ร่างสูงของคนตรงหน้าเป็นโล่กำบัง คนตรงหน้าเลียริมฝีปากค้างไว้ทำหน้าชั่งใจ ก่อนจะตวัดสายตากลับไปมองแก๊งนั้น พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ

“นี่เมียกู…”

“!!!!”

ฉันเบิกตากว้างอย่างตกใจกับสิ่งที่เขาพูดออกไป แต่ถึงงั้นก็ไม่กล้าพอที่จะพูดอะไรขึ้นมาในสถานการณ์นี้ ไอ้แก๊งนั้นหยุดเสียงหัวเราะลงแค่นั้น แล้วเริ่มตีหน้านิ่งเหมือนกัน ฉันกลัวจนฉี่แทบเล็ดเพราะพวกมันดูเหมือนจะไม่พอใจ…

โชคยังดีที่หนึ่งในนั้นส่งเสียงเตือนเพื่อน

“ไปเหอะว่ะ ดึกแล้วกูอยากนอน”

“เออ… อย่าให้เจอนะมึง!”

ไอ้หัวโจกที่ให้ราคาฉันแค่พันห้ายกนิ้วชี้หน้าคนหล่อที่ยืนอยู่หน้าฉันอย่างเอาเรื่อง เจ้าตัวไม่ได้ต่อปากต่อคำด้วยแต่ก็ไม่ยอมละสายตากลับมาเหมือนกัน เอาเป็นว่าไม่มีใครยอมใคร! โชคยังดีที่คนขี้ง่วงคนเดิมตะโกนบอกให้เพื่อนรีบบิดรถออกไปสักที

ถึงแม้บรรยากาศเมื่อกี้จะโคตรมาคุแต่ท้ายที่สุดแก๊งมอเตอร์ไซค์แก๊งนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป ฉันตบอกตัวเองอย่างโล่งอก เมื่อเสียงเครื่องยนต์ทิ้งห่างออกไปแล้ว กลายเป็นว่าตอนนี้เหลือเราแค่สองคนเหมือนเดิม แต่ที่ต่างคือฉันยืนอยู่ข้างๆ เขาเลย!

ร่างสูงตรงหน้าเหลือบสายตามามองกันนิดๆ แต่ก็ไม่ยักพูดด้วย ซ้ำยังทำท่าเหมือนจะคร่อมมอเตอร์ไซค์หนีไปอีกคน ฉันกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอพยายามส่งสายตาสื่อความหมาย อยากจะขอให้เขาอยู่ต่ออีกหน่อยเพราะเหตุการณ์น่าหวาดเสียวเมื่อครู่ทำให้อกสั่นขวัญหายไม่น้อย แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะพูดออกไปตรงๆ ทำให้ได้แค่เพียงมองคนตรงหน้าสตาร์ทเครื่องเตรียมตัวเคลื่อนรถออกไป

และแล้วก็เหมือนสวรรค์จะเห็นใจผู้หญิงตัวเล็กๆ แบบฉันอยู่บ้าง...

เมื่อผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะเริ่มเข้าใจสถานการณ์ของฉันขึ้นมา เสียงพ่นลมหายใจดังๆ ของเขาดูหงุดหงิดกว่าตอนแรกที่เจอกันเสียอีก แต่ถึงกระนั้นก็ดับเครื่องลงดื้อๆ

เบ้าหน้าหล่อโคตรๆ หันมามองฉันนิ่งๆ เรียวคิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากันอีกครั้ง นัยน์ตาสีอ่อนไล่สายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า เรียวปากสวยทำเสียงจิ๊จ๊ะกับตัวเองก่อนจะเอาขาตั้งมอเตอร์ไซค์ลง

“เมื่อไหร่เพื่อนจะมา?”

“อีกแป๊บเดียวๆ” ฉันยิ้มอย่างดีใจ เข้าใจความหมายที่คนตรงหน้าสื่อโดยที่ไม่ต้องพูดออกมาด้วยซ้ำ

“ให้แค่ห้านาที” เสียงเรียบๆ บอกโดยไม่หันมามอง

ฉันเม้มริมฝีปากแน่นพยายามจะไม่หลุดยิ้มออกมา ในขณะที่รีบไลน์ไปบอกให้ยิมรีบมา ก็ลอบมองเสี้ยวหน้าหล่อไปด้วย คนตรงหน้าเลื่อนมือถือเงียบๆ โดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ ถึงจะดูเป็นคนธรรมดาๆ แต่เพราะว่าเขาหล่อจัดบวกกับหุ่นแข็งแรง ขายาวๆ ก็ทำให้ดูน่าสนใจไม่น้อย และยิ่งได้รับความช่วยเหลือเรื่องเมื่อกี้นี้ก็อีก… ก็ยิ่งดูหล่อขึ้นเป็นกอง…

ดูเหมือนจะเป็นพวกปากไม่ดีแต่ใจดีไม่เบา…

และแม้ว่าเวลาจะผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีแล้ว ยิมก็ยังไม่โผล่มาสักที! แถมคนตรงหน้าก็ไม่ได้หนีฉันไปเหมือนที่บอกตอนแรก แต่ดูท่าทางหงุดหงิดหนักขึ้นทุกทีเพราะฉันเห็นเขาขยับตัวลุกขึ้นมาเดินไปเดินไปพร้อมมองหน้าฉันไปด้วย จนในที่สุดขายาวๆ ก็หยุดเดินแล้วกลอกตามองบน

“จะรอถึงเช้าเลยมั้ย?” เสียงเรียบพูดขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่ระหว่างเรามีแต่ความเงียบ

“พอดีมีด่าน รถก็เลยติดนิดนึง” ฉันพยายามแก้ตัว ก็เกรงใจเขาอยู่เหมือนกันหรอก

“บ้านอยู่ไหน?”

“ซอยยี่สิบ” ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันไว้ใจคนแปลกหน้าแล้วบอกออกไปได้ยังไง รู้ตัวอีกทีก็พูดไปแล้ว

“ขึ้นมา… จะไปส่ง”

ไม่พูดเปล่าแต่ขายาวๆ คร่อมลงบนมอเตอร์ไซค์อีกครั้ง พร้อมพยักหน้าเรียกเหมือนมัดมือชกยังไงยังงั้น แต่ฉันก็ไม่ได้ไว้ใจเขาขนาดนั้นสักหน่อย…

“…” สีหน้าเหนื่อยใจเริ่มฉายชัดเมื่อเห็นอาการของฉันว่าไม่ไปด้วยแน่ๆ เรียวปากสวยเอ่ยต่ออย่างหงุดหงิด “งั้นก็รอคนเดียวละกัน ง่วง”

“TT____TT” ฉันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ และรู้สึกแบบนั้นจริงๆ นี่มันดึกมากแล้วนะ! หมอนี่จะทิ้งฉันไว้คนเดียวจริงเหรอ?

“ไม่งั้นก็ขึ้นมา… ไม่ข่มขืนหรอกเว้ย! ถ้าจะทำลากเข้าร้านไปนานแล้ว…”

ไอ้หล่อเริ่มกระชากเสียงใส่ ดูเหมือนคงง่วงมากจริงๆ เพราะเอาแต่หาวไม่หยุดตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ฉันคว้ามือถือขึ้นมาดูยังไม่มีการตอบรับใดๆ จากไอ้เพื่อนบ้าเลยสักประโยคเดียว และวินาทีที่เสียงติดเครื่องรถดังขึ้น ฉันก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาไอ้เศษเหล็กซังกะบ๊วยนี่อย่างจำใจ

อย่างน้อยคนๆ นี้ก็ดูเหมือนไม่ได้พิศวาสกันสักนิด ก็คงดีกว่ายืนแกร่วรอคนเดียวล่ะวะ!

“นั่งยังไง?” ฉันถามเสียงห้วน เพราะไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์มาก่อนไม่ได้กวนประสาทเลยจริงๆ เสี้ยวหน้าหล่อถอนหายใจยาวพรืดก่อนจะหันมาอธิบาย

“ยกก้นขึ้นมาแล้วเอาขาเหยียบอันนี้เอาไว้”

“แบบนี้?”

ฉันขึ้นมอเตอไซค์อย่างทุลักทุเลเพราะกระโปรงมันสั้นมากจนต้องเอามือมาปิดไว้ ซ้ำยังไอ้รองเท้าส้นสูงเฮงซวยนี่ด้วย เหยียบยากชะมัด ยังไม่ทันนั่งถนัดนักคนขับก็บิดเครื่องออกไปซะแล้ว ฉันตกใจจนต้องรีบคว้าเอวเขาเอาไว้อย่างลืมตัว แต่ดูเหมือนหมอนี่ไม่ถือสา ฉันเลยเกาะเอาไว้อย่างนั้นเพื่อกันร่วง

สิบนาทีต่อมา…

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าฉันมาถึงหน้าบ้านตัวเองโดยสวัสดิภาพ บ้านหลังใหญ่เงียบเชียบไม่มีแสงไฟสักดวงเล็ดลอดออกมา คนมาส่งมองฉันเงียบๆ ฉันเองก็ไม่รู้จะต้องทำยังไงเลยมัวแต่ยืนอึกอักอยู่เกือบนาที จนคนตรงหน้าพยักหน้ากับตัวเองอย่างไร้เหตุผล ก่อนจะประชดเสียงเรียบ

“เออ… ไม่ต้องขอบคุณหรอก”

“…”

และวินาทีที่มอเตอร์ไซค์คันเก่าที่ดูเหมือนอะไหล่จะหลุดได้ทุกเมื่อทำท่าเหมือนจะเร่งเครื่องออกไปฉันก็ส่งเสียงออกไปจนได้

“ขอบคุณมากนะที่มาส่ง”

“อือฮึ” เสี้ยวหน้าหล่อหันมามองกันอีกครั้ง มุมปากเหมือนจะยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย

“และก็เรื่องที่อยู่เป็นเพื่อนด้วย”

“แค่นั้นแหละ”

เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เขาก็หันกลับไปพร้อมๆ กันรถคันนั้นก็เคลื่อนตัวห่างออกไป ฉันยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมรู้สึกตื้นตันใจที่ยังมีคนหล่อที่จิตใจประเสริฐขนาดนี้อยู่บนโลก ถึงจะรู้จักกันแค่ชั่วโมงเดียวก็เถอะ…

เดี๋ยวไม่สิ… ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้หน้าหล่อใจดีคนเมื่อกี้ชื่ออะไร…