บทที่ 4: สกุลหลินจำต้องมีทายาท[1]
หลินซานซานนอนไม่หลับตลอดค่ำคืน ทุกครั้งที่เคลิ้มเข้าสู่ห้วงนิทรา นางก็จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดระแวง ใจประหวั่นพรั่นพรึงเหลือเกิน ด้วยเกรงว่าพี่สะใภ้...ไม่สิ บุรุษผู้นั้นจะเข้ามาทำร้ายนางและสกุลหลินทุกคนอย่างที่ได้ขู่นางเอาไว้
พี่สะใภ้ผู้นั้นเป็นฝันร้ายของนางชัดๆ !
วันนี้หญิงสาวจึงดูไม่สดใสนัก หลินจิ้นฝูที่มักจะเห็นนางตื่นมาส่งเขาไปปฏิบัติราชการทุกวันถึงกับสังเกตเห็นและอดร้องทักออกมาไม่ได้
“วันนี้เจ้าดูไม่สดใสเลย เป็นอะไรหรือไม่”
คนถูกถามเหลือบมอง ส่ายหน้าเบาๆ
“แน่ใจอย่างนั้นหรือ”
คราวนี้นางพยักหน้า แต่ญาติผู้พี่ของนางหาได้เชื่อเช่นนั้น ปกติแล้วนางจะต้องส่งเสียงเจื้อยแจ้ว เตือนเขาให้อย่าลืมกินข้าวกินปลา อย่าหักโหมงานหนักสิ นี่เงียบนิ่งไม่พูดไม่จา หรือว่า...นางจะป่วย?
“ให้ข้าเรียกหมอมาตรวจร่างกายให้ดีไหม เผื่อเจ้าจะเจ็บป่วยตรงไหน”
“ข้าสบายดี เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าดูไม่สดชื่นก็เพราะนอนไม่ค่อยหลับน่ะ”
หลินจิ้นฝูร้องอ๋อออกมาเล็กน้อย “เจ้าก็เลยดูไม่สดชื่นล่ะสินะ”
หลินซานซานพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนที่จะเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินอีกฝ่ายว่า
“เช่นนั้นข้าจะบอกให้ฮูหยินของข้าคอยดูแลเจ้าแล้วกัน เผื่อเจ้าเป็นอะไรหนักหนา จะได้มีคนช่วยตามหมอ”
“ไม่ต้อง!”
นางโวยวายอย่างลืมตัว หลินจิ้นฝูเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจอากัปกิริยาของนางนัก นางรู้สึกตัวในตอนนี้ รีบผ่อนน้ำเสียงลงในอยู่ในระดับปกติ
“ไม่ต้องรบกวนพี่สะใภ้หรอก ให้ข้าได้พักผ่อนสักหน่อยก็คงจะดีขึ้น”
ใช่ว่าหลินจิ้นฝูจะไม่รู้ว่าสตรีตรงหน้ากับฮูหยินของเขาไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไรนัก การที่เขาเอ่ยปากให้ฮูหยินของตนมาดูแลนาง นางคงจะลำบากใจไม่น้อย
“ถ้าอย่างนั้น มีอะไรก็บอกพ่อบ้านแล้วกัน ข้าไปก่อน”
“อืม ข้าจะรอเจ้ากลับมากินข้าวเย็นด้วยนะ”
หลินจิ้นฝูไม่พูดสิ่งใด ยิ้มบางๆ ส่งท้ายและขึ้นรถม้าหายไปจากหน้าจวน ทิ้งให้หลินซานซานมองตามจนลับสายตา ก่อนนางจะต้องสะดุ้งโหยงเมื่อหันกลับเข้ามาในจวนและพบว่ามีสายตาของใครบางคนจ้องมองนางนิ่งๆ อยู่ไม่ไกลนัก
สายตาคู่นั้น...เป็นของพี่สะใภ้!
เหตุใดวันนี้ถึงได้ตื่นเช้านัก!
หลินซานซานทำปากยื่นเล็กน้อย นอกจากนางที่ผิดปกติเพราะนอนไม่หลับแล้ว พี่สะใภ้ของนางก็ผิดปกติที่ตื่นเช้าเช่นกัน ปกติแล้วพี่สะใภ้...ไม่สิ บุรุษผู้นั้นจะต้องตื่นเที่ยงตื่นบ่ายสิ ตื่นเช้าเช่นนี้มีพิรุธนัก คิดจะทำการใดกันแน่
นางก็ได้แต่สงสัยเท่านั้นล่ะ ไม่กล้าออกปากถามหรอก เหตุเพราะยังคงหวั่นเกรงคนตรงหน้าอยู่ ขณะที่จางอี้ซวนในอาภรณ์สวยงามของสตรียังคงจ้องมองนางนิ่ง เมื่อเห็นหลินซานซานเดินหลบไปยังเรือนของตน เขาก็เอ่ยปากเรียก
“เห็นข้าแล้วเดินหนี ไม่เคารพพี่สะใภ้ ไม่เคารพนายหญิงของจวน อย่างนี้ใช้ได้หรือ”
หลินซานซานถึงกับชะงักขา หันไปมองหน้าอีกฝ่ายเขม็ง
พี่สะใภ้ นายหญิงผายลมอะไรกัน ไม่ใช่สักหน่อย!
แต่ในคราบของสตรีจำแลง จางอี้ซวนเป็นนายหญิงของจวนนี้อย่างที่ว่า หลินซานซานมิอาจขัดได้ โดยเฉพาะยามที่อยู่ในสายตาของบ่าวรับใช้ด้วยแล้ว นางยิ่งทำให้มีพิรุธไม่ได้เป็นการใหญ่ เพราะสายตาที่จางอี้ซวนมองมาดูคล้ายกำลังบอกนางว่าหากนางทำความแตก เตรียมตัวเตรียมใจเป็นร่างไร้วิญญาณได้เลยอย่างไรอย่างนั้น
“มิบังอาจเจ้าค่ะพี่สะใภ้ มิทราบว่ามีสิ่งใดให้ซานเอ๋อร์รับใช้อย่างนั้นหรือ”
ดูก็รู้ว่าหลินซานซานเกร็งไปทุกสัดส่วน ไม่เว้นแม้แต่น้ำเสียง จางอี้ซวนสัมผัสได้ชัดเจน และเขาก็ต้องการให้นางเป็นเช่นนั้นล่ะ
“ข้าไม่มีสิ่งใดให้เจ้ารับใช้”
หลินซานซานขมวดคิ้ว ไม่มีสิ่งใดแล้วจะรั้งนางไว้ทำไม
พลันเขาก็ทำให้นางต้องขมวดคิ้วมุ่นมากขึ้นไปอีก
“เพียงแต่ข้าหิวแล้ว”
“...”
“กินข้าวเช้ากับข้าดีไหม ซานเอ๋อร์”
อย่ามาเรียกนางสนิทสนมอย่างนี้นะ!
ขนลุกไปทุกอณูอีกแล้ว อะไรไม่ว่า นางขัดคำสั่งของเขาได้ไหมล่ะ!
“เจ้า...ค่ะ...”
กล้ำกลืนฝืนทนต้องรับคำไป เท่านั้นจางอี้ซวนก็พยักหน้าออกคำสั่งให้พ่อบ้านนำสำรับอาหารมาจัดยังโต๊ะหินอ่อนหน้าเรือนใหญ่ หลินซานซานทิ้งตัวลงนั่งอย่างจำใจ อาหารน่าตาน่ากินก็ไม่ช่วยให้นางรู้สึกอยากลิ้มลองขึ้นมาได้เลยสักนิด ดวงตากลมโตเอาแต่เหลือบมองคนตรงข้ามที่คีบอาหารเข้าปากด้วยท่าทาง...มีจริตจะก้าน
หากไม่เห็นด้วยตาตนเองว่าเขาเป็นบุรุษ นางคงไม่เชื่อหรอกว่าคนตรงหน้าเป็นบุรุษจริงๆ ถึงรูปร่างจะสูงโปร่งเฉกเช่นบุรุษ แต่หน้าตาและท่าทางกลับดูเหมือนเทพธิดาลงมาเดินดินไม่มีผิดเพี้ยน นางไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดจางอี้ซวนถึงได้เป็นที่พูดถึงไปทั่วทั้งเมืองหลวง
งดงามเช่นนี้ เรียกว่างามล่มเมืองได้เลยกระมัง...
แต่แล้วนางก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าภายใต้หน้ากากงดงามนี่ เนื้อแท้คือชายกักขฬะ คอยดูเถอะ สักวันนางจะเปิดโปงเขาให้ได้ ไม่รอให้เขาอยู่เป็นพี่สะใภ้นางครบถึงหนึ่งปีแล้วเป็นฝ่ายขอหย่าหรอก นางไม่อดทนขนาดนั้น!
หลินซานซานเบ้หน้าดูแคลน ทำเอาจางอี้ซวนที่ลอบสังเกตตั้งแต่เมื่อครู่ต้องออกปาก
“กำลังก่นด่าข้าในใจอยู่ล่ะสิ”
เขาว่าอย่างรู้ทัน หลินซานซานสะดุ้งน้อยๆ ส่ายหน้าเร็วๆ
“ข้าเปล่านะ”
“แล้วเหตุใดถึงได้ทำหน้าตาราวกับถ่ายไม่ออก”
เป็นคนกักขฬะจริงๆ ด้วย อยู่ในระหว่างมื้ออาหาร พูดเรื่องสกปรกอย่างนี้ออกมาได้เช่นไรกัน!
“ข้าไม่ได้ทำหน้าตาน่าเกลียดอย่างที่ท่านพูดสักหน่อย”
นางเถียง จางอี้ซวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เช่นนั้นจ้องหน้าข้าทำไม”
หลินซานซานเพิ่งจะตระหนักได้ในตอนนี้ว่าจ้องมองเขามากเกินไป นางหลุบตาลงต่ำอย่างคนมีชนักความผิดติดหลัง พลันก็ว่าอุบอิบ
“ข้าก็มองไปเรื่อยเปื่อย”
“มองไปเรื่อยเปื่อย... ข้าว่าเจ้าคงจะกำลังคิดหาทางบอกความลับของข้ากับญาติผู้พี่ของเจ้าอยู่มากกว่ากระมัง”
คราวนี้นางเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน
“ใช่เสียที่ไหน ข้าคิดไปเรื่อยเปื่อยจริงๆ”
โกหกใครก็โกหกได้ แต่โกหกจางอี้ซวนไม่ได้หรอก เขาเห็นนางทำท่าอมทุกข์ตั้งแต่เช้าขนาดนั้น ตอนที่ส่งหลินจิ้นฝูออกจากจวนก็ทำท่าเหมือนอยากจะบอกบางสิ่งแต่ก็ไม่บอกอยู่หลายครั้งหลายครา ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่านางคิดจะทำการใด
“ให้คิดเรื่อยเปื่อยจริงๆ เถอะ ข้าไม่อยากมือเปื้อนเลือดสักเท่าไรนัก ข้าเตือนเจ้าอีกครั้งว่าหากเจ้าปากโป้ง...สกุลหลินคงจะได้เหลือเพียงชื่อ”
จางอี้ซวนขู่ออกมาอีกเพื่อความมั่นใจ หลินซานซานหน้าซีดเผือดไปแล้ว แค้นก็แค้นที่ทำอะไรไม่ได้ ขณะเดียวกันก็นึกสงสัยไม่ได้
“เพราะกลัวว่าข้าจะเอาความลับของท่านไปบอกกับอาจิ้นกระมัง ท่านถึงได้ตื่นเช้าผิดปกติ”
เรื่องนั้นก็ใช่ จางอี้ซวนไม่ไว้ใจ เขาถึงได้รีบตื่นมาเพื่อดูลาดเลา แต่เขาก็มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ต้องรีบตื่นมาแต่เช้าเช่นกัน
“เรื่องนี้เจ้าน่าจะถามท่านป้าสะใภ้ของเจ้ามากกว่าว่าทำไมข้าถึงต้องตื่นเช้า”
จู่ๆ คนที่ไม่ได้อยู่ในจวนแห่งนี้ด้วยก็ถูกพาดพิงถึง หลินซานซานทำหน้าสงสัย
“ท่านป้าสะใภ้อย่างนั้นหรือ? หรือว่า...นางจะมาที่นี่?”
นับว่านางเป็นสตรีที่ไหวพริบดีอยู่ไม่น้อย จางอี้ซวนไม่ตอบคำถามนั้น ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ก่อนจะวางมันลงด้วยท่าทางนิ่งสงบ
“เรื่องของลูกสะใภ้กับแม่สามีเป็นเรื่องน่ารำคาญใจนัก”
เท่านี้หลินซานซานก็เข้าใจ ป้าสะใภ้ของนางคงจะมาสั่งสอนฮูหยินของบุตรชายกระมัง
ดี! เรื่องนั้นดี! นางจะได้ถือโอกาสฟ้องเสียเลยว่าจางอี้ซวนเป็นสะใภ้ที่ไม่ได้เรื่อง!
แต่...ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้
ไม่สิ ไม่ดีแน่ หากนางพูดสิ่งใดไม่ถูกหูออกไป แล้วจางอี้ซวนคิดฆ่าสกุลหลินล้างตระกูลขึ้นมา นางมิต้องทุกข์เพราะปากหรอกหรือ นางไม่กล้าหรอก!
หลินซานซานจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไร ปล่อยให้จางอี้ซวนจ้องมองอยู่อีกครู่ จากนั้นก็ลงมือกินอาหารตรงหน้าต่อโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ได้แต่ให้เวลาล่วงเลยไปอย่างเงียบงันเท่านั้น
หลินซานซานเข้าใจเหตุผลที่จางอี้ซวนต้องตื่นเช้าในวันนี้อย่างแจ่มชัดเมื่อป้าสะใภ้ของนางมาเยือนถึงจวนอีกไม่นานหลังจากนั้น นางคารวะผู้อาวุโสอย่างคุ้นเคย ป้าสะใภ้ยิ้มรับให้นางด้วยความเอ็นดู พูดคุยตามประสาป้าหลาน ก่อนที่จะกลายร่างเป็นนางปีศาจจิ้งจอกเมื่อเห็นลูกสะใภ้ของตนยืนมองอยู่ไม่ไกลนานสองนานแล้ว
“ข้าได้ยินว่าเจ้ากับอาจิ้นไม่ค่อยราบรื่นกันสักเท่าไรนัก”
นี่เป็นประโยคแรกที่หลุดจากปากของฮูหยินเสนาบดีหลินหลังจากที่นางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุผ้า จางอี้ซวนสบตานางนิ่ง จากนั้นก็ประหนึ่งว่าทั้งสองแข่งจ้องหน้ากัน จนจางอี้ซวนต้องเป็นฝ่ายเปิดปากด้วยเห็นว่าหากเขาไม่พูดอะไรสักอย่าง สตรีตรงหน้าก็คงไม่ยอมปริปากพูดเป็นแน่
“ไม่ราบรื่นอย่างไรหรือเจ้าคะ”
หลินซานซานที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยขนลุกชันไปทั้งกายอีกครา นางรีบใช้มือลูบแขนตนเองที่มีตุ่มเล็กๆ ขึ้นไปมา ก่อนที่จะเหลือบมองใบหน้าของป้าสะใภ้ที่ฉายแววไม่พอใจ
“ยังจะมีหน้ามาถามข้าอีก เจ้าเป็นฮูหยินของอาจิ้น เหตุใดถึงไม่รู้ว่ามีอะไรไม่ราบรื่น”
นี่ก็...ทำให้หลินซานซานขนลุกขนชันเช่นกัน
ฝ่ายหนึ่งเป็นบุรุษแต่ดัดเสียงเล็กเสียงน้อย แสร้งว่าเป็นสตรี อีกฝ่ายก็หาได้รู้ว่าคนตรงหน้าหาใช่สตรี พูดออกมาเต็มปากเต็มคำว่าเป็นฮูหยินของบุตรชายตน หากมารู้ภายหลังว่าคนตรงหน้าก็มีมังกรน้อยเช่นกัน มีหวังได้ขนหัวลุกเหมือนนางไม่มีผิดเพี้ยนแน่
แต่หลินซานซานจะไปพูดอะไรได้ ยามนี้นางอยู่ตรงกลาง ได้แต่กลืนไม่เข้า คายไม่ออกอยู่อย่างนั้น
ส่วนจางอี้ซวนก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าสตรีวัยกลางคนตรงหน้าหมายความเช่นไร เรื่องที่ไม่ราบรื่นระหว่างสามีภรรยาก็มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นล่ะ
เรื่องการมีผู้สืบสกุล...
สามีไม่ทำหน้าที่ ภรรยาไม่เอาอกเอาใจ เช่นนี้นี่อย่างไรที่เรียกว่าไม่ราบรื่น แต่จางอี้ซวนกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ประสา ถามออกมาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
