บทที่ 5
เจฟกลับชุมพรในวันรุ่งขึ้น เพราะยังมีงานที่รอให้ชายหนุ่มจัดการราเมสยืนส่งบุตรชายอยู่หน้าบ้าน ก่อนจะรู้สึกวูบจนลูกน้องคนสนิทรีบเข้ามาพยุง
“คุณท่านเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“เปล่าๆ ฉันไม่ได้เป็นอะไร” ราเมสโบกไม้โบกมือบอกชัย ลูกน้องคนสนิท แต่สีหน้าที่ยังคงซีดเผือดของราเมสก็ทำให้บรรดาลูกน้องคนสนิทกังวล
“คุณท่านไปหาหมอหน่อยไหมครับ”
“ไม่ต้องๆ พักเดี๋ยวเดียวก็หาย” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เอาเข้าจริงอาการของราเมสกลับไม่ดีขึ้น ไอเป็นเลือดและรู้สึกเจ็บแถวๆ หน้าอก เหนื่อยหอบทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไร จึงตัดสินใจไปโรงพยาบาลในตอนบ่าย
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล นายแพทย์อยุทธ์ ซึ่งเป็นเพื่อนของราเมสก็รีบส่งตัวคนป่วยปากแข็งไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดทันที ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พยายามบอกให้ราเมสหมั่นตรวจสุขภาพแต่กลับถูกปฏิเสธมาตลอด เพราะ ราเมสคิดว่าตนนั้นแข็งแรง ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร
แต่ผลตรวจร่างกายของราเมสที่ออกมาก็ทำให้เจ้าตัวช็อก ที่คิดมาตลอดว่าตัวเองนั้นมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง วันนี้ราเมสกลับต้องเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว ผลที่ออกมาคือตอนนี้เขาป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ระยะที่สาม นายแพทย์อยุทธ์แนะนำให้ผ่าตัด หากไม่ดีขึ้นค่อยใช้วิธีการฉายรังสีหรือการให้ยาเคมีบำบัด แต่ราเมสกลับไม่ยอมทำตามคำแนะนำของหมอ
“ทำไมถึงไม่ยอมผ่าตัด ฉันล่ะไม่เข้าใจเอ็งจริงๆ นะราเมส” นายแพทย์อยุทธ์เอ่ยถาม สีหน้าเป็นกังวลที่ราเมสไม่ยอมรับการรักษาตามแผนที่เขาได้วางไว้ให้
“ฉันแค่อยากไปแบบสบายๆ นะหมอ ไม่อยากเจ็บตัวหรือสร้างความทุกข์ให้เจฟต้องมาเป็นห่วงหรือกังวลกับอาการป่วยนี้” หากต้องตายจริงๆ ราเมสก็อยากไปแบบไม่ต้องเจ็บตัวหรือทรมานกับการรักษา ชีวิตคนเราก็มีแค่นี้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย วนเวียนเป็นวัฏจักร จะดิ้นรนไปทำไมหากต้องถึงเวลาที่เราต้องตาย
“แต่ถ้าไม่ทำการรักษาอะไรเลย อาจจะอยู่ได้แค่หนึ่งปีเท่านั้นนะ” สีหน้าของนายแพทย์อยุทธ์กังวลอย่างเห็นได้ชัด
“สำหรับฉันตอนนี้ มีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ปีเดียวก็น่าจะพอแล้ว” ใช่ว่าจะไม่ห่วงชีวิต แต่ราเมสเริ่มจะปลงได้มากกว่า
“หมอ อย่าบอกเรื่องนี้ให้เจฟรู้เป็นอันขาดนะ ฉันขอ”
“ได้” นายแพทย์อยุทธ์จำต้องรับปาก แม้จะปลงเรื่องอาการเจ็บป่วย แต่สิ่งหนึ่งที่ราเมสยังปลงไม่ได้ นั่นคือต้องการเห็นเจฟมีครอบครัวที่อบอุ่นก่อนที่ตนจะหมดลม
เมื่อกลับจากโรงพยาบาล แทนที่จะห่วงเรื่องอาการป่วยของตัวเอง แต่ราเมสกลับใช้เวลาเพื่อขบคิดถึงแต่เรื่องจะหาผู้หญิงที่ไหนมาแต่งงานกับเจฟ เพราะถ้ารอให้บุตรชายหาผู้หญิงคนนั้นเสียเอง ราเมสก็กลัวจะไม่ทันการ คิดไปคิดมาอยู่นาน ราเมสก็ยิ้มออก ในที่สุดก็รู้ว่าจะเลือกใคร ก่อนจะหวนคิดถึงเรื่องเมื่อหลายปีก่อน ที่ได้เจอเด็กหญิงคนหนึ่ง เธอช่างน่ารัก ช่างเจรจา ป่านนี้คงโตเป็นสาวและคงสวยมากแน่นอน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับผู้ชายบ้าๆ คนนั้น ก็ทำเอา นับดาวฝันร้ายอยู่หลายคืน ยิ่งอยากจะลืมกลับยิ่งจดจำโดยเฉพาะใบหน้าของคนที่ทำให้เธอฝันร้าย แต่นับดาวก็ยังคงต้องใช้ชีวิตต่อไป แม้จะมีเรื่องให้ทุกข์ใจอยู่บ้าง กระทั่งเรียนจบปริญญาตรี ความฝันคือเข้าไปช่วยงานบิดาที่บริษัท ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยกับความคิดนี้
“เรียนจบก็ต้องทำงานน่ะถูกแล้ว ไม่ใช่ทำตัวไร้ค่าไปวันๆ” สายฝนเอ่ยกระทบกระเทียบนับดาวและเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร โดยลืมมองบุตรสาวสุดที่รักของตัวเองว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ เพราะถึงแม้ ทัดดาวจะเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้ว แต่กลับทำอะไรแทบไม่เป็น เอาแต่ใจก็ที่หนึ่ง ใช้เงินเป็นเบี้ย ของบนตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าถ้าไม่มียี่ห้อก็แทบไม่หยิบ
“ค่ะ” นับดาวเอ่ยรับเงียบๆ สำหรับกมลนั้นสองจิตสองใจ ทั้งอยากให้นับดาวเข้าไปช่วยงานตนและไม่อยากในเวลาเดียวกัน แต่เพราะไม่อยากขัดภรรยาจึงจำต้องยอม
นับดาวเลือกทำงานฝ่ายบัญชีและการเงิน เพราะตรงกับสาขาที่เธอร่ำเรียนมา และนั่นทำให้หญิงสาวรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้ว่าธุรกิจกำลังขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนัก จำเป็นต้องปลดพนักงานออกหลายอัตรา
“คุณพ่อ”
“รู้แล้วใช่ไหม” กมลเอ่ยขึ้น เพราะพอจะเดาออกว่านับดาวต้องรู้อะไรมาบ้างไม่มากก็น้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่ขอเข้าพบพร้อมกับแสดงสีหน้ากังวลเช่นนี้
“ค่ะ” สีหน้าของนับดาวนั้นไม่สู้ดีนัก
“คุณพ่อจะทำยังไงต่อคะ”
“คงต้องค่อยๆ แก้กันไปทีละจุด” กมลเอ่ยอ้อมๆ ในใจนั้นมีแผนอยู่แล้วว่าจะเริ่มแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากจุดไหน แต่ทุกคนต้องช่วยกันโดยเฉพาะสายฝนและทัดดาวที่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเกิดปัญหา
“มีอะไรให้ปัดช่วยก็บอกนะคะ” ผู้เป็นบิดาได้แค่พยักหน้ารับคำเท่านั้น นับดาวรู้ว่าตอนนี้บิดากำลังเครียดอย่างหนัก สิ่งที่เธอทำได้คือการเอาใจช่วยเท่านั้น
แต่ทางออกของกมลกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อยื่นเรื่องกู้แบงก์แต่กลับไม่ผ่าน นั่นทำให้ต้องหันหน้ามาหยิบยืมเงินจากเพื่อนที่รู้จักกันมาหลายปี เมื่อมีเงินมาหมุนทุกอย่างก็ดูเหมือนจะราบรื่นขึ้นแต่ก็เพียงแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น เพราะยิ่งหมุน เงินก็ยิ่งหายและยิ่งเป็นหนี้มากยิ่งขึ้น จากหลักล้านก็เป็นหลักสิบๆ ล้าน กมลไร้ทางออก ทำให้มีอาการนอนไม่หลับ ท่านอนที่เห็นจนชินตาคือท่ายกมือขึ้นก่ายหน้าผาก หน้าตานั้นอิดโรย หมองคล้ำลงไปถนัดตา แต่ภรรยาผู้เป็นคู่ชีวิตกลับไม่สังเกตเห็นความผิดปกตินี้เพียงนิด
กมลปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้สายฝนและทัดดาวรับรู้ นั่นเพราะไม่อยากให้คนที่รักทั้งคู่ต้องมาเป็นกังวลไปด้วย ได้แต่พูดอ้อมๆ ว่าขอให้ทั้งคู่ใช้จ่ายอย่างประหยัด แต่แทนที่จะเชื่อและทำตามทั้งคู่กลับไม่พอใจเสียยกใหญ่ที่ถูกห้ามแบบนี้ สองแม่ลูกยังคงใช้เงินเป็นเบี้ย จับจ่ายใช้สอยจนเกินตัว ไม่รับรู้ปัญหาอะไรทั้งนั้น แต่แล้ววันหนึ่งเพื่อนที่ให้กมลหยิบยืมเงินมาหมุนก็มาขอพบ
“นั่งก่อนสิราเมส”
“ขอบใจ” ราเมสเอ่ยรับ เหตุผลที่เขามาหากมลวันนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินที่ถูกหยิบยืมไป หากแต่เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ราเมสนั่งคิดนอนคิดมาหลายวัน ก่อนจะตัดสินใจว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำนี้ถูกต้องแล้ว
