ตอนที่ 8 เกลียด
ภัทรสรตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยอาการตาบวมเป่งเนื่องจากเมื่อคืนนอนร้องไห้จนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว ดวงตากลมเหลือบไปมองร่างของคนข้างกายแวบหนึ่งก่อนจะรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว วันนี้เธอมีนัดตรวจครรภ์
“แนน จะออกไปไหนแต่เช้าจ๊ะ” เวรุกาเอ่ยถามเมื่อเห็นน้องสะใภ้เดินผ่านมาที่โต๊ะอาหารโดยไร้เงาชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี
“เอ่อ...วันนี้หมอนัดค่ะพี่วีวี่”
“แล้วนี่วินยังไม่ตื่นอีกเหรอ ทำไมทำตัวแบบนี้ แทนที่จะพาเมียไปหาหมอกลับนอนกินบ้านกินเมือง” หญิงสาวต่อว่าน้องชายที่ทำตัวเหมือนเดิมไม่มีผิด
“ไม่เป็นไรค่ะ แนนไปคนเดียวได้ค่ะ” เขาคงไม่เต็มใจจะพาไป แม้แต่จะไถ่ถามกันสักนิดยังไม่มี
“ไม่ได้จ้ะ แนนรอพี่ก่อนนะ ทานข้าวกับคุณพ่อก่อน เดี๋ยวพี่ขึ้นไปตามวินให้เอง” สิ้นเสียงร่างบางก็ลุกออกจากโต๊ะอาหาร ตั้งใจลากน้องชายตัวดีไปกับน้องสะใภ้ให้ได้
“เป็นยังบ้างหนูแนน หลับสบายไหม?” ประมุขใหญ่ของบ้านถามลูกสะใภ้ วงหน้าสวยฟ้องให้เห็นว่าเธอไม่ต่างไปจากคนกำลัง ‘อมทุกข์’
“ค่ะคุณพ่อ”
“ถ้าวินพูดอะไรให้หนูไม่สบายใจอย่าเก็บเอามาใส่ใจเลยนะ นิสัยมันก็เป็นแบบนั้น” ท่านพูดด้วยความเป็นห่วงและรู้จักนิสัยของบุตรชายดี
“แนนจะพยายามค่ะ” ภัทรสรรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างที่อย่างน้อยในครอบครัวนี้ยังมีคนเป็นห่วงถึงสองคน
“แล้วนี่หนูท้องกี่เดือนแล้ว ยังแพ้อยู่หรือเปล่า”
“สองเดือนแล้วค่ะคุณพ่อ แนนแพ้แค่ช่วงแรกๆ ตอนนี้ดีขึ้นมาบ้างแล้วค่ะ” ว่าที่คุณแม่อดยิ้มไม่ได้ยามนึกถึงเลือดเนื้อเชื้อไขในท้อง
“วินมาแล้วจ้ะ” ระหว่างที่คุยกับพ่อสามีไปหลายเรื่อง หญิงสาวเหลือบไปเห็นผู้เป็นสามีเดินตามพี่สาวเข้ามา ใบหน้าบึ้งตึงเสมือนสัญญาณเตือนให้รับรู้ว่าการออกไปครั้งนี้ไร้ซึ่งความเต็มใจจากอีกฝ่าย
“จะไปได้หรือยัง เสียเวลา” เจ้าของเสียงทุ้มแทรกขึ้นมาก่อนจะเดินเลยออกไป โดยไม่คิดจะรอ เวรุกาได้แต่มองตามไปด้วยความสงสารเมื่อเห็นน้องสะใภ้สงบปากสงบคำแล้วเดินตามแผ่นหลังกว้างไปเงียบๆ
“วีวี่สงสารแนนจังค่ะคุณพ่อ”
“พ่อว่าหนูแนนต้องทำให้วินพ่นคำว่ารักออกมาได้สักวัน เชื่อพ่อสิ” น้ำเสียงของชายสูงวัยเต็มไปด้วยความมั่นใจว่าไอ้ลูกตัวดีจะต้องกลืนน้ำลายตัวเองไม่วันใดก็วันหนึ่ง
“เธอท้องกี่เดือนแล้ว?” คำถามที่ดังขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยสร้างความงุนงงให้คนฟังไม่น้อย กระนั้นก็ยังตอบกลับไปแบบไม่เต็มเสียง
“สะ...สองเดือนค่ะ” หลังได้ยินคำตอบผู้เป็นสามีก็ไม่พูดอะไรอีก บรรยากาศในรถจึงเต็มไปด้วยความเงียบเพราะต่างฝ่ายต่างก็จมอยู่กับความคิดของตนเอง
แผนกสูตินรีเวชของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ
“คุณภัทรสร คุณหมอเชิญด้านในค่ะ” ผู้ช่วยแพทย์ในชุดเครื่องแบบสีขาวเดินออกมาเชิญว่าที่คุณแม่เข้าไปภายในห้องตรวจ
“สวัสดีค่ะ วันนี้คุณแม่มาคนเดียวเหรอคะ?” แพทย์หญิงถามขึ้นเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเข้ามาคนเดียวเป็นครั้งที่สอง
“เอ่อ...มากับสามีค่ะคุณหมอ” เจ้าของเสียงหวานตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก รู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายไม่ได้เต็มใจจะรับผิดชอบชีวิตน้อยๆ ในท้อง ที่วันนี้ยอมมาด้วยก็เป็นเพราะไม่อยากขัดใจผู้ให้กำเนิดและพี่สาวเท่านั้น
“หมอขอเชิญคุณพ่อเข้ามาด้วยนะคะ”
“ค่ะ” ภัทรสรผละออกไปเรียกพ่อของลูก “คุณวินคะ คุณหมอเชิญคุณเข้ามาด้วยค่ะ”
“ทำไมต้องเข้าไปให้วุ่นวาย เข้าไปก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี” น้ำเสียงดังกล่าวเต็มไปด้วยความหงุดหงิดแต่ก็ยอมเดินตามเข้ามาอย่างเสียไม่ได้
“เชิญนั่งก่อนค่ะ” แพทย์หญิงผายมือไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มองสามีภรรยาที่เหมาะสมกันด้วยรอยยิ้มโดยไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของคนทั้งคู่นอกจากทำตามจรรยาบรรณและหน้าที่
“เมื่อครั้งก่อนหมอคุยกับคุณแม่ไปแล้วว่าควรดูแลสุขภาพในช่วงการตั้งครรภ์อย่างไรบ้าง คุณแม่พอจะเข้าใจแล้วนะคะ?”
“ค่ะคุณหมอ” ว่าที่คุณแม่ตอบรับ
“วันนี้ที่หมอให้คุณพ่อเข้ามาด้วย เพราะอยากช่วยแนะนำเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างการตั้งครรภ์ว่าไม่มีผลอะไร ถ้าไม่แน่ใจตรงไหนก็ปรึกษาหมอได้ค่ะ หมอยินดี” แพทย์หญิงให้คำแนะนำด้วยรอยยิ้ม เข้าใจดีว่าชายหญิงย่อมมีความต้องการตามธรรมชาติซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“ขอบคุณนะครับคุณหมอ ยังไงผมจะพยายามไม่ให้กระทบกระเทือนไปถึงลูก” คนหน้าด้านตอบคุณหมอด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม ดวงตาคมเหลือบมามองคนข้างกายด้วยแววตาแฝงไปด้วยเลศนัย
“ยินดีค่ะ ร่างกายคุณแม่และลูกแข็งแรงดีไม่มีปัญหา เดี๋ยวหมอจะให้พยาบาลออกใบนัดตรวจครั้งต่อไปค่ะ”
หลังจากรับยาที่เคาน์เตอร์จ่ายยาเรียบร้อยแล้ว ภัทรสรรีบเดินนำไปที่รถก่อน เนื่องจากยังรู้สึกอายกับคำพูดของแพทย์หญิงเมื่อครู่ ต่อให้รู้ดีอยู่เต็มอกว่าจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกก็ตาม
“เป็นอะไร อายหรือไง?” ธีรวัฒน์เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าแม่ของลูกเอาแต่ยืนก้มหน้าก้มตา
“เปล่าค่ะ”
“ฮึ! ไม่ต้องอายหรอกเพราะฉันไม่ได้นึกพิศวาสอะไรเธอ” ถ้อยคำเย้ยหยันพุ่งเข้ากลางหัวใจเต็มแรง นั่นสินะ…เธอกำลังหวังอะไรอยู่กันแน่
“ค่ะ แนนรู้ตัวดี” เธอเลือกแล้วว่าจะไม่ต่อล้อต่อเถียงกับคนพาลอีก
“ก็ดี! หัดเจียมตัวไว้จะได้ไม่ต้องพูดอะไรให้มากเรื่อง แล้วนี่จะยืนอยู่ทำซากอะไร หรือหวังให้ฉันเปิดประตูให้แบบพวกพระเอกแสนดีในละคร ฝันต่อไปเถอะนะ” สิ้นเสียงร่างสูงใหญ่ก็เดินไปฝั่งคนขับ ปล่อยให้คนฝันลมๆ แล้งๆ พาตัวเองเข้ามานั่งด้านข้างด้วยความไม่เข้าใจกับอารมณ์ผีเข้าผีออกดังกล่าว
“ลงไปก่อน บอกพ่อให้ฉันด้วยว่าฉันจะเข้าไปที่บริษัท” ชายหนุ่มสั่ง หลังจากล้อรถยนต์นิ่งสนิทอยู่บริเวณด้านหน้าประตูรั้วบ้าน
“คุณวินจะเข้าบริษัทเหรอคะ?” สาบานว่าไม่ได้คิดจะวุ่นวาย แค่อยากรู้ความเป็นไปในชีวิตของชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีบ้าง...เท่านั้นจริงๆ
“อยากรู้ไปทำไม ถ้าอยากรู้นักจะบอกให้ ฉันจะไปหาลูกพีช พอใจไหม” เคยบอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าไม่ให้ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวแต่ก็ยังเสนอหน้าทำ ลองให้รู้ความจริงบ้างก็ดีเหมือนกัน
“คุณยังติดต่อกับคุณลูกพีชอีกเหรอคะ ในเมื่อคุณแต่งงานแล้ว” หากอีกฝ่ายได้รับรู้ว่าคนรักเก่าของตัวเองพูดอะไรกับเธอไว้ในวันแต่งงานบ้างจะรู้สึกอย่างไร แต่คำตอบคงมีให้อยู่แล้วว่าผู้หญิงที่รักกับผู้หญิงที่เกลียดอีกฝ่ายเลือกจะเชื่อใคร
“แต่งงานโดยปราศจากความรักมันจะมีความหมายอะไร มีแต่ความน่าเบื่อ อ้อ...แล้วอย่าคิดมาเล่นบทเมียขี้หึงกับฉัน มันน่ารำคาญ” คนใจร้ายตะคอกใส่เสียงดังที่เธอชักจะเข้ามาวุ่นวายและมีส่วนร่วมในชีวิตตนมากเกินไป
“ค่ะ แต่คุณวินจำไว้นะคะว่าแนนเป็นเมียแต่งที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง เพราะฉะนั้นแนนคือเมียหลวง มีสิทธิ์ในตัวคุณมากกว่าคนอื่น” พูดจบเจ้าของร่างบางก็ก้าวลงจากรถ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมาประจานความอ่อนแอ เธอต้องเข้มแข็งสิ อย่าให้ใครมาดูถูกอีก
“ฉันจะทำให้เธอขอหย่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า คอยดูไปแล้วกัน!” ธีรวัฒน์คำรามตามหลังเมียที่ไม่ต้องการออกไปด้วยความไม่พอใจที่เจ้าหล่อนเริ่มมีปากมีเสียงมากขึ้นทุกวัน
