Bad Engineer 6 - สนามแข่ง
สามวันต่อมา...
@สนามแข่ง
เฟียร์ หญิงสาวคนเดียวของกลุ่มและรับหน้าที่เรซควีนประจำสนามกำลังทำหน้าที่สะบัดธงเพื่อปล่อยรถแข่งลงสนาม ทว่าหลังจากจบการแข่งขันคู่แรก เจ้าของใบหน้าสวยหุ่นเซ็กซี่ก็เดินเข้ามาสมทบกับกลุ่มเพื่อนชายทั้งสามคนที่กำลังยืนคุยกันอยู่
“คุยอะไรกัน” เฟียร์เอ่ยถาม เพราะเมื่อเธอเดินมาถึงทั้งสามก็ดูเหมือนว่าจะพูดคุยกันเสร็จพอดี
“ไอ้ไฟมันไม่มีสมาธิแข่งเลยจะให้ไอ้เพลิงแข่งแมตช์ต่อไปแทน” เป็นพายุที่หันมาตอบเฟียร์แทนทุกคน
“อะไรนะ?” เรียวคิ้วสวยขมวดแสดงสีหน้าเป็นกังวลในทันที
“นายพร้อมแล้วเหรอเพลิง” เธอรีบหันไปถามเพลิงที่ยืนอยู่
เขาพยักหน้าตอบด้วยสีหน้านิ่งเรียบ หากแต่แววตาเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว ก่อนที่ร่างสูงจะเดินเข้าไปที่รถประจำที่นั่งในเบาะคนขับ เพื่อเคลื่อนรถไปยังจุดสตาร์ทเฟียร์ได้แต่มองตามรถของเพลิงที่เพิ่งเคลื่อนออกไปอย่างไม่วางตา
“เอาน่า” พายุที่เดินมาแตะที่ไหล่ของเฟียร์เพื่อปลอบใจ
เขาเข้าใจความรู้สึกของเธอในตอนนี้ดีว่ารู้สึกเป็นห่วงเพลิงมากแค่ไหน และเข้าใจดีว่าเพื่อนแต่ละคนอยู่ในอารมณ์แบบไหน
ไฟกำลังหงุดหงิดเรื่องหึงหวงมีอากับหนุ่มรุ่นพี่ร้านคาเฟ่
ส่วนเขาเองก็ใช่ว่าจะมีสมาธิไปแข่งต่อ
นับประสาอะไรกับเพลิงที่กำลังหงุดหงิดเรื่องของเฟียร์ แต่ถึงอย่างนั้นพายุ... ก็เข้าใจความรู้สึกของเพลิงดี มันคงกำลังทั้งห่วงน้องสาวอย่างพะพาย แล้วก็หึงหวงเฟียร์เอามาก ๆ
ในสนามแข่ง
เฟียร์ทำหน้าที่เรซควีนในคู่ต่อไป สองขาเรียวเดินก้าวมาหยุดตรงกลางระหว่างรถแข่งทั้งสองคัน โดยที่ฝั่งขวาเป็นรถของเพลิง และฝั่งซ้ายเป็นรถของบากิ
พรึ่บ! รถแข่งทั้งสองคันออกสตาร์ทผ่านร่างเพรียวบางด้วยความเร็วสูง เฟียร์ได้หันหลังกลับมองตามท้ายรถทั้งสองคันด้วยความรู้สึกหวั่นวิตกอยู่ในใจ
แมตช์นี้เป็นแมตซ์ที่ทำเอาคนบนอัฒจันทร์ต่างลุ้นจนนั่งไม่ติดกับเก้าอี้ เมื่อรถสองคันขับเคี่ยวแข่งกันบนสนามแข่งเบียดเสียดกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมกัน และไม่เพียงแค่ผู้คนบนอัฒจันทร์เท่านั้น ในห้องพักและทีมงานก็นั่งไม่ติดเช่นเดียวกัน
“เชี่ย แม่งเล่นสกปรก” พายุสบถขึ้นอย่างหัวเสีย เมื่อเห็นว่าบากิที่กำลังพยายามเบียดให้เพลิงตกขอบสนาม ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เพลิงอาจจะเสียหลักชนเข้ากับขอบสนามแล้วพลิกคว่ำก็เป็นได้
แต่คนที่เป็นห่วงเพลิงยิ่งกว่าใคร ก็คงจะไม่พ้นเฟียร์ เธอได้แต่ยืนมองมอนิเตอร์ที่ฉายรถสองคันแล่นไปด้วยความเร็วที่มากเกินกำหนดด้วยความรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี นิ้วเรียวกำหมัดจิกเล็บที่ฝ่ามือแน่น เพราะรู้สึกลุ้นไปกับทุกวินาทีบนสนามแข่ง
และในตอนนั้นเอง
เอี๊ยดดดดด
โครมมมม
“เฮ้ย!” ไฟตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
“สัสเวรเอ๊ย!” ตามมาด้วยพายุที่ตะโกนเสียงดังออกมาไม่แพ้กัน
“เพลิง!” เฟียร์แทบช็อกกับภาพที่เห็น เพราะเมื่อครู่รถสองคนที่พยายามแล่นเบียดกันด้วยความเร็วในสนามใกล้กับจุดเข้าเส้นชัยในอีกกี่ไม่กี่นาที มีคันหนึ่งที่เสียหลักจนหมุนคว้างชนเข้ากับอีกคันที่ตามกันมาติด ๆ ส่งผลให้รถทั้งสองคันพลิกคว่ำหลายตลบต่อหน้าต่อตาผู้คนที่เข้าชมกันอยู่ภายในสนามแห่งนี้
เห็นดังนั้นไม่รอช้า ทั้งสามคนเร่งรุดวิ่งไปยังจุดเกิดเหตุทันที
จุดที่รถพลิกคว่ำอยู่ไม่ไกล แต่ตัวรถไถลจนไปชนกับขอบสนามและถึงแม้สนามค่อนข้างจะเซฟตี้พอสมควร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่น่ากลัว เมื่อทั้งหมดวิ่งมาถึงตัวรถที่มีควันพวยพุ่งออกจากกระโปรงหน้ารถ กลับพบว่าเพลิงกำลังพยายามออกมาจากซากเครื่องยนต์อย่างทุลักทุเล
“เพลิง!” เฟียร์แทบจะวิ่งเข้าไปหาด้วยอาการตื่นตระหนก ถึงจะรู้ว่าชุดที่ร่างสูงใส่ค่อนข้างเซฟตี้มากแค่ไหนแต่นั่นก็ทำให้เธออดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี โชคดีว่าสนาม Fire Speed Racetrack ค่อนข้างมีความพร้อม ทีมงานแพทย์สนามเข้ามายังจุดเกิดเหตุและดูแลผู้แข่งขันที่บาดเจ็บทั้งสองคันอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นอะไร โอเคดี” เพลิงบอกกับทีมแพทย์ที่เข้าไปดูแล
“แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร” เฟียร์มองดูอาการของอีกฝ่ายด้วยความห่วง พร้อมกับย้ำกับทีมแพทย์ให้ตรวจเช็กร่างกายให้เขาอย่างถี่ถ้วน
“แค่มึนหัวนิดหน่อย” เพลิงตอบ
“เดี๋ยวต้องส่งตัวไปโรงพยาบาลนะครับ เพราะต้องสแกนสมองหากพบอาการผิดปกติจะได้ดูอาการได้ทัน” แพทย์สนามบอก
ซึ่งมันก็จริง ต่อให้ร่างกายไม่มีแผลบาดเจ็บใด ๆ ก็ตามที แต่การที่รถพลิกคว่ำหลายตลบขนาดนั้นก็อาจส่งผลกระทบกระเทือนถึงสมองก็เป็นได้ ดังนั้นอย่างไรต้องส่งไปตรวจร่างกายอย่างถี่ถ้วนที่โรงพยาบาลอีกครั้ง
“งั้นรีบไปโรงพยาบาลเลย” ไฟเดินมาดูด้วยความเป็นห่วง แต่ก็รู้สึกโล่งอกที่เพลิงไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่คิด
@โรงพยาบาล
“เป็นไงบ้างวะ” พายุเดินเข้ามาถามไถ่คนที่นอนอยู่บนเตียงพร้อมกับมองสำรวจอาการของอีกฝ่าย แต่พอเห็นว่าเพื่อนไม่ได้เป็นอะไรมากก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“จะเป็นเหี้ยไร กูยังไม่ตาย” เพลิงตอบเหมือนไม่ได้ใส่ใจอาการของตัวเองเท่าไรนัก แต่ที่ยังต้องนอนอยู่อีกหนึ่งคืน เพราะทางคณะแพทย์ขอประเมินดูอาการอีกครั้งในตอนเช้า
“อืม อย่างที่คนพูดกันไม่มีผิด คนเหี้ย ๆ มักจะตายยาก” พายุเดินเข้ามาตบบ่าคนป่วยที่นอนอยู่
“ควXเถอะ” เพลิงส่ายหน้าให้กับความกวนตีนของพายุ ก่อนที่เขาจะถามถึงบากิคู่แข่งของตัวเองด้วยสีหน้าซีเรียส
“แล้วไอ้บากิ?”
“ไม่ได้เป็นอะไรมากเหมือนกัน น่าจะน้อยกว่ามึงด้วยซ้ำมั้ง”
“อืม”
“เออ แต่มันฝากคนมาบอกรอบหน้ามันจะเจอกับกูให้ได้” สีหน้าพายุเปลี่ยนไปเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
“ไอ้นี่แปลก เหมือนมันจะพุ่งเป้ามาที่มึงตลอด” เพลิงเอ่ยออกมาอย่างสงสัย
“เออ กูก็คิดงั้น สายตาที่แม่งมองกูเหมือนโกรธแค้นกูมาสิบชาติ กูไปทำอะไรให้มันแค้นตอนไหน กูก็ยังไม่เข้าใจ” พายุเองก็ยังสงสัยไม่ต่างกัน
แต่ถึงแบบนั้น เรื่องที่เขาไม่พอใจมากกว่าในตอนนี้คือมันกลายมาเป็นแฟนของยูกิ อดีตคนรักของเขา
ซึ่งเป็นเรื่องที่เขายอมไม่ได้
ที่ผ่านมา พายุเองก็ไม่เคยพูดหรือเล่าเรื่องที่เขาทำเลวกับยูกิให้เพื่อนฟังด้วยเช่นกัน เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่น่าพูดสักเท่าไหร่
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกันอยู่ เป็นเฟียร์ที่เปิดประตูเข้ามาภายในห้องผู้ป่วยพอดี เธอเพิ่งกลับเข้ามาหลังจากออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดเรซควีนเป็นเสื้อยืดธรรมดาที่หาซื้อจากร้านค้าด้านล่าง เพราะขืนต้องใส่ชุดเซ็กซี่แบบนั้นอยู่โรงพยาบาลคงไม่เหมาะ
“อ้าวแล้วไฟล่ะ ไม่มากับนายเหรอ” เฟียร์เอ่ยทักพายุที่ยืนอยู่คนเดียวเพราะไม่เห็นไฟมาด้วย ก่อนที่เธอจะหันไปสบตากับเพลิงที่นั่งอยู่บนเตียง เขาเอาแต่มองร่างเล็กด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“มันจะมาทำไม” พายุเอ่ยลอย ๆ แต่ทำหน้าตาเหมือนรู้อะไรมา
“อ้าว”
“มันกำลังปลอบขวัญเมียมันอยู่เว้ย”
“ปลอบ?” เพลิงเลิกคิ้วถาม “ปลอบอะไรวะ”
“ก็เมียมันคิดว่าคนที่รถคว่ำเป็นรถของไอ้ไฟอะดิ กูเห็นมีอาร้องไห้โฮปานใจจะขาด สงสัยไอ้ไฟได้มันง้อเมียสำเร็จก็คราวนี้” พายุเล่าตามที่เขาเห็นมา
“หึ” เพลิงถึงกับส่ายหัวอย่างเอือม ๆ “สัสห่วงเมียมากกว่าหวงเพื่อนซะอีกไอ้เพื่อนเชี่ย” เขาบ่นแบบไม่ได้จริงจังอะไร เพราะรู้ดีว่าตัวเองก็ใช่จะเจ็บหนักอะไรมากมาย ไฟคงรู้อาการเขาดีอยู่แล้วจากแพทย์ประจำสนาม
“เออ งั้นมึงไม่เป็นอะไรแล้วกูกลับก่อนละกัน” พายุตบบ่าเพลิงเบา ๆ ส่วนเพลิงกลับแกล้งทำท่าราวกับเจ็บบ่าขึ้นมาจริง ๆ ทำเอาเฟียร์ตกใจทำตาดุใส่พายุแล้วเข้าไปดูเพลิงในทันที
“มึงไม่เห็นเหรอว่ามันเจ็บ”
“ไม่เห็นว่ะ เห็นแต่คนตอแหลอ้อนเมีย” พายุยักไหล่พูดติดตลกแซวเพลิงกับเฟียร์ ก่อนจะเดินถอยหลังออกไปที่ประตู พลางยกมือแบขึ้น
“งั้นกูไม่อยู่เป็นก้างขวางคอมึงสองคนละ ไปหาสาว ๆ ในสต๊อกของกูดีกว่า ไปละบาย”
