บทที่ 3: พี่สะใภ้กำมะลอ
ดวงตาเบิกโพลง ใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ หากแต่หาใช่เพราะเขินอาย เป็นเพราะพรั่นพรึงกับสิ่งที่เห็นเต็มสองตามากกว่า
หนึ่งคือพี่สะใภ้ที่กลายเป็นบุรุษ และสองคือมังกรของพี่สะใภ้!
พลันนางก็รีบหุนหันตั้งท่าจะหนีออกไปด้านนอก จางอี้ซวนเห็นอย่างนั้นก็มิอาจยอมปล่อยให้นางไปได้ รีบถลาเข้าไปดักหน้า ใช้ร่างกายที่พร่างพราวไปด้วยหยดน้ำขัดขวางนางเอาไว้
“อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าหนีออกไปโดยง่าย”
เขาว่าเสียงต่ำ สร้างความหวั่นเกรงให้กับหลินซานซานมากขึ้นไปอีก ดวงตากลมโตสั่นระริก ประกายความหวาดหวั่น ดวงหน้าพริ้มเพราซีดขาว นางหวาดกลัวบุรุษตรงหน้าเหลือเกิน แต่กระนั้นก็ต้องพาตนออกไปจากที่แห่งนี้ให้จงได้
นางหลุบตัวลงต่ำ เบี่ยงตัวหลบหมายจะพุ่งไปที่ประตู ทำให้อีกฝ่ายต้องร้องเรียกเสียงเขียว
“จะไปไหน”
จางอี้ซวนเข้าไปฉุดแขนของหญิงสาวให้กลับมาอยู่จุดเดิม หลินซานซานเบิกตาโพลง ดิ้นหนีสุดแรง
“ปล่อยข้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”
ใครจะปล่อยให้นางออกไปบอกความลับของเขากัน จางอี้ซวนไม่ปล่อยไม่พอ ยังพยายามจับร่างเล็กๆ ของนางให้หยุดดิ้น
“ข้าบอกให้ปล่อยข้า!”
เกิดเป็นความชุลมุนแล้ว นางร้องเสียงดังไม่หยุดด้วย จางอี้ซวนขมวดคิ้วมุ่น หากมีใครได้ยินเสียงของนางเข้า มิเป็นเรื่องใหญ่หรือ?
“อยู่นิ่งๆ !”
เขาตัดสินใจออกแรงตรึงนางให้อยู่กับที่มากกว่าเดิม แกล้งบีบแขนนางแรงๆ เพื่อให้ความเจ็บปวดสะกดให้นางหยุดดิ้นพล่าน แต่ก็หาได้ช่วยอะไรสักนิด หลินซานซานดิ้นขลุกขลักไม่หยุด เรียวคิ้วกระบี่ของจางอี้ซวนขมวดมุ่นกว่าเดิมแล้ว
“ข้าบอกให้อยู่นิ่งๆ !”
ยิ่งเสียงดังก็ยิ่งทวีความน่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิม องคาพยพบนใบหน้าคร้ามดูโกรธเกรี้ยว หลินซานซานก็หวาดกลัวอยู่หรอก แต่หากเชื่อฟังเขา นางมิต้องเดือดร้อนกว่าเดิมหรือ? เขามาดีหรือมาร้าย ผู้ใดเล่าจะรู้!
“ข้าไม่หยุด! ปล่อยข้านะ!”
เหตุใดนางจึงดื้อด้านเช่นนี้!
จางอี้ซวนบริภาษในใจ เขาตั้งใจว่าหากนางตั้งสติได้เมื่อไร จะอธิบายแท้ๆ ว่าสิ่งที่นางเห็นคืออะไร แต่นางกลับดิ้นรนขัดขืนไม่หยุด เป็นเช่นนี้เขาจะอธิบายได้อย่างไนกันล่ะ
“ข้าสั่งให้เจ้าหยุด! จงหยุด!”
“ไม่! ข้าไม่หยุด! ช่วย...อุ๊บ!”
นางทำท่าจะร้องขอความช่วยเหลือ จางอี้ซวนเห็นก็ตะครุบกลีบปากสีสวยนั้นไว้มั่น ฉับพลันก็เกิดเป็นความชุลมุนอลหม่าน สตรีดิ้นรนขัดขืน บุรุษตรึงร่างให้อยู่กับที่ วุ่นวายกันอยู่พักใหญ่จนบังเกิดเป็นความพลาดพลั้งที่ชวนให้อัปยศ มือของจางอี้ซวนที่หลายจะคว้าหัวไหล่หลินซานซานที่หมายจะหนีพลาดไปประทับลงไปยังหน้าอกนุ่มหยุ่นข้างหนึ่ง เขาถึงกับชะงักเมื่อประจักษ์ได้ว่ามือของตนวางทาบอยู่กับสิ่งใด
อื้อ...หือ...
ผู้ใดเล่าจะคิดว่าร่างเล็กแต่กลับเต็มไม้เต็มมือเช่นนี้ ถึงกับเผลอจับอยู่อย่างนั้นเสียนาน ก่อนจะได้สติ
ไม่! ถึงสิ่งนั้นมันจะนุ่มพอดีมือเพียงใด เขาก็ไม่ควรฉวยโอกาสกับนาง จางอี้ซวนชักมือออกทันที ขณะที่หลินซานซานได้แต่อ้าปากค้าง น้ำตาคลอหน่วยด้วยประหวั่นกับสิ่งที่เกิดขึ้น พลันส่งเสียงสะอื้นออกมา
“ทะ...ท่านจับหน้าอกข้า!”
สวรรค์! ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะมีบุรุษมาแตะเนื้อต้องตัว แล้วเหตุใดครั้งแรกของนางจะต้องเป็นพี่สะใภ้กำมะลอผู้นี้ด้วย!
คิดแล้วก็เต้นเร่าๆ อยากจะกัดลิ้นตายเสียตรงนั้น นางไม่บริสุทธิ์เพราะถูกพี่สะใภ้ล่วงเกินเสียแล้ว!
จางอี้ซวนเห็นก็เลิกเคลิบเคลิ้มกับความนุ่มมือทันใด ตระหนักได้ถึงความผิดตน รีบแก้ตัวพัลวัน
“เมื่อครู่นี้ชุลมุน เจ้าไม่หยุดดิ้น มือข้าก็เลยเผลอไปโดน หากเจ้าเงียบเสียง ยอมฟังข้าตั้งแต่คราแรก ข้าก็คงไม่พลั้งมือไปล่วงเกินเจ้าอย่างนี้”
แม้จะแก้ตัว แต่ก็มิวายกล่าวโทษนาง หลินซานซานเม้มริมฝีปากแน่น ตัวสั่นระริกด้วยโกรธกรุ่น
“ท่านจับของข้า”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
“จับเสียนาน เช่นนี้เรียกว่าไม่ได้ตั้งใจหรือ!”
โวยวายมาอย่างนี้ จางอี้ซวนก็ขมวดคิ้วมุ่น
“ข้าบอกแล้วว่าหาได้ตั้งใจ มันเป็นอุบัติเหตุ”
อุบัติเหตุกับมารดาท่านน่ะสิ! จับมาเต็มไม้เต็มมือเช่นนั้น ยังมีหน้ามาบอกว่าเป็นอุบัติเหตุอีกหรือ!
“แต่เจ้าจับหน้าอกข้า! เจ้าจับของข้า!”
หลินซานซานเสียสติในครานี้ ปล่อยโฮออกมาเสียงดังจนได้ ทั้งโกรธ ทั้งขวัญเสียจนน้ำตาไหลอาบใบหน้าเปรอะเปื้อนไปหมด จางอี้ซวนก็ไม่รู้จะทำเช่นใด ถึงเขาจะเป็นหนุ่มฉกรรจ์ แต่ก็ใช่ว่าจะช่ำชองเรื่องสตรี เมื่อครั้งอยู่ชายแดนเคยได้ยลโฉมสตรีเสียที่ไหน หันไปทางใดก็มีแต่บุรุษร่วมกองทัพ เรือนร่างสตรีก็เพิ่งจะได้ล่วงเกินเป็นครั้งแรก กล่าวได้ว่าเขายังครองพรหมจรรย์ก็ไม่แปลกนัก
แต่ในยามนี้ สตรีตรงหน้ากำลังร้องไห้โฮเพราะเขาพลั้งมือไปลวนลามนางเข้า ถึงจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ในเมื่อสัมผัสไปแล้ว มันก็...รู้สึกดี
ไม่สิ! ไม่ใช่! เขาต้องรับผิดชอบต่างหาก!
“ท่านจับของข้า! จับ...ฮึก...จับของข้า...”
หลินซานซานยังคงโวยวายประโยคเดิมไม่เลิกรา เสียงทวีดังขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย หากขืนปล่อยให้นางพร่ำพูดเช่นนี้ไม่หยุด ผู้อื่นจะต้องได้ยินเสียงนางแน่ ดังนั้นจางอี้ซวนก็เลย...
“เช่นนั้นข้าให้จับของข้าคืนแล้วกัน!”
คว้ามือนางไปทั้งยังพูดไม่จบดี ก่อนจะวางฝ่ามือเล็กแหมะลงบนแผ่นอกตนเอง หลินซานซานมองด้วยน้ำตาคลอเบ้า ส่ายหน้าพรืดเมื่อเขาบอก
“หายกันแล้ว”
“หายกันเสียที่ไหน ท่านจับสิ่งสำคัญของสตรีนะ!”
หลินซานซานเลี่ยงที่จะไม่พูดคำว่า ‘หน้าอก’ อีกแล้ว ชักประดักประเดิดขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้
จางอี้ซวนขมวดคิ้วมุ่นที่สตรีตรงหน้าช่างมากเรื่อง เขาจะเอาใจนางถูกหรือ เขาจับหน้าอกนางก็ให้นางจับหน้าอกคืนแล้ว แต่นางไม่พอใจ ทั้งยังอ้างว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งสำคัญของสตรี เช่นนั้น...
“เจ้าก็จับสิ่งสำคัญของบุรุษคืนก็แล้วกัน”
พลันก็จับมือนางเลื่อนลงต่ำไปวางแหมะอยู่บน...ส่วนกลางของลำตัว
สติสัมปชัญญะของหลินซานซานกลับคืนมาในตอนนี้ นางเบิกตาโพลง มองมือตนเองสลับกับใบหน้าคร้ามคมของแม่ทัพหนุ่มขณะที่เขาว่าออกมาหน้าตาเฉย
“หายกันแล้ว”
มันใช่หรือ เจ้าคนไร้ยางอาย!
หลินซานซานชักมือออก สะบัดไปมาเร็วๆ ราวกับถูกน้ำร้อนลวก ก่อนจะหุนหันทำท่าจะออกไปจากห้องอีกครั้ง ทำเอาจางอี้ซวนต้องพุ่งไปคว้าตัวนางไว้
“เจ้าจะไปไหน!”
“ปล่อยข้า!”
“ข้าจะปล่อยเจ้าก็ต่อเมื่อเจ้าบอกว่าจะไปไหน!”
นางชะงัก จ้องมองเขาด้วยสายตาเคียดแค้น จางอี้ซวนพอเดาได้ว่านางคงจะรีบวิ่งโร่นำเรื่องนี้ไปบอกใครต่อใครว่าเขาเป็นบุรุษ หาใช่สตรี หากแต่ก็ผิดคาดเมื่อนางข่มเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวว่า...
“ข้าจะไปที่ครัว”
เรียวคิ้วกระบี่ของบุรุษหนุ่มเลิกขึ้นสูง
“ไปทำไม”
นั่นสิ นางจะไปที่ครัวทำไม มีสิ่งใดสำคัญที่นั่นหรือ?
แล้วก็ได้คำตอบเมื่อนางปล่อยโฮออกมาอีกครา พร้อมกับโวยวายประหนึ่งเสียสติ
“ข้าจะสับมือตัวเองทิ้ง! ฮือ...ข้าแปดเปื้อนแล้ว! ท่านทำข้าแปดเปื้อนแล้ว!”
นางแปดเปื้อนแล้ว ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่มีบุรุษใดกล้าตบแต่งสตรีที่ไปจับมังกรของพี่สะใภ้เช่นนางอีกแล้ว!
จางอี้ซวนได้ยินก็แทบจะเอาศีรษะโหม่งเสาเรือนให้ตายไปตรงนั้น เป็นนางเองมิใช่หรือที่ทวงความยุติธรรมน่ะ เขาจับของสำคัญบนเรือนร่างนาง เขาก็ให้นางจับของสำคัญบนเรือนร่างของเขาคืน ไม่ยุติธรรมอย่างไร!
นั่นเป็นความคิดที่วิปลาส จางอี้ซวนตระหนักรู้ตนในภายหลังว่าการกระทำของตนนั้นช่างน่าละอาย เขาเป็นบุรุษ ล่วงเกินสตรีราวกับตนคือเติงถูจื่อ[ เติงถูจื่อ เป็นตัวละครในเรื่อง ‘จอมลามกเติงถูจื่อ’ ประพันธ์โดยซ่งอวี้ (298 – 222 ปีก่อนคริสตกาล) นักประพันธ์แคว้นฉู่ในสมัยจั้นกั๋ว ต่อมาใช้เป็นคำด่าผู้ชายที่ลามกไม่เลือก] สิ่งนั้นย่อมน่ารังเกียจ แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขาต้องทำให้นางสงบสติอารมณ์ให้ได้ก่อน ตอนนี้นางเอาแต่กระทืบเท้าปึงปัง ร่ำไห้โวยวายไม่หยุด เขาจะเดือดร้อนเอาได้
แต่...ในเมื่อออกคำสั่งนางแล้วไม่ได้ผล ข่มขู่นางแล้วก็ไม่ได้ผล ถ้าอย่างนั้น...
“หากเจ้าไม่หยุดเสียงดัง ข้าจะไม่รับปากว่าญาติผู้พี่ของเจ้าจะมีชีวิตรอดถึงวันพรุ่งนี้”
ได้ผลชะงัด หลินซานซานปิดปากสนิทราวกับสั่งได้ นางใช้ดวงตาคู่สวยที่สะพรั่งไปด้วยหยดน้ำตาจ้องมองมาอย่างขุ่นเคือง
“ท่านจะทำอะไรญาติผู้พี่ของข้า”
หลินซานซานทอดสายตามองมาอย่างพรั่นพรึง จิตใต้สำนึกบอกกับนางว่าบุรุษตรงหน้าหาใช่ปุถุชนธรรมดา ปลอมตัวมาเป็นสตรีเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะประสงค์ร้ายแล้วจะทำเพื่อการใด นางไม่โง่หรอก!
หากแต่จางอี้ซวนไม่บอก และเขาไม่ทำอะไรญาติผู้พี่ของนางหรอก คนผู้นั้นไม่เกี่ยว แค่ใช้เป็นเครื่องมือขู่นางก็เท่านั้น
“จะทำสิ่งใดหาได้สำคัญ เจ้ารู้แต่เพียงว่าหากเจ้าไม่เชื่อฟังช้า ญาติผู้พี่ของเจ้าได้ไปเที่ยวชมปรโลกก็พอ”
แล้วหลินซานซานจะกล้าได้อย่างไร ปิดปากสนิทราวกับนางเป็นใบ้ ขณะที่อีกฝ่ายระบายลมหายใจเต็มแรง ทว่าการที่ไม่พูดสิ่งใด นางจึงรวบรวมความกล้าทำลายความเงียบอีกครั้ง
“แล้วท่าน...ปลอมเป็น...เอ่อ...พี่สะใภ้เพื่อการใด”
พูดไปก็กระดากปากไป นางไม่อยากเรียกบุรุษที่มีมังกรผงาด มิหนำซ้ำยังฉกมือของนางไปก่อนหน้าว่าพี่สะใภ้หรอก แต่จะให้เรียกอย่างอื่น นางก็อับจนปัญญา หาได้รู้เช่นกัน
จางอี้ซวนจ้องมองสตรีร่างเล็กนิ่ง “ในเมื่อเจ้าถามตรงๆ ข้าก็จะบอกตามตรง”
ว่าพลางก้าวเข้าหา นางถอยหลังหนีโดยไม่รู้ตัวกระทั่งแผ่นหลังไปชิดกับขอบโต๊ะที่อยู่ไม่ไกล สายตาจับจ้องยังรูปหน้างดงามของบุรุษผู้นี้นิ่ง
“ข้าจำต้องปลอมเป็นพี่สะใภ้ของเจ้า เพราะข้ามีสิ่งที่อยากรู้”
“สะ...สิ่งที่อยากรู้... เรื่องใดอย่างนั้นหรือ?”
จางอี้ซวนไม่บอกหรอก หาใช่เรื่องของนาง เขาได้แต่ว่านิ่งๆ เท่านั้น
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“...”
“เอาเป็นว่าหากเจ้าไม่อยากให้ญาติผู้พี่ของเจ้ามีบาดแผลใดๆ เจ้าก็จงปิดปากให้สนิท”
เอาญาติผู้พี่ของนางมาขู่อีกแล้ว นางเผลอทำหน้าง้ำแล้วนะ!
แต่จางอี้ซวนไม่สนใจ หรี่ตาลงเล็กน้อย “แต่ถ้าเจ้าปากมากไป” แล้วก็แสร้งกดเสียงต่ำ “ข้าก็ไม่รับรองว่าเจ้านั่นจะอยู่รอดปลอดภัยจนกว่าข้าจะจากไป”
เลิกขู่นางได้แล้ว!
หลินซานซานเม้มริมฝีปากแน่นเป็นเส้นตรง ขณะเดียวกันก็ฉุกใจขึ้นมาได้
จนกว่าเขาจะจากไป เช่นนั้นก็หมายความว่า...?
“ท่านไม่เป็นพี่สะใภ้ของข้าไปชั่วชีวิตอย่างนั้นหรือ?”
คนถูกถามขมวดคิ้วมุ่น “ให้ข้าเป็นพี่สะใภ้เจ้าจนกว่าชีวิตจะหาไม่ สู้ให้ข้ากัดลิ้นตายตรงนี้เลยดีกว่า ข้าจะหย่า”
แล้วเหตุใดไม่หย่าตั้งแต่ตอนนี้เลยเล่า!
หลินซานซานคันปากยุบยิบ อยากจะถามแทบตาย แต่ไร้ซึ่งคำพูด ทว่าถึงจะไม่พูด จางอี้ซวนก็รับรู้ได้ว่านางอยากจะพูดสิ่งใด
“ข้าบอกเจ้าแล้วว่ามีเรื่องที่อยากรู้ ถึงได้มาตบแต่งเป็นฮูหยินให้ญาติผู้พี่ของเจ้า”
เรื่องนั้นนางไม่สนใจแล้ว เรื่องที่นางสนใจก็คือ...
“แล้วท่านจะหย่ากับญาติผู้พี่ของข้าเมื่อไร”
จางอี้ซวนหรี่ตามอง แลดูนางอยากให้เขาไปให้พ้นๆ โดยไวเสียเหลือเกิน
“ไว้ครบหนึ่งปีเมื่อไร ข้าจะหย่ากับญาติผู้พี่ของเจ้า การแต่งงานระหว่างข้ากับหลินจิ้นฝูเป็นสมรสพระราชทาน ใช่ว่าอยากจะหย่าก็หย่า ขัดราชโองการ มิวายกุดลูกกุดหลานกันทั้งสกุล”
เรื่องนี้หลินซานซานรู้ดี สมรสพระราชทาน ผู้ใดก็มิอาจขัด แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางก็ไม่แน่ใจว่าควรจะร้องไห้เสียใจให้ญาติผู้พี่ หรือร้องไห้ด้วยความดีใจที่ไม่ต้องมีฮูหยินเป็นบุรุษเหมือนกันดี
ดีใจสิ! นางควรดีใจ ญาติผู้พี่ของนางจะพ้นทุกข์พ้นโศก นางต้องดีใจอยู่แล้ว!
“ท่านพูดจริงๆ นะ?”
ยังจะร้องถามอีก จางอี้ซวนชักรำคาญใจแล้ว กระนั้นก็พยักหน้ารับ หงุดหงิดใจกว่าเดิมด้วยเมื่อเห็นดรุณีน้อยผู้นี้ยิ้มร่าราวกับยกภูเขาออกจากอก
“ข้าไม่เคยคืนคำ แต่...”
“แต่?”
“อย่างที่ข้าบอก หากเรื่องที่ข้าเป็นบุรุษถูกเปิดเผย ญาติผู้พี่ของเจ้าคงได้เหลือเพียงชื่อ”
ขู่มาอีกแล้ว หลินซานซานกลืนน้ำลายเอื้อกทันควัน และต้องเหงื่อซึมทั่วทั้งกายเมื่ออีกฝ่ายขู่สำทับมา
“ไม่ใช่เพียงญาติผู้พี่ของเจ้า แต่จะเป็นท่านลุง ท่านป้า เจ้า และคนอื่นๆ ในสกุลหลินด้วยที่จะเหลือแต่ชื่อ อย่าคิดลองดีกับข้าเชียว”
หลินซานซานเงียบงัน ไม่กล้าพูดสิ่งใดออกมา ได้แต่มองจางอี้ซวนผละไปแต่งกายด้วยอาภรณ์สตรีเช่นเดิม ไม่นานนัก เขาก็กลับกลายเป็นพี่สะใภ้รูปงามของนางอีกครา ก่อนที่นางจะต้องขนลุกชันไปทั้งร่างเมื่อเขาชำเลืองมอง
“มัวมองสิ่งใดอยู่ มาช่วยพี่สะใภ้ของเจ้าสางผมสิ...ซานเอ๋อร์”
ให้นางกัดลิ้นตายตรงนี้เถอะ! นางขนหัวลุกไปหมดแล้ว!
หลินซานซานไม่กล้าขยับตัวไปชั่วขณะ แต่แล้วก็จำต้องเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ทรุดตัวลงนั่งหน้ากระจก ช่วยสางเส้นผมให้จนได้เมื่อตระหนักว่าต่อต้านไปก็ไร้ประโยชน์ นางต่อกรกับบุรุษผู้นี้ไม่ได้ และในเมื่อทำสิ่งใดไม่ได้ นางคงต้องยอมจำนนจนกว่าเขาจะเป็นฝ่ายหย่าไปเอง
แต่นั่น...มันตั้งหนึ่งปี!
นางต้องทนมีเขาเป็นพี่สะใภ้กำมะลอถึงหนึ่งปีเต็มเชียวหรือ!?
สวรรค์! นี่มันวิปริตวิปลาสกันไปหมดแล้ว!
