SING STORY 2
SING STORY 2
16.00 น.
วันนี้หลังจากเลิกเรียน ฉันก็ตั้งใจจะเอาของกินไปขอบคุณผู้ชายคนเมื่อวานที่อู่ซ่อมรถอู่เดิม แต่กลายเป็นว่าไม่เห็นหน้าหล่อๆ ของเขาเลย เห็นก็แต่ผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับหมอนั่นกำลังทำงานกันอยู่ บางคนใส่เสื้อช็อบแบบเดียวกับที่เขาใส่ แต่บางคนก็อยู่ในชุดทำงานของร้าน มีตัวอักษรเขียนกำกับบนหลังเสื้อว่า ‘อู่เฮียเล้ง’
“ติดต่ออะไรครับ?”
“…”
อาจจะเป็นเพราะว่าทุกคนหันมาเห็นฉันยืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าอู่ อาเฮียที่อยู่ข้างในเลยส่งเสียงบอกให้ช่างของอู่หนึ่งในนั้นเดินออกมาหาฉัน เขาตัวสูงพอๆ กับคนเมื่อวาน หน้าตาหล่อเหมือนกัน ซ้ำยังใส่เสื้อช็อบของวิทยาลัยเดียวกัน… แต่ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่คนนี้แน่นอน เพราะหมอนั่นหน้านิ่งกว่านี้เยอะ…
“เอ่อ… มาหาคนรู้จักค่ะ” ฉันยิ้มตอบพร้อมทั้งชูถุงขนมแบรนด์ดังที่กำลังเป็นกระแสขึ้นมาให้คนตรงหน้าดู
“ใครครับ?” เขาไม่ได้มองถุงขนมราคาแพงของฉันด้วยซ้ำ แต่เลิกคิ้วถามพร้อมหันไปมองเพื่อนๆ ตัวเองอย่างข้องใจ “ไม่น่ามีใครที่นี่รู้จักกับคุณนะ”
“มีสิๆ คนที่หล่อๆ ตัวสูงๆ หน้านิ่งๆ หน่อย” ฉันพยายามให้ข้อมูล ซึ่งมันก็ดูไม่ได้ช่วยอะไรมากเท่าไหร่
“พี่สิงห์เหรอ?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นนิดๆ ลากสายตาสำรวจฉันที่อยู่ในชุดนิสิต ก่อนจะหันไปมองรถเบนซ์เอสคลาสที่ยังคงติดเครื่องจอดอยู่ใกล้ๆ แล้วทำหน้าไม่ค่อยแน่ใจนัก
“สิงห์เหรอ?” ฉันทำเป็นนึก แต่มีอะไรให้นึกที่ไหนกันเล่า! ฉันไม่รู้ชื่อหมอนั่นสักหน่อย!
“ฉันเจอเขาเมื่อคืนน่ะ ดึกมากๆ แล้วแต่เขายังอยู่”
“อ๋อ… งั้นก็พี่สิงห์นั่นแหละมีอยู่คนเดียวที่ทำงานดึกขนาดนั้น” สีหน้าคนตรงหน้าดูชัวร์ว่าใช่มากๆ แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไรต่อ ก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดลงที่หน้าอู่
ด้วยสัญชาตญาณเราสองคนเลยหันไปมองอย่างพร้อมเพรียงกัน เห็นผู้ชายคนนั้นกำลังบิดกุญแจดับรถอยู่พร้อมทั้งเสยผมขึ้นเพราะอากาศร้อน และทันทีที่เขาหันหน้ามาฉันก็จำได้ในทันทีว่าเป็นสุดหล่อคนนั้น!
“พี่สิงห์มีคนมาหา…” คนข้างๆ รีบตะโกนบอก
“…”
ใบหน้านิ่งๆ ขมวดคิ้วนิดๆ ขณะที่เดินเข้ามา และฉันก็ต้องใจสั่นหนักมาก เมื่อเห็นเขาใกล้ๆ อีกครั้ง เมื่อคืนว่าหล่อมากแล้ว แต่พอเป็นตอนกลางวันยิ่งหล่อจัดเข้าไปอีก! นัยน์ตาสีอ่อนดูแปลกใจ จมูกโด่งคมเป็นสัน ริมฝีปากสีชมพูอ่อน สันกรามสวยเหมือนไปเหลามายังไงยังงั้น ประกอบกันกับเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่เป็นประกายเวลาต้องแสงแดดแบบนี้แล้วด้วย โอ๊ย… ใครไหวไปก่อนเลย ฉันบอกตรงๆ ว่าฉันแพ้คนหล่อหนักมาก…
“ใคร?”
“…”
และเพราะสีหน้างงๆ ของเขา ทำให้ฉันถึงกับไปไม่เป็น… ร่างสูงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าฉันพร้อมเลิกคิ้วถามเหมือนจำกันไม่ได้ ทั้งที่เราเพิ่งเจอกันไปยังไม่ทันครบยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ! ฉันก็เป็นคนสวยอยู่นะยะ! จะลืมกันง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง!
“อ๋อ…” แต่แล้วสีหน้าเขาก็เหมือนจะพอนึกออก นัยน์ตานิ่งสนิทกวาดตามองใบหน้าฉันซ้ำเป็นหนที่สอง “พอไม่แต่งหน้าขนาดนั้นแล้วจำไม่ได้เลยแฮะ”
“สะ… สวัสดี”
ฉันฉีกยิ้มกว้างโดยไม่สนใจคำพูดถากถางนั่น มันคือดีหรือเปล่า? ไอ้ที่ว่ามานั่นน่ะ TT____TT
เวลากลางวันฉันก็ใช้ชีวิตปกตินั่นแหละ ไม่ได้แต่งหน้าทำผมจัดเต็มติดขนตงขนตาเหมือนเวลาไปเที่ยวหรอก มันก็คงจะดูจืดลงมากเพราะทรงหน้าฉันมันค่อนไปทางอาหมวย แต่นี่ก็แต่งแล้วนะ! ใช้เวลาแต่งเยอะกว่าเมื่อวานอีก เมคอัพโนเมคอัพอะ รู้จักมั้ยยะ!
“ว่า?” ไอ้หล่อยืนทิ้งขาข้างนึงพร้อมเอ่ยถามเบาๆ ดูท่าทางเขาจะรำคาญเสียงเพื่อนๆ ที่กำลังส่งเสียงแซวมานั่นแหละ
“ฉันเอาของมาขอบคุณนายที่ช่วยเหลือเมื่อวาน” ว่าแล้วก็ยกถุงในมือขึ้นอีกครั้ง คนหล่อชำเลืองมองแล้วพ่นลมหายใจนิดๆ และแทนที่จะได้รับคำตอบอะไร กลายเป็นว่าคนตรงหน้าลากแขนฉันเดินออกมาจากอู่แทนโดยไม่พูดอะไรทั้งนั้น
“ฉันไม่อยากได้ กลับไปได้แล้ว” เมื่อเราออกมาหยุดยืนอยู่ข้างนอกท่ามกลางแสงแดดจ้า คนขี้หงุดหงิดก็เอ่ยไล่ทันที
“อะไรกัน! นี่ฉันไปยืนเข้าคิวรอเป็นชั่วโมงเลยนะ”
“ไม่เอา”
“ได้ยังไง!”
“ก็บอกว่าไม่เอา!”
ฉันถึงกับจ๋อยสนิทตอนที่ไอ้บ้านี่เริ่มเสียงดังใส่ ยิ่งคนในร้านพากันแอบชำเลืองมองออกมาฉันก็ยิ่งอาย เหมือนกำลังมาตามตื๊อผู้ชายยังไงยังงั้นเลย…
“ก็แค่มาขอบคุณเอง” สุดท้ายฉันก็ได้แต่บอกเสียงอ่อย
“แค่นี้ใช่ไหม? กลับไปได้แล้ว”
ไม่พูดเปล่าแต่สายตานิ่งสนิทเหลือบไปมองยังรถของฉันซึ่งยังติดเครื่องอยู่ใกล้ๆ อย่างรำคาญ เมื่อเห็นว่าไล่ไม่ไปเจ้าตัวก็คว้าข้อมือฉันเดินไปฝั่งประตูคนขับ ก่อนจะยัดร่างฉันเข้าไปนั่งเองเสร็จสรรพ พอฉันทำท่าจะลงจากรถอีกรอบ เขาก็หันมาทำหน้าดุใส่
“มีอะไรอีก?”
“อย่างน้อยก็รับของไว้หน่อยสิคะ ‘พี่สิงห์’ นี่ ‘นลิน’ อุตส่าห์ไปยืนเข้าคิวรอตั้งนาน” ฉันจีบปากจีบคอพูดอย่างมีจริตจะก้าน พร้อมทั้งยิ้มหวานให้ ซ้ำยังเรียกชื่อเขาอย่างเต็มปากเต็มคำ คนฟังถึงกับเบนสายตามองไปทางอื่นเลยล่ะ…
เขินแหละ…
“ใครบอกว่าฉันชื่อสะ…”
“แหม! ก็ผู้ชายคนเมื่อกี้นี้ไง”
“…” เสี้ยวหน้าหล่อเหลือบตามองฉันที่ยังคงนั่งคาอยู่ฝั่งประตูคนขับอย่างรำคาญใจ ก่อนจะโน้มตัวลงมากระตุกถุงขนมใบใหญ่ออกไปจากมือฉันเพื่อตัดรำคาญ “ต้องการแค่นี้ใช่ไหม?”
ฉันรู้สึกใจเต้นอย่างแรงเพราะว่าใบหน้าเราอยู่ห่างกันไม่กี่คืบ นัยน์ตาสุกใสกำลังจ้องมองกันเหมือนอยากจะตัดปัญหาให้จบๆ ไป แต่ก็ยังคงไม่ขยับตัวถอยห่างออกไป ซ้ำยังลากสายตามองเรียวขาของฉันที่โผล่พ้นกระโปรงทรงเอตัวสั้นก่อนจะพ่นลมหายใจเบาๆ แล้วยืดตัวขึ้นเต็มความสูง
“ฉันรับไว้แล้ว กลับได้ยัง?” น้ำเสียงไม่ใยดีเอ่ยไล่อีกครั้ง
“แล้วมาอีกได้มั้ย?”
“…”
คนหล่อถึงกับชะงักค้างเมื่อฉันถามสวนขึ้น ขนาดตัวฉันเองยังตกใจเลย!
โอเค… ฉันรู้ว่ามันดูประหลาดมาก แต่ฉันก็เสร่อพูดออกไปแล้ว ไอ้เอาของมาขอบคุณมันก็ข้ออ้างนั่นแหละ จริงๆ ฉันอยากมาเจอหน้าหล่อๆ ของคนคนนี้อีกครั้งต่างหาก! และยิ่งเห็นแบบนี้ยิ่งกระแทกใจคุณนลินอย่างแรง! ดูเลวๆ แบดบอย กร้าวใจกว่าพวกหนุ่มมหา’ลัยที่ใส่เชิร์ตมาจีบฉันสักสิบเท่าได้เลยมั้ง
แต่เอาจริงๆ เพราะพี่สิงห์เขาหล่อมากต่างหาก!!! หล่อทะลุมาตรฐานคนหล่อทั่วไปแบบมากๆ หล่อแบบตะโกน!!!
“ไม่ได้” หลังจากเงียบอยู่อึดใจร่างสูงก็ทำท่าจะเดินหนี ฉันเลยรีบตะโกนบอก
“พรุ่งนี้จะแวะมาใหม่”
“…” เสี้ยวหน้าหล่อหันมามองอย่างเอือมๆ ก่อนจะพูดส่งๆ เหมือนรำคาญเต็มที “รถพังค่อยมาละกัน”
แล้วเจ้าตัวก็เดินแกว่งถุงขนมนั่นเข้าอู่ไปโดยไม่หันกลับมามองอีก ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงได้ยิ้มกว้างกับตัวเองขนาดนี้ที่โดนทั้งไล่ ทั้งปฏิเสธสารพัด ว่าแล้วก็ถอยรถไปจอดดูสถานการณ์ตรงหน้าประตูอู่สักหน่อย
ร่างสูงกำลังเดินไปหยิบกล่องอุปกรณ์จากชั้นวางของ ถุงขนมที่ฉันซื้อมาถูกส่งต่อให้เพื่อนๆ เขาอย่างไม่ใยดี คนอื่นๆ พากันลุกมากินพร้อมทั้งหัวเราะกับอะไรบางอย่าง ในขณะที่เจ้าตัวทำหน้าหงุดหงิดไม่เลิก พอเหลือบมามองเห็นว่าฉันยังคงเสนอหน้าสอดส่องอยู่ก็ถึงกับยกมือขึ้นเท้าสะเอวยืนตะแคงคอมองพร้อมกันก็โบกมือไล่อีกครั้ง
โอเค… ไว้มาใหม่ก็ได้…
ต้องให้รถพังอย่างนั้นเหรอ? หึ! รู้จักคุณนลินน้อยไปซะแล้ว!
20.00 น.
โครม!
เพล้ง!
รถเบนซ์เอสคลาสรุ่นล่าสุดที่ปะป๊าเพิ่งถอยมาให้เมื่อปีกลายสั่นเล็กๆ เมื่อท้ายชนเข้ากับกระถางต้นไม้นับสิบต้นที่หน้าบ้านฉัน พอลงมาดูก็ได้ยินเสียงล้งเล้งของทั้งปะป๊า และมาม้าโวยวายอยู่ตรงท้ายรถนั่นเอง
“อาลิน ลื้อโง่เปล่าวะเนี่ย? ถอยรถประสาอะไร? ต้นไม้พังหมดเลย!” มาม้าตะโกนเสียงดัง พร้อมขยับเข้าไปมองเศษซากกระถางต้นไม้ของตัวเองอย่างใจหาย
“ไม่ห่วงรถหน่อยเหรอม้า?” ฉันยืนมองขำๆ แต่พอสบตาเข้ากับอีกคนถึงกับขำไม่ออก
“ลื้อตลกอะไร? หาเรื่องเสียเงินอีกแล้ว อั๊วะบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าชงๆ” เสียงล้งเล้งที่พูดไทยไม่ค่อยชัดของป๊าดังขึ้น สีหน้าหงุดหงิดพร้อมชี้มาที่ตัวรถซึ่งตอนนี้มีสีถลอกอย่างไม่น่าดู
“นิดเดียวเองป๊า เดี๋ยวลินจัดการเองน่า” ฉันเถียงเบาๆ
“จัดกงจัดการอะไรของลื้อ? ยังไงก็เงินอั๊วะอยู่ดี”
“นิดหน่อยเอง”
“อั๊วะล่ะปวดหัว ไป! เข้าบ้าน” ป๊าโบกมือไล่ทั้งม้า และฉัน ก่อนจะตะโกนเรียกพี่จุ๋มเสียงดัง “อาจุ๋ม! ลื้อมาทำความสะอาดกงนี้ด้วย!”
พอเดินพ้นประตูบ้านเข้ามาก็ต้องเจอกับสายตากวนๆ ของพี่ชายตัวดีซึ่งกำลังนั่งกระดิกเท้ายิกๆ เล่น PS5 อยู่บนโซฟาเข้าชุดกันสุดอลังการของมาม้า ร่างสูงขยับตัวบิดขี้เกียจเมื่อเห็นหน้าฉัน เฮียนนท์บิดยิ้มกวนประสาทเหมือนจะรับรู้เหตุการณ์เมื่อครู่นี้แล้วหลังจากได้ยินเสียงโวยวายของป๊านั่นแหละ
“ระวังให้ดีเหอะ… จะโดนยึดบัตรเครดิตเข้าสักวัน หาแต่เรื่องใช้เงิน”
“น้อยๆ หน่อยเฮีย ทำยังกับตัวเองใช้เงินน้อยตายแหละ”
ฉันสวนทันควันอย่างหมั่นไส้ แล้วเดินผ่านไอ้พี่บ้าขึ้นบันไดไปชั้นบนอย่างไม่ยี่หระกับอะไรทั้งนั้น ยังคงได้ยินเสียงป๊าสั่งงานพี่จุ๋มไม่เลิก ได้ยินเสียงมาม้าบ่นเรื่องต้นไม้ที่เพิ่งจะซื้อมาได้ไม่ถึงเดือน
ถ้าจะมองว่าฉันนิสัยเสียก็คง… ใช่แหละ
ฉันจะไม่ปฏิเสธว่าตัวเองไม่ใช่คุณหนู เพราะว่าฉันเติบโตมาแบบนั้นจริงๆ บ้านฉันค่อนข้างรวยมาก ขนาดที่ว่าป๊ากับม้าไปเที่ยวรอบโลกทุกปี วงเงินบัตรเครดิตที่ทิ้งไว้ให้ทั้งฉันและไอ้เฮียนนท์ใช้ เดือนละหลายแสน เราสองคนเลยใช้เงินแบบไม่ลืมหูไม่ลืมตา และกะอีแค่รถสีถลอกแค่นี้ไม่กระเทือนป๊าฉันหรอก
แต่แกเป็นคนหาเงินก็ต้องซีเรียสกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ฉันฟังมาตั้งแต่เด็กจนโตกับประโยคที่ว่า ‘เงินทองเป็นของมีค่า’
แต่ก็อย่างว่าแหละฉันมันคนนิสัยไม่ดี และโดนสปอยล์มาตั้งแต่เด็ก
คนหาเงินไม่ได้ใช้… คนใช้ไม่ได้หาเงิน… ตามนี้แหละ
โอเค… ทีนี้ก็มีหน้าไปเจอพี่สิงห์ได้แล้วสินะ…