3.สิ้นสุดการรอคอย
*** ทักทายคร้า ***
หลังจากกินข้าวพูดพร้อมคุยกันเรื่องทั่วไปและเรื่องพิมพ์มาดาแล้ว อัลฟาร์จา อิศรา และมิรันตรีก็พากันไปที่ห้องทำงาน เพื่อปรึกษากันเรื่องการเปิดตลาดอัญมณีที่รัฐอัจมาร์ดีน
“รันเตรียมตัวพร้อมแล้วใช่ไหม”
“ค่ะท่านพ่อ ข้อมูลและรายละเอียดรันแนบไว้ให้ท่านพ่อกับพี่อิลแล้ว” มิรันตรีตอบบิดา พลางเปิดเอกสารเกี่ยวกับรายละเอียดของเครื่องประดับที่จะนำไปเสนอให้ชีคมาริคตัดสินใจ
“การออกแบบจะเน้นความเป็นเอกลักษณ์ของรัฐมากที่สุด และเพชรทุกเม็ดจะผ่านการคัดเลือกและเจียระไนอย่างประณีต เพื่อเปิดกลุ่มผู้ซื้อระดับสูงค่ะ” มิรันตรียื่นแบบเครื่องประดับให้บิดา
“ออกแบบสวยมากลูก พ่อเชื่อว่าเพชรของชวาลาไม่เป็นสองรองใคร” อัลฟาร์จาเอ่ยให้กำลังบุตรสาว ก่อนจะมองหน้าลูกทั้งสองอย่างภาคภูมิใจที่ไม่เคยทำให้ผู้เป็นพ่อแม่เสียใจสักครั้ง
“เส้นทางที่ผ่าน รันต้องระวังตัวให้ดีนะ อย่าประมาทเป็นอันขาด อัจมาร์ดีนมีทรัพยากรล้ำค่ามากมาย คนหลายกลุ่มอยากครอบครอง” อัลฟาร์จาเอ่ยกับบุตรสาวอย่างห่วงใย มิรันตรียิ้ม ขยับเข้าไปนั่งลงข้างกายสูง กอดเอวหนาของบิดาอย่างประจบ มือใหญ่ยกขึ้นโอบร่างบอบบางอย่างรักใคร่
“ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ รันจะระวังตัว”
“มีอะไรโทรมาด่วนเลยนะรัน พี่จะรีบไป”
“ขอบคุณค่ะพี่ชาย ดูสิคะท่านพ่อ พี่อิลเห็นรันเป็นเด็กอยู่เรื่อยเลย รันจะพยายามดึงตลาดที่นั่นมาให้ได้ เพราะกำลังซื้อของชาวเมืองที่นั่นมากพอที่จะทำให้เรามีรายได้เพิ่มขึ้น”
อิศรายิ้มกับท่าทางของน้องสาว หัวใจของคนเป็นพี่กังวลอยู่ไม่น้อยกับการเดินทางในครั้งนี้ ใจอดคิดถึงผู้ชายอีกคนไม่ได้ หลายเดือนก่อนแสดงออกมาว่าพอใจในตัวน้องสาวของเขาแต่แล้วก็เงียบหายไป มีเพียงลูกน้องคนสนิทติดต่อประสานงานกับทางชวาลาเกี่ยวกับโครงการต่างๆ เขาหวังว่าชีคมาริคคงรู้เรื่องที่น้องสาวของเขาจะเดินทางไปประชุมที่อัจมาร์ดีนด้วยรถยนต์ หากน้องสาวเขาเป็นอะไรไปแม้แต่ปลายก้อย รับรองว่าชีคมาริคได้เจอเขาแน่นอน
การเดินทางไปอัจมาร์ดีนของมิรันตรีในวันที่สาม รถคาดิลแลคสมรรถนะสูงที่ใช้ในทะเลทรายวิ่งมาถึงเมืองเดบาลูซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ติดกับเขตแดนของอัจมาร์ดีน หญิงสาวแจ้งความจำนงกับเบนนิชว่าจะหยุดดูความเป็นอยู่ของชาวเมืองที่นี่สักพัก เบนนิชจึงสั่งให้หยุดพักที่โอเอซิสนอกเมือง
“เราจะหยุดพักที่นี่จนกว่าท่านหญิงจะกลับมา” เบนนิชสั่งทหารที่ยืนอารักขาอยู่ใกล้ๆ และองครักษ์อีกหกคนรวมทั้งเบนนิชแต่งตัวเหมือนชาวบ้านด้วยชุดพื้นเมืองสีดำเพื่อตามอารักขามิรันตรีอยู่ห่างๆ
“เราพร้อมแล้ว” หญิงสาวในชุดคาฟตานสีเข้ม ผมยาวสลวยถูกม้วนซ่อนไว้ในผ้าโพกศีรษะสีเข้ม ใบหน้าหวานโดดเด่นน่ามอง เบนนิชมองท่านหญิงซึ่งบัดนี้กลายร่างเป็นหนุ่มน้อยท่าทางทะมัดทะแมง
มิรันตรีเดินเข้าไปในตลาดที่แออัดไปด้วยพ่อค้าแม่ค้า แผงขายผักผลไม้หลากหลายอย่างรวมไปถึงงานฝีมือของกลุ่มสตรีวางขายให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปมา มิรันตรียิ้มออกมาอย่างสุขใจเมื่อเห็นสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุขของชาวเมือง ร่างโปร่งบางหันกลับไปมองด้านหลัง เห็นเบนนิชและองครักษ์เดินกระจัดกระจายปะปนกับชาวเมืองอยู่ไม่ไกล เท้าเล็กก้าวไปตามถนนสายตามองสำรวจไปทั่วบริเวณอย่างเพลิดเพลิน เสียงกรีดร้องที่ดังอยู่เบื้องหลังพร้อมกับเสียงฝีเท้าของม้าที่หลุดออกมาจากฝูงวิ่งฝ่าผู้คนตรงมาที่เธอ
“เฮ้ย!/ว้าย!” ผู้คนต่างวิ่งหนีอย่างอลหม่าน มิรันตรีมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตกใจ ใบหน้างามชะเง้อมองหาเบนนิชและองครักษ์ที่ตามอารักขา ส่วนเบนนิชพยายามจะฝ่าผู้คนเข้าไปช่วยหญิงสาว เหลือไม่ถึงห้าสิบเมตรม้าอาหรับตัวใหญ่ก็จะวิ่งเข้าชนร่างบอบบางที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ใบหน้าสวยซีดเผือดด้วยความตกใจ
ก่อนที่ม้าจะวิ่งเข้าปะทะร่างหญิงสาว ก็มีมือใหญ่ดึงเธอหลบเข้าไปในซอกตึกด้านข้างเสียก่อน หญิงสาวสะบัดแขนเต็มแรง มองร่างสูงใหญ่ใบหน้าคลุมด้วยผ้าเคฟฟีเยห์สีเข้ม มิรันตรีได้ยินเสียงของเบนนิชตะโกนดังลั่น ใบหน้างามหันกลับไปมอง เห็นเบนนิชวิ่งเข้าหาม้าตัวใหญ่
“หลบไป!” เบนนิชตะโกนบอก วิ่งเข้าไปจับบังเหียนไว้แล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าอย่างรวดเร็ว องครักษ์หนุ่มดึงเชือกบังคับให้ม้าวิ่งไปอีกทาง
ทางด้านมิรันตรีกำลังต่อสู้อยู่กับชายอาหรับร่างสูงที่ดึงเธอหลบมา มือบางจับข้อมือแข็งราวปลอกเหล็กออกแล้วบิดไขว้ไปด้านหลังแล้วเตะไปที่ท้องเต็มแรง ร่างสูงใหญ่ทรุดลงไปกับพื้น หญิงสาวได้โอกาสเตรียมจะเตะซ้ำ หากเสียงตะโกนของชายแปลกหน้าก็ดังขึ้น
“จับเธอ”
มิรันตรีหันไปทางต้นเสียง ชายอีกสองคนวิ่งเข้าใส่ แต่เธอเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว
“พวกแกเป็นใคร” มิรันตรีถามเสียงเข้ม ยืนในท่าตั้งรับเต็มที่ มันสองคนไม่ยอมตอบคำถาม แสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว
“ชีคมาริคต้องการพบท่านหญิง ไปกับเราดีๆ ดีกว่า พวกเราไม่อยากทำรุนแรง” ร่างสูงใหญ่ที่ล้มไปตอนแรกตอบพลางลุกขึ้นมองเธอด้วยแววตาน่ากลัว
“ชีคมาริคเหรอ ถ้าต้องการพบเราทำไมต้องใช้วิธีสกปรกแบบนี้” คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินชื่อคนที่อยู่ในหัวใจมานาน ดวงตากลมโตมองไปรอบๆ อย่างประเมินสถานการณ์
พวกมันวิ่งจู่โจมเข้าหาเธอพร้อมกันทันที มิรันตรีต่อสู้อยู่ไม่นานก็ถูกหมัดต่อยเข้าที่หน้าท้องทรุดลงไป หนึ่งในสามเดินเข้าไปหาแล้วจุดกำยานยาสลบใส่เธอ ไม่นานร่างบอบบางก็โงนเงนไปมา ก่อนสติจะดับวูบลงไป มิรันตรีก็เห็นรถคาดิลแลคสีดำวิ่งมาจอด พร้อมกับคนที่เธอเฝ้ารอก้าวลงมา หญิงสาวพยายามปรือตาที่หนักอึ้งขึ้นมอง
“มาริค...” ริมฝีปากอิ่มพึมพำเรียกชื่อเขาเบาๆ ก่อนสติจะดับลงไป และเธอไม่มีโอกาสรับรู้ว่าคนที่กล้าแตะต้องเธอได้พบเจออะไรบ้าง
โอเอซิสใกล้ๆ อาณาเขตของเผ่าปาซา กระโจมหลังใหญ่สีขาวตั้งอยู่ มีเวรยามคุ้มกันอย่างแน่นหนาในช่วงกลางคืน แสงดวงจันทร์สีเหลืองอร่ามส่องกระทบพื้นทรายเป็นประกาย อุณหภูมิในช่วงกลางคืนลดต่ำลง ร่างบอบบางที่นอนอยู่บนเตียงขยับตัว ดวงตากลมของมิรันตรีค่อยๆ ลืมขึ้น สมองเริ่มประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มิรันตรีมองไปรอบกระโจม แสงสว่างจากดวงจันทร์ส่องสว่างพอให้เห็นสิ่งรอบๆ ตัวได้อย่างชัดเจน เสียงฝีเท้าเดินมาหยุดด้านหน้าประตูทางเข้าพร้อมกับม่านถูกเปิดออก หญิงสาวจึงหลับตาลงทันที
พึ่บ
ร่างสูงสง่าของชีคมาริคเดินเข้ามายืนชิดขอบเตียง ก่อนจะทรุดนั่งลงเงียบๆ สายตาคมมองใบหน้านวลเนียนอย่างคิดถึง ปลายนิ้วแกร่งไล้ไปตามดวงหน้า หญิงสาวหัวใจเต้นระรัว ใบหน้าคมก้มลงไปจูบริมฝีปากอิ่มแผ่วเบา
“ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน ท่านหญิงรัน” เขากระซิบบอกชิดใบหูเล็ก
****
