บทที่ 4: สกุลหลินจำต้องมีทายาท[2]
“ข้าเกิดและเติบโตที่ชายแดน เรื่องของสามีภรรยาหรือเรื่องทางโลกหาได้รู้กระจ่างแต่อย่างใด เรื่องที่ไม่ราบรื่นที่ท่านแม่ว่านั้นคือเรื่องใด บอกข้ามาเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะได้เข้าใจ”
ฮูหยินของเสนาบดีหลินค้อนเขียวใส่ลูกสะใภ้ครั้งหนึ่ง ก่อนจะว่าออกมาตามตรง
“เจ้าเป็นฮูหยินของลูกข้า แต่กลับแยกเรือนกันอยู่เช่นนี้ ใช่เรื่องที่สมควรแล้วหรือ ภรรยาไม่ทำหน้าที่ เป็นเช่นนี้แล้ว สกุลหลินจะเป็นอย่างไร”
จางอี้ซวนตีหน้านิ่ง เขารู้อยู่แล้วว่าหญิงวัยกลางคนตรงหน้าจะต้องพูดเรื่องนี้ จึงไม่ได้แสดงอาการใดออกมาให้เห็น ขณะที่ในใจกลับเต้นผาง
ให้เขาไปทำหน้าที่ภรรยาให้หลินจิ้นฝู มีหวังสวรรค์ได้ลงโทษแน่ แค่มาตบแต่งกับอีกฝ่ายตามราชโองการฮ่องเต้แทนพี่สาวที่กล่าวอ้างว่าเสียชีวิต เขาก็ยื่นขาข้างหนึ่งลงปรโลกไปแล้ว!
“อาจิ้นเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของสกุลหลิน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีบุตรสืบสกุล หากเจ้าทำหน้าที่นี้ไม่ได้ มีบุตรชายให้สกุลหลินไม่ได้ ก็จัดหาอนุให้ลูกชายข้ามาทำหน้าที่นี้ซะ”
คนอาวุโสกว่าว่าเด็ดขาด จางอี้ซวนยังคงไม่มีปฏิกิริยาใด มีแต่หลินซานซานที่ยืนฟังอยู่นานเท่านั้นที่อยากจะสะกิดป้าสะใภ้ของนางให้เลิกเจ้ากี้เจ้าการเสียที นางเกรงเหลือเกินว่าหากพูดอะไรผิดหูจางอี้ซวนไป มีหวังคืนนี้สกุลหลินได้ไร้คนสืบสกุลจริงๆ แน่
“เอ่อ...ท่านป้า พี่สะใภ้เพิ่งแต่งเข้ามาได้ไม่นาน ข้าว่าท่านป้าใจเย็นๆ ก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
นางอดไม่ได้จนต้องเสนอความเห็น แต่แล้วก็ต้องถูกสายตากึ่งดุของอีกฝ่ายตวัดมอง
“เจ้ายังไม่ตบแต่งเป็นฮูหยินของผู้ใด เจ้าไม่เข้าใจหรอกซานเอ๋อร์ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ข้าถึงต้องเข้ามาวุ่นวาย ฮูหยินของสกุลหลินล้วนแล้วมีลูกยากกันทั้งนั้น แล้วนี่พี่สะใภ้ของเจ้าแยกเรือนนอนกับอาจิ้นอีก เป็นเช่นนี้จะไม่ให้ข้ากังวลได้อย่างไร”
หลินซานซานปิดปากสนิท เรื่องนี้นางรู้ ไม่เช่นนั้นคงจะไม่มีหลินจิ้นฝูเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวในเวลานี้หรอก แต่...นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะไปคาดคั้นพี่สะใภ้ของนาง เพราะพี่สะใภ้น่ะ...เป็นผู้ชาย!
พูดไม่ออก บอกไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งเป็นท่อนไม้ อึดอัดใจยิ่งนัก เป็นครั้งแรกที่หลินซานซานอยากให้ป้าสะใภ้ของนางรีบกลับไปได้แล้ว ไม่อย่างนั้นไม่ต้องรอให้ตกกลางคืน สกุลหลินจะถูกฆ่าล้างบางก็ตอนนี้นี่ล่ะ ดูสีหน้าของพี่สะใภ้นางสิ ตึงเรียบดำทะมึนไปหลายส่วนแล้ว!
อันที่จริงจางอี้ซวนก็ไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมาหรอก เพียงแต่สายตาที่ทอดมองไปยังป้าสะใภ้ของหลินซานซานนั้นเต็มไปด้วยความรำคาญใจ หลินซานซานกระสับกระส่าย ภาวนาต่อองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ให้ดลใจป้าสะใภ้ของนางให้หยุดบ่นว่าพี่สะใภ้เสียที ก่อนจะหายใจคล่องขึ้นเมื่อได้ยินว่า...
“เอาเป็นว่าหากภายในปีนี้ ข้ายังไม่ได้ข่าวดีล่ะก็ เจ้าจะต้องจัดหาอนุให้อาจิ้น เข้าใจไหม”
จางอี้ซวนพยักหน้ารับเล็กน้อย พลันฮูหยินของเสนาบดีหลินก็ลุกพรวดพราด บอกลาหลานเล็กน้อย
“ไว้เจ้าเบื่อแล้วก็กลับมานะ วันนี้ข้าคงต้องกลับก่อน”
“กลับดีๆ เจ้าค่ะท่านป้า”
หลินซานซานตามไปส่ง พอรถม้าของผู้อาวุโสกว่าเคลื่อนหายไปจากหน้าจวน นางก็ถอนหายใจยาวออกมา แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงอีกครั้งเมื่อเห็นจางอี้ซวนตามมาส่งแขกอยู่ไม่ไกล ก่อนเขาจะว่าออกมาให้นางได้ขนลุกขนชันอีกระลอก
“ให้ทำหน้าที่ภรรยา... สงสัยหากข้าทำจริงๆ คนที่เป็นภรรยาคงจะเป็นญาติผู้พี่ของเจ้า”
“อย่าคิดทำอะไรน่าเกลียดอย่างนั้นเชียว”
หลินซานซานว่าหน้าตื่น จางอี้ซวนยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่ขับให้ใบหน้างามฉายความงดงามมากขึ้นไปอีก ไม่ว่าผู้ใดเห็นก็ต้องตาพร่าในความเลอโฉมนี้แน่ๆ แต่สำหรับหลินซานซานแล้ว มันคือรอยยิ้มของปีศาจต่างหาก
เป็นปีศาจลามกเสียด้วย!
จางอี้ซวนไม่พูดสิ่งใดต่อจากนั้น หมุนตัวกลับเข้าเรือนของตนเองไป ทิ้งให้หลินซานซานร้องไล่ตามหลัง
“นี่ ข้าบอกว่าอย่าคิดทำอะไรน่าเกลียด ท่านได้ยินหรือไม่!”
เขาไม่ตอบแล้ว ผลุบหายเข้าไปในเรือน ให้นางได้คิดวุ่นวายเป็นการใหญ่
นางจะทำเช่นไรถึงจะปกป้อง...เอ่อ...พรหมจรรย์ของญาติผู้พี่นางดี
ต้องทำอย่างไรกันนะ!
เรื่องที่มารดาแวะเวียนมาสั่งสอนลูกสะใภ้ถึงจวนนั้น หลินจิ้นฝูก็เพิ่งมารู้หลังจากกลับมาถึงแล้ว เขาเดาได้เลยว่าต้องเป็นพ่อบ้านของตนนั่นล่ะที่นำเรื่องนี้ไปฟ้อง แต่เขาก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรด้วยรู้ว่ามารดาคงเป็นห่วง ได้แต่ตำหนิไปเล็กน้อยว่าเรื่องภายในจวนนี้ หากจะแพร่งพรายออกไปจะต้องได้รับอนุญาตจากเขาก่อน ทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการข้ามหน้าข้ามตา
อบรมบ่าวรับใช้เป็นที่พอใจแล้ว ก็ถึงเวลาต้องปลอบประโลมฮูหยินของตน เป็นครั้งแรกตั้งแต่แต่งงานที่เขาออกปากเชิญฮูหยินมาร่วมมื้อเย็นด้วย ปกติจะไม่ได้ตอแยใดๆ เห็นจางอี้ซวนรักสันโดษก็ปล่อยให้ทำตามใจ ทว่าครั้งนี้มีเรื่องต้องพูดคุยจึงขอขัดใจสักครั้งหนึ่ง
จางอี้ซวนเองก็ไม่ได้ขัด เขาพอจะรู้ว่าหลินจิ้นฝูคงลำบากใจไม่น้อยที่ต้องอยู่ตรงกลางระหว่างมารดาและภรรยา จึงยอมมาร่วมมื้อเย็นแต่โดยดี นี่จึงเป็นครั้งแรกที่สามีและภรรยาได้ร่วมมื้ออาหารกัน รวมถึงเป็นครั้งแรกของหลินซานซานด้วยที่ร่วมโต๊ะพร้อมญาติผู้พี่และพี่สะใภ้กำมะลอ
หญิงสาวพยายามวางตัวให้เป็นปกติที่สุดแม้จะเห็นจริตของจางอี้ซวนที่แสร้งเป็นสตรีแล้วรู้สึกคันยุบยิบในใจก็ตาม แต่การที่หลินจิ้นฝูกับจางอี้ซวนร่วมโต๊ะอาหารกันแล้วไม่พูดอะไร นางก็โล่งใจขึ้นมาบ้าง พร้อมกับหวังว่าคงจะไม่มีเรื่องอะไรให้นางต้องกระอักกระอ่วนอีก หากแต่สวรรค์ไม่เป็นใจนักเมื่อจู่ๆ หลินจิ้นฝูที่นั่งขบคิดอะไรบางอย่างลำพังอยู่นานปริปากขึ้น
“ได้ยินว่าวันนี้ท่านแม่ของข้ามาเยี่ยมที่จวนหรือ”
จางอี้ซวนชะงักมือที่กำลังคีบเนื้อผัดขิง เหลือบมองหน้าบุรุษอีกคนก่อนพยักหน้า
“แล้วนางคุยสิ่งใดกับเจ้าบ้างล่ะ”
ถามละม้ายคล้ายกับเป็นห่วงใย ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นห่วงนั่นล่ะ เขารู้ว่ามารดาของตนเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการกับคนอื่น แต่กับบุตรและหลานสาวกลับเอาอกเอาใจ ตามใจเป็นอย่างดี จางอี้ซวนแม้จะแต่งเข้าสกุลหลิน แต่ก็ยังถือว่าเป็นคนอื่น ไม่แปลกหากจะถูกมารดาของเขาเจ้ากี้เจ้าการใส่
จางอี้ซวนไม่ตอบในทันที คีบเนื้อผัดขิงที่คีบค้างไว้อยู่มาใส่ถ้วยข้าวของตน ทำให้หลินจิ้นฝูต้องเลิกคิ้วสูง
“ว่าอย่างไร นางมาคุยสิ่งใดกับเจ้างั้นหรือ”
หลินซานซานเห็นแล้วรู้สึกท่าไม่ดี จึงรีบชิงตอบแทน
“ท่านป้ามาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบน่ะ ไม่มีสิ่งใดหรอก”
“อย่างนั้นหรือ”
“อะ...อื้ม แล้วก็มาถามไถ่ข้าว่าอยู่ที่นี่สุขสบายดีหรือไม่ ไม่มีสิ่งใดสำคัญ”
หลินจิ้นฝูรู้ว่านางโกหก ดูสายตาหลุกหลิกนั่นกับท่าทางตะกุกตะกักก็รู้แล้ว ช่างไม่แนบเนียนเอาเสียเลย
ไม่เพียงแต่ญาติผู้พี่ของนางด้วยที่จับได้ จางอี้ซวนเองก็จับได้เช่นกัน และเขาก็รำคาญใจที่เห็นสตรีผู้นี้มาปกป้องตน ถึงเขาจะอยู่ในคราบของสตรี แต่ก็ใช่ว่าจะรับมือกับแม่สะใภ้ของเขาไม่ได้เสียหน่อย เรื่องแค่นี้หาได้จำเป็นต้องให้ผู้ใดปกป้อง
“ท่านแม่ของเจ้ามาหาข้าเรื่องที่เจ้ากับข้าแยกเรือนกัน”
ฉับพลันก็โพล่งออกมา เรียกสายตาของหลินจิ้นฝูให้กลับไปมองทันควัน
“แล้วนางว่าสิ่งใดอีก?”
เขาไม่แปลกใจที่ท่านแม่ของตนรู้เรื่องนี้ ก็บ่าวรับใช้เป็นคนรายงานนี่นา ที่เป็นห่วงก็คือคนตรงหน้าต่างหาก ขณะที่จางอี้ซวนว่าเนิบนาบ
“นางบอกให้ข้าทำหน้าที่ภรรยาของเจ้าให้ดี”
ว่าพลางมองจ้องหน้าหลินจิ้นฝู คนตรงหน้าเข้าใจความนัยของประโยคนั้นเป็นอย่างดี
ทำหน้าที่ภรรยาที่ดี...
ท่านแม่ของเขาคงจะกังวลเรื่องทายาทสืบสกุลเป็นแน่
“อีกทั้งย้ำมาอีกว่าหากภายในหนึ่งปี ข้าไม่มีลูกให้เจ้า จะต้องจัดหาอนุมาให้เจ้าแทน”
จางอี้ซวนว่ามาอีก หลินซานซานบ่นพึมพำในใจ
จะหนึ่งปี สิบปี หรืออีกกี่ร้อยกี่ชาติก็มีลูกให้ญาติผู้พี่ของนางไม่ได้หรอก มีมังกรน้อยอย่างนั้นจะมีบุตรได้อย่างไร!
แต่นางก็พูดอะไรไม่ได้อยู่ดี ได้แต่อมพะนำให้หลินจิ้นฝูถอนหายใจอย่างเห็นอกเห็นใจฮูหยินของตน
“เรื่องนี้อาจจะทำให้เจ้าลำบากใจ ข้าต้องขออภัยแทนท่านแม่ของข้าด้วย แต่ในเมื่อเจ้าตบแต่งเข้าสกุลหลินแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง”
จางอี้ซวนสบตาอีกฝ่ายนิ่ง ว่าออกมาช้าๆ “เจ้าจะให้ข้ามีลูกให้เจ้าอย่างนั้นหรือ”
หลินจิ้นฝูพ่นลมหายใจยาวออกมาอีกครั้ง “เป็นฮูหยินของข้าแล้ว ถึงจะฝืนใจ แต่ก็คงจะต้องเป็นอย่างนั้น”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้!”
เป็นหลินซานซานที่ตะโกนก้องขึ้นมากลางวงแทนที่จะเป็นจางอี้ซวนที่เต้นผางเพราะถูกบุรุษด้วยกันชักชวนทำเรื่องที่สามีภรรยาควรกระทำ
หลินจิ้นฝูเหลือบมองญาติผู้น้อง ถามอย่างไม่เข้าใจนัก
“เหตุใดจึงไม่ได้”
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้ อาจิ้น! ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็มีลูกกับนางไม่ได้!”
“เพราะเหตุใดถึงไม่ได้ล่ะ”
“ก็...”
หลินซานซานอับจนคำพูด จะบอกว่าเพราะจางอี้ซวนเป็นบุรุษก็ไม่ได้อีก มิหนำซ้ำยังถูกเจ้าตัวมองเขม็งเช่นนี้ นางก็พูดไม่ออกยิ่งกว่าเดิม ในหัวคิดเรื่องโกหกเป็นการใหญ่ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้
“พี่สะใภ้สุขภาพไม่ค่อยดี ยังไม่คุ้นชินกับเมืองหลวงด้วย ข้าว่าเจ้าต้องให้เวลาพี่สะใภ้ก่อน รีบร้อนไป ข้าเกรงว่าจะทำให้พี่สะใภ้ลำบากใจยิ่งกว่านี้”
หลินจิ้นฝูร้องอ๋อ “ที่จริงแล้ว เจ้าก็เป็นห่วงพี่สะใภ้ของเจ้า”
คราวนี้นางรีบพยักหน้า จางอี้ซวนเห็นแล้วก็หัวเราะหึออกมา
“ไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้าไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดนั้น”
หลินซานซานหันขวับ ค้อนตาเขียวใส่ นางอุตส่าห์ช่วยเขาแล้ว จะมาขัดนางทำไม!
แท้จริงนางไม่ได้ช่วยเขาหรอก นางช่วยหลินจิ้นฝูต่างหาก แต่คงจะช่วยไม่ทันการแล้วกระมังเมื่อจู่ๆ จางอี้ซวนก็ว่าออกมา
“อย่างที่เจ้าพูด ข้าตบแต่งเป็นภรรยาเจ้าแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำหน้าที่ภรรยา เช่นนั้นคืนนี้ไว้ข้าจะไปพบเจ้าที่เรือนแล้วกัน”
บ้าไปกันใหญ่แล้ว!
หลินซานซานแทบจะลุกขึ้นเต้นผาง นางรีบหันไปมองหลินจิ้นฝู หมายจะให้เขาปฏิเสธ แต่ก็ต้องชะงักงันเมื่อพบกับรอยยิ้มบนใบหน้าคร้าม
“ไม่ต้องรีบร้อน ไว้เจ้าพร้อมกว่านี้ก่อนก็ได้”
มันเป็นรอยยิ้ม... หากนางมองไม่ผิด นั่นใช่รอยยิ้มพึงพอใจหรือเปล่า?
“จะพร้อมหรือไม่หาได้สำคัญ ข้าต้องทำหน้าที่ภรรยาอยู่แล้ว ข้าบอกว่าคืนนี้จะไปพบก็คือคืนนี้ เจ้าเตรียมตัวรอต้อนรับข้าเถอะ”
หลินจิ้นฝูพยักหน้า จากนั้นก็ไม่พูดอะไร ได้แต่กินข้าวต่อจนหมด ครั้นมื้อเย็นเสร็จสิ้นแล้ว หลินซานซานก็ร้อนใจ รีบไล่หลังจางอี้ซวนที่เดินกลับเรือนตนไปเตรียมตัวให้พร้อม ก่อนที่จะถลาไปกัดฟันถามเขาเสียงต่ำ
“ไหนท่านว่าจะไม่ทำอะไรสกุลหลินอย่างไรล่ะ”
จางอี้ซวนเลิกคิ้วยียวนเล็กน้อย “ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรนี่”
“ทำสิ ท่านกำลังจะทำ”
“ทำอะไร”
“ท่านจะนอนร่วมเตียงกับอาจิ้นไม่ได้”
หลินซานซานตอบไม่ตรงคำถามเลยสักนิด แต่จางอี้ซวนก็ไม่สนใจ เขารู้ว่าคำพูดของเขาทำให้นางร้อนใจ แต่...แล้วทำไมล่ะ ในเมื่อเขาเป็นภรรยา และญาติผู้พี่ของนางก็เป็นสามี มิหนำซ้ำมารดาของหลินจิ้นฝูยังมาเร่งรัดให้รีบมีทายาทอีก เขาก็จะสนองให้นี่ไง
“ที่ข้าพูด ท่านเข้าใจหรือไม่ ท่านจะร่วมเตียงกับอาจิ้นไม่ได้”
หลินซานซานยืนกรานเสียงแข็ง แน่ล่ะว่านางไม่ยอมแน่ หากยอมแล้ว หลินจิ้นฝูถูกพรากพรหมจรรย์โดยบุรุษด้วยกันไป เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างไร้เกียรติได้อย่างไร
ทว่าจางอี้ซวนกลับไม่หือไม่อือ หยักยิ้มแล้วโน้มใบหน้ามากระซิบข้างใบหูของนาง
“สกุลหลินจำต้องมีทายาท”
สิ้นเสียงก็ผละออกไปทันที ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมอ่อนๆ และลมหายใจอุ่นๆ เมื่อครู่ที่คลอเคลียอยู่ข้างใบหูนาง รวมถึงความอึ้งงันที่ทำให้นางทำสิ่งใดไม่ถูก
มีทายาทอะไรกัน บุรุษตั้งครรภ์ไม่ได้!
สวรรค์! สกุลหลินถึงคราวต้องแปดเปื้อนสะเทือนไปถึงบรรพบุรุษในปรโลกแล้ว!
