Bad Engineer 7 - ความจริงที่ต้องเจอ
-ยูกิ-
@โรงพยาบาล
เมื่อฉันรู้ข่าวว่าพี่ชายของฉันไปแข่งรถที่สนามแข่งแล้วเกิดอุบัติรถเสียหลักจนต้องเข้าโรงพยาบาล ฉันก็รีบมาหาพี่ชายของฉันด้วยความเป็นห่วงทันที
“พี่บากิ เป็นอะไรมากไหมคะ เจ็บตรงไหนบ้าง”
ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย ฉันเห็นพี่บากิกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงคนไข้แบบปรับระดับ ก่อนจะรีบปรี่เข้าไปสำรวจไปตามมือไม้ของพี่บากิว่าเป็นอะไรหรือบาดเจ็บมากไหม แต่เท่าที่เห็นจากภายนอกพี่บากิแทบไม่มีแม้รอยช้ำหนัก ๆ หรือผ้าก๊อซพันแผลตรงส่วนไหนเลย นอกจากรอยถลอกกับรอยช้ำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“พี่ไม่เป็นอะไร แค่หัวกับไหล่กระแทกที่ตัวรถนิดหน่อยหมอเลยให้แอทมิดดูอาการในตอนเช้า” พี่บากิเอ่ยบอกพร้อมกับรอยยิ้ม แต่ฉันนี่สิหน้าเสียไปตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลแล้ว
“แล้วไปท้าแข่งกันได้ยังไง? แล้วตอนไหน? ทำไมยูกิไม่เห็นรู้เรื่องเลย” เมื่อเห็นว่าพี่บากิไม่เป็นอะไรมาก ฉันก็ปรับอารมณ์มาเป็นสงสัยแทน เพราะหลังจากที่วางสายจากโรงพยาบาลที่โทรมาแจ้งฉัน ฉันก็รีบโทรหานีน่าเพื่อถามข้อมูลเพิ่มเติมที่อยากรู้เพราะคิดว่ารายนั้นน่าจะรู้เพราะเห็นชอบไปดูแข่งรถทุกวันกับเฟมี่ และก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อได้รู้จากนีน่าว่าพี่บากิไปแข่งรถที่สนามแข่งของไฟจริง แต่ที่สงสัยคือ ใน
ตอนแรกฉันก็คิดว่าพี่บากิท้าแข่งกับพายุ แต่จริง ๆ คนที่พี่บากิแข่งด้วยคือเพลิง นั่น-ยิ่งทำให้ฉันสงสัยมากขึ้นไปอีก
“มันมาท้าแข่งกับพี่ คงจะเพราะหึงพี่กับเฟียร์”
พี่บากิอธิบาย
ฉันพยักหน้า เพราะพอจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพลิงกับเฟียร์ และพอจะรู้อยู่บ้างว่าทั้งสองคนไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกันธรรมดาเหมือนเพื่อนคนอื่นทั่วไปแต่อยู่ในสถานะ FWB ซึ่งฉันก็พอเดาออกได้ในทันทีว่าเพลิงน่าจะหึงพี่บากิกับเฟียร์เมื่อตอนงานวันเกิดของฉัน เพราะพี่บากิบอกว่าทั้งสองคนมีปัญหากันและเข้าใจผิด ทำให้เพลิงพาเฟียร์กลับไปก่อนจะเป่าเค้กวันเกิดให้กับฉันเสียอีก
ส่วนฉันกับเฟียร์ ถึงแม้เราสองคนจะเป็นเพื่อนกันจนสนิทกัน ตั้งแต่ตอนที่เฟียร์ยังเรียนปีหนึ่งด้วยกันที่มหาวิทยาลัย KSB ของฉัน แต่เมื่อเฟียร์ย้ายไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย King ตอนปีสอง และไปอยู่กับกลุ่มไฟ เพลิงและพายุ ฉันก็ห่างออกมา เหตุผลเดียวคือไม่อยากเจอหน้ากับพายุอีก
แต่สุดท้ายฉันก็ดันเจอกับพายุอีกจนได้
…
ฉันได้แต่มองหน้าพี่บากินิ่ง ส่วนพี่บากิเองก็นิ่งจ้องมองฉันกลับอยู่เช่นกัน ต่างคนต่างไม่พูดอะไร แต่รู้ดีว่าสายตาที่มองกันนั้นภายในกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่
ก็คงไม่พ้นเป็นเรื่องพายุ…
“น้องเจอกับผู้ชายคนนั้นแล้วนะคะ”
“เมื่อไหร่?” พี่บากิเอ่ยถามด้วยแววตาสงสัยปนตกใจเล็กน้อย
“ที่ผับ”
“แล้วมันจำเราได้ไหม?”
ฉันพยักหน้าตอบ
“ค่ะ” ฉันสบตาพี่บากิด้วยสายตาจริงจัง
“แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ น้องไม่ได้เป็นอะไร เขาไม่ได้ทำอะไรน้อง และน้องคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องหลบหน้าเขาอีกต่อไป น้องมาคิดดูแล้วน้องไม่ใช่คนผิด ทำไมน้องต้องเป็นคนหลบหน้าเขาด้วย เขาต่างหากที่ควรจะสำนึกผิดและต้องเป็นฝ่ายละอายในสิ่งที่ตัวเองทำ”
ใช่ไหม ทำไมฉันต้องเป็นฝ่ายหลบด้วยล่ะ ในเมื่อคนผิดคือเขาต่างหาก
ถึงในตอนที่เราเลิกกันสภาพจิตใจฉันแย่เอามาก ๆ และฉันไม่พร้อมที่จะเจอหน้าเขาอีก พยายามหลบหน้ามาตลอด แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันแกร่งและเข้มแข็งพอ มันคงถึงเวลาที่ฉันต้องเผชิญกับเขาได้แล้ว
ซึ่งเรื่องราวระหว่างฉันกับพายุในอดีต ฉันไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เฟียร์หรือเพื่อนคนอื่นเลยแม้แต่น้อย มันเป็นเรื่องราวของฉันกับเขา ตั้งแต่ตอนฉันอายุแค่สิบแปด ก่อนที่เราสองคนจะเลิกรากันไปในช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัยด้วยซ้ำไป
ยอมรับว่าในตอนนั้นทั้งฉันและเขา เราสองคนยังเด็กเกินไปสำหรับเรื่องแบบนั้น แต่ก็นะ ถึงจะฉันกับเขาจะเคยคบก็จริง แต่มันก็นานมากแล้ว
แต่ที่แน่ ๆ วันที่พี่บากิพี่ชายฉันรู้เรื่อง คือวันที่ฉันกับเขาเลิกกัน เขาโกรธและไม่พอใจพายุเอามาก ๆ ถึงฉันจะขอร้องให้พี่บากิไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่ฉันรู้ดีว่าความโกรธของเขายังคงคุกรุ่นตลอดเวลา
ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ฉันกับเขาเลิกกัน พี่บากิหวงฉันมากแทบไม่ให้ฉันออกไปไหนกับเพื่อน ๆ โดยเฉพาะเที่ยวผับ เหตุผลมีเรื่องเดียว เพราะกลัวว่าฉันไปเจอกับพายุเข้าอีก พี่บากิกลัวว่าฉันจะเสียใจถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมาที่พายุเคยทำไว้กับฉัน และเป็นอย่างที่พี่บากิตั้งใจ ฉันไม่เคยได้เจอกับพายุเลย
แต่ถึงแบบนั้น ก็ใช่ว่าฉันจะไม่รับรู้เรื่องของเขาแต่อย่างใด เพราะฉันยังคงได้ยินถึงเรื่องชื่อเสียงและความเจ้าชู้รวมถึงความกะล่อนที่ดังกระฉ่อนไปทั่ว ซึ่งในตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาฉันได้ยินเรื่องพายุมามากพอ พอที่ทำให้หัวใจของฉันชาชินและแข็งแกร่งและคิดว่า...
ในตอนนี้เรื่องในอดีตระหว่างฉันกับเขาไม่สามารถทำอะไรกับหัวใจและความรู้สึกของฉันได้อีกแล้ว ความเจ็บปวดในอดีตมาจนถึงตอนนี้มันเป็นแปลเปลี่ยนเป็นความแค้นที่ฉันอยากจะเอาคืนเสียด้วยซ้ำ อยากทำให้เขาเจ็บอย่างที่ฉันเคยเจ็บมากกว่า
“เราโอเคแน่นะ?” อีกครั้งที่ความเป็นห่วงของพี่ชายถูกส่งออกมาด้วยแววตาและน้ำเสียงที่อ่อนโยนจนน้องสาวที่อ่อนแออย่างฉันอยากจะลุกขึ้นมาเข้มแข็งด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีพี่ชายคอยปกป้องอยู่ตลอดเวลาแบบนี้
คิดได้ดังนั้นฉันเดินเข้าไปใกล้และจับที่แขนพี่บากิเบา ๆ ส่งสายตาบ่งบอกว่าฉันโอเคดี
“น้องไม่เป็นไร ไม่ได้สนใจเรื่องในอดีตอีกแล้วค่ะ” น้ำเสียงที่หนักแน่นและแววตาจริงจังของฉันทำพี่บากิมองฉันนิ่ง
“พี่ไม่อยากให้มันกลับมาวุ่นวายกับน้องอีก ไอ้พายุมันเลวเกินกว่าที่น้องสาวของพี่จะอยู่ใกล้”
“เขาเจอน้องก็จริง แต่เขาคิดว่าน้องกับพี่เป็นแฟนกัน คงไม่กล้ามาวุ่นวายอะไรกับน้องมากหรอกค่ะ”
“ดี ให้มันเข้าใจไปแบบนั้น ที่เหลือพี่จัดการเอง” พี่บากิเอ่ยเสียงเรียบ “แต่ถ้ามันทำอะไรเราอีกพี่ไม่ปล่อยมันไว้แน่ ว่าแต่น้องเถอะรีบกลับไปได้แล้วเดี๋ยวจะดึก” ว่าแล้วพี่ชายก็วนมาไล่ให้ฉันรีบกลับบ้านจนได้
“งั้นยูกิขอไปเก็บเสื้อผ้ามาเฝ้าพี่คืนนี้ก่อนนะคะ”
ฉันเปลี่ยนเรื่องทันทีเพราะถ้าขืนยังคุยเรื่องนี้ต่อไปทั้งคืนก็ไม่จบแน่
“ไม่ต้องเฝ้าหรอก นี่ก็มืดแล้วกว่าจะไปกว่าจะมามันอันตราย พี่ไม่ได้เป็นอะไรมากอยู่คนเดียวได้ เรารีบกลับบ้านไปเถอะ ดึกมากกว่านี้มันอันตราย”
พี่บากิก็ยังเป็นพี่บากิ แม้ตัวเองจะนอนอยู่โรงพยาบาลก็ยังเป็นห่วงฉันก่อนอันดับแรกเสมอได้ยินดังนั้นฉันก็พยักหน้ารับ และมองสำรวจพี่บากิอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่เป็นอะไรมากจริง ๆ ก่อนจะเบนสายตาหันไปมองยังด้านนอกที่เริ่มมืดแล้ว ในเมื่อพี่บากิไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่พูดจริง ๆ ฉันก็ควรกลับบ้านตามที่พี่บอก
“เคค่ะ งั้นกลับแล้วนะคะ” ฉันเดินออกมาได้สองสามก้าวก็หันกลับไปมองยังพี่ชายตัวดีอีกครั้ง
“อืม รีบกลับไปได้แล้ว”
“ค่า มีอะไรก็โทรหาน้องนะคะ” สิ้นประโยคฉันก็เปิดประตูเดินออกมาจากห้องเพื่อกลับบ้าน
แต่ทว่า…
ฝีเท้าของฉันกลับต้องหยุดชะงักเมื่อเจอใครบางคนที่ห้องผู้ป่วยถัดไป!
?
