บท
ตั้งค่า

บทที่ ๔ ชีวิตลูกสะใภ้

“จับจีบเข้าด้วยกันแบบนี้สิ...ไม่ใช่ จีบให้สวยกว่านั้น” หญิงชราในมาดคุณครูฝ่ายปกครอง ขยับแว่นสายตาที่ระโยงด้วยสร้อยคล้องสีทองให้เข้าที่ ก่อนเอื้อมไปตีมือลูกศิษย์ที่ตอนนี้จีบใบชะพลูจนหักยับไปหมด

“ก็บอกแล้วว่าห้ามพับจนเป็นรอยให้ห่อม้วนจีบ” น้ำเสียงเด็ดขาดผสานมากับความระอาระคนเบื่อหน่าย...ในความสอนยากสอนเย็นของลูกศิษย์ที่ไม่เต็มใจจะเรียนนี้

“โถ คุณครูขา...ก็แค่จะทำยำใบชะพลูทำไมจะต้องมาจับจีบอะไรให้วุ่นวายด้วยละคะ”

“วุ่นวายรึ นี่เห็นว่าศิลปะแห่งอาหารเป็นเรื่องวุ่นวายงั้นรึ”

“โอ้ย...” แล้วก้ามปูจากมือเหี่ยวก็บิดเข้าที่แขนเนียนขาวจนแดงเป็นปื้นชัด คุณครูนวลอนงค์ผู้สอนมารยาทเด็กสาวมานับไม่ถ้วนในแวดวงลูกผู้ดี รู้สึกหนักใจที่สุด...กับการต้องมาสอนมารยาทให้กับลูกสะใภ้บ้านหลังใหญ่ของคุณหญิงสายสมร กับพันอากาศเอกนายแพทย์ฤๅฤทธิ์ โอสถเสนา

“เจ็บนะคะครู”

“เจ็บแล้วให้จำ ตั้งใจทำไป...ถ้าวันนี้จีบชะพลูไม่ผ่าน ไม่ต้องทานข้าว!”

“เป็นยังไงบ้างพี่นวลอนงค์หนูพิลาเรศฝึกไปถึงไหนแล้ว” คุณหมอใจดีผู้เป็นเจ้าบ้านเอ่ยถามด้วยความห่วงใย...ทั้งบุตรสะใภ้และครูผู้สอน

“หึ สอนยากสอนเย็น...จะสอนให้เป็นไปทำไมฮึพ่อฤทธิ์ ฉันไม่เคยสอนใครได้ยากเย็นเพียงนี้มาก่อน ปวดสมองไปหมด”

“ก็สอนในสิ่งที่คนไม่ได้สนใจและถนัด ก็ต้องยากแบบนี้แหละค่ะ ถ้าครูให้หนูลองสอนคุณครูเต้นลำซิ่งบ้าง...คุณครูก็ทำไม่ได้หรอกค่ะ คงจะสอนยากสอนเย็นเหมือนกัน” แล้วคนนั่งพับเพียบจนตะคริวเริ่มจะกินเท้า ก็ว่าพร้อมยิ้มแป้นส่งให้แบบไม่รู้สึกผิดอะไร จนฤๅฤทธิ์ส่ายหน้าให้อย่างไม่ถือสา

“หืม ดูสิดูพูดเข้าสิ...พูดมาได้ ใครจะไปชอบเต้นแร้งเต้นกาแบบเธอ ตาเถรจะเป็นลม” ว่าพร้อมโบกพัดลายกนกไทยในมือไปมา

“ดูสิคุณพี่ ให้ท้ายเสียจนลามปามครูบาอาจารย์ใหญ่แล้ว” น้ำเสียงทรงพลังตามกระบังลมที่ตีขึ้น ของคนสวมชุดไหมสีน้ำตาลเข้มรับกับสีลิปสติก เดินเข้ามายังบริเวณที่มีการฝึกสอน...หากแต่กลับเชิดใบหน้าขึ้นราวกับไม่อยากจะเห็นหน้าใครบางคน

“ให้ท้ายอะไรกันคุณ ลูกก็แค่ออกความคิดเห็น...เด็กสมัยนี้เขามีความคิดเป็นของตัวเองก็มีสิทธิที่จะพูดสิ่งที่คิดได้ ไม่เหมือนฤๅชัชลูกเรานะ ที่เชื่อฟังพ่อแม่ทุกอย่างจนน่าชื่นใจ” นอกจากจะเห็นใจลูกสะใภ้แล้ว ก็ยังแอบชื่นชมไปด้วย...ดูเหมือนว่าคนที่จะมีความสุขมากที่สุดตอนนี้คือนายแพทย์หนุ่มวัยปลดเกษียณนี้เพียงผู้เดียว

“ค่ะ ลูกเราเชื่อฟังพ่อจนต้องมามีด่างพร้อยดวงใหญ่ในชีวิตอย่างแม่นี่ไง” คนถูกพาดพิงทำตาโตแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ

“หนูไม่ใช่สีหมึกเสียหน่อยนี่คะ...ถึงจะได้ไปเป็นรอยดวงใหญ่ให้ใครเขาได้” หน้าแป้นแล้นกล่าวด้วยรอยยิ้มหยีกว้างตาปิด อย่างน่าหมั่นไส้สำหรับคุณหญิงผู้เกลียดชังอยู่เป็นทุน หากแต่สามีของเธอกลับหัวเราะชอบใจอย่างไม่ถือสา

“หึ หล่อนมันก็ไม่ต่างจากสีหมึกหรอก...ได้แปดเปื้อนใครแล้ว ซักออกยาก ซักออกให้หมดไปก็ไม่ได้อีก!”

“แต่ก็น่าแปลกนะคะ ก็รู้ทั้งรู้ว่าซักออกไม่ได้...เหตุไฉนถึงพยายามซักอยู่นั่น ไม่เบื่อบ้างหรือ?”

“พอๆ กันทั้งคู่นั่นแหละน่า...ไหนจีบถึงไหนแล้ว จะได้ยำไหมใบชะพลูของฉัน?” แล้วกรรมการของมวยต่างรุ่นก็ยื่นมือเข้าขัดขวางการแลกหมัดแบบดุเดือดนี้ พร้อมขยับแว่นให้เข้าที่เพื่อตรวจจีบใบชะพลูของลูกศิษย์ต่อ

“โอ๊ย...ครูขาบิดหนูอีกทำไมคะ?”

“ก็ดูสิ ฉันบอกว่าอย่าพับอย่าพับ หล่อนเล่นพับจนใบแตกหมดเลย!”

“โอ๊ย! ครูบิดหนูอีกเรื่องอะไรคะเนี่ย?”

“ฉันจะบิดหล่อนตามจำนวนใบชะพลู”

“หา? โอ๊ยๆๆ”

“ดูสิคุณลูกสะใภ้ของคุณ จะเป็นผู้เป็นคนกับคนอื่นขึ้นได้บ้างไหม?” ตาเขียวปัดที่ยังไม่ซาลง หันมาโทษสามีผู้ไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าหนังสือพิมพ์ที่ยกมาบังหน้า

“หื้อ คุณก็...ให้เวลาลูกหน่อย เขาไม่ได้เกิดและโตในรั้วในวังของหม่อมเหมือนคุณนี่นา จะให้เก่งกาจได้เร็วไวได้อย่างไรล่ะฮึ”

“ค่ะ!!” แล้วกระบังหน้าก็หันชี้ออกไปคนละทิศกับสามีทันที

“มียำใบชะพลูแล้ว ก็ต้องมีขนมหวานเคียงเพื่อตัดรส” พิลาเรศยืนหาวมองท่าทีคล่องแคล่วของคนสวมเสื้อแขนยาวมิดชิด กับผ้าถุงลายไทยสีเรียบยาวจนกรอมเท้าด้วยความอึดอัดแทน ก่อนก้มลงมองผ้าถุงป้ายที่ถูกเอามาห่อพันเรียวขาที่โผล่พ้นกางเกงยีนส์ขาสั้นแบบหมิ่นเหม่ ด้วยความรู้สึกอึดอัดไม่ต่าง

“มัวยืนมองอะไรอยู่ล่ะ...มาสิ มาเตรียมของทำของหวาน” ลูกศิษย์ผู้เชื่อฟังรีบกุลีกุจอย่อตัวจับมือเข้าด้วยกันค้อมเดินวนเข้าไปหาแบบช้าเชื่อง

“กวนฉันหรือ?”

“ก็คุณครูบอกเองนี่คะ ว่าจะลุกจะเดินจะเหินจะเหาะ...ก็ให้ทำอ่อนช้อยเรียบร้อย ไม่ให้ปรู๊ดปร๊าดสะวี๊ดสะว๊าย” ว่าแล้วก็สาธิตท่าปรู๊ดปร๊าดให้ดูด้วย จนฝ่ามือเหี่ยวย่นที่มีแหวนเพชรเรียงร้อยจวนจะครบทุกนิ้ว รีบชะงักมือโบกห้าม...พร้อมสะกดกั้นอารมณ์ที่พร้อมจะปะทุให้สงบลง

“เอาแป้งไปร่อน ฉันจะทำบัวลอยไข่หวาน” น้ำเสียงเฉียบขาดนิ่ง ยกชามแป้งมาวางให้ตรงหน้า คนย่อตัวก้มลงแทบจะกราบรับคำทันที

“ร่อนให้ดี เอาให้เหนียวหนึบ...มิเช่นนั้นไม่ต้องรับประทานอาหารเที่ยง”

“แหม...ก็ไม่ได้เห็นแก่กินอะไรขนาดนั้น” คนแอบบ่น...มุบมิบอยู่กับริมฝีปาก เพื่อไม่ให้คนที่จัดแจงส่วนประกอบของบัวลอยต่ออย่างคล่องแคล่วได้ยินสิ่งที่เธอพูด

“ได้ยิน!จะร่อนดีดี หรือจะร่อนด้วย...”

“ระร่อน ด้วยตะแกรงค่ะ...ขอร่อนด้วยตะแกรงดีกว่าค่ะ” ว่าแล้วลากชามแป้งถอยกรูดหลบจากก้ามปูเหี่ยว ที่กำลังเบ่งพร้อมที่จะหนีบเข้าให้อีกหน...ผิวขาวๆของเธอช้ำจนไม่เหลือพื้นที่ให้บิดอีกต่อไปแล้ว

“ตาเถร! ทำอะไรของเธอ...น่าเกลียดมาก” คุณครูสอนมารยาทอันดับหนึ่งของเมืองไทย แทบจะลมจับ...เมื่อชามแป้งที่เพิ่งสั่งให้เอาไปร่อน วางอยู่บนศีรษะของลูกศิษย์จอมดื้อ...

พร้อมเจ้าตัวก็กำลังออกลวดลายการร่อนแบบสนุกสนาน หากแต่การร่อนนั้นไม่ใช่การร่อนแป้ง...แต่เป็นการร่อนเอวเจ้าหล่อนแบบพลิ้วไหวอยู่ต่างหาก

“ก็...ร่อนแป้งไงคะ แหมถ้าได้จังหวะสามช่าเข้ามาด้วยเนี่ย คงจะดี๊ดีกว่านี้ค่ะ”

“โอ๊ย ฉันจะเป็นลม...เอาแป้งลงมาเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวจะหกเลอะเทอะกันไปหมด” คนฝึกฝนการเอานู่นนี่นั่นวางศีรษะเล่น...รีบเอาชามแป้งลงมา ทั้งๆที่รู้ดีว่าไม่มีวันหล่นแน่...หากแต่ก็ไม่อยากจะให้ครูผู้ฝึกสอน ต้องเป็นลมไปจริงๆอย่างที่ปากว่า

“คุณครูลองสาธิตการร่อนให้หนูดูก่อนได้ไหมคะ พอดีว่า...หนูเข้าใจผิดว่ามันร่อนแบบนี้มาตลอดเลยน่ะค่ะ”

“หึ แม่คุณ...เสน่ห์ปลายจวักเนี่ย ให้มันมีเอาไว้ซะบ้าง ผัวจะได้รักจะได้หลง มาเอานี่จะร่อนให้ดู” เธอยื่นให้แบบหน้าชื่นตาบาน

“ขอบพระคุณค่ะครู” ก่อนก้มลงไห้แทบจะถึงพื้นแบบย่อสุด เชิงประชดประชัน

“นี่...ร่อนแบบนี้ ช้าๆแต่หนักมือหน่อย ต่ำนิดจะได้ไม่ฟุ้ง” ผู้ที่เหมือนจะตั้งใจเรียนรู้ หรี่ตามองคนสอนเพียงนิด...แต่ไม่ได้หันมองการสาธิตนั้นอย่างจริงจังเท่าไหร่

“ครูขา แต่หนูว่า...เอวครูแข็งไปนิดนะคะ ไม่ค่อยพลิ้วเลยอ่ะค่ะ น่าจะร่อนไม่ถูกเท่าไหร่” เธอว่าพร้อมจับหมับเข้าที่เอวของคนที่ไร้การถูกแตะต้องจากบุคคลอื่นมาตลอดชีวิตของสาวโสด

“ตาเถร! ทำบ้าอะไรของหล่อนฮึ!”

“ก็...ฝึกให้เอวอ่อนๆไงคะ เพราะดูเหมือนว่าครูขาเนี่ย...ร่อนไม่ได้ถูกวิธีสักเท่าไหร่น่ะค่ะ”

“พิลาเรศ!”

แล้วคนก่อเรื่องเมื่อสักครู่...ก็มานั่งพับเพียบก้มหน้าอยู่ในวงล้อมของสายตาอำมหิตจากคุณหญิงสายสมรและคุณครูนวลอนงค์ทันทีที่ก่อเรื่องสดๆร้อนๆ

“ฉันจะอบรมเจ้าหล่อนยังไงดี ช่วยฉันคิดทีสิแม่สาย ดู๊ดู...ฝึกมาร่วมหลายเดือน เหมือนฝึกเด็กใหม่ทุกวัน...ไม่ได้เรื่องได้ราวแถมยังสร้างแต่เรื่องแต่ราว”

“เหอะ ก็แน่นอนอยู่แล้วล่ะค่ะคุณพี่...ฝึกไม่ได้แน่นอนค่ะอิฉันเอาหัวเป็นประกัน”

“เอาหัวเป็นประกันขนาดนั้น...ทำเอาหนูไม่กล้าเก่งมารยาทงานแม่ศรีเรือนขึ้นมาเลยค่ะ กลัวคุณแม่จะไม่มีหัวเหลือ”

“ใครใช้ให้หล่อนออกเสียง หุบปากไปเสีย...ไร้มารยาทที่สุด” คนถูกเอ็ดก็รีบเอามือปิดปากสองข้างทันที หากแต่คนเอ็ดก็ได้แต่ถอดถอนใจในความล้มเหลวแห่งการถ่ายทอดวิชานี้

“ฉันจะฟ้องตาลือ...ว่าหล่อนมันมารยาทต่ำทรามแค่ไหน!” คนโกรธจัดจนหน้าแดงกำมือแน่นส่งเสียงดังเข้าว่า

“คุณครูขา...พฤติกรรมแบบนี้ เรียกว่ามีมารยาทไหมคะ?” แล้วคนลอยหน้าลอยตาก็ถามขึ้นมา จนผู้เป็นครูต้องควันแทบจะออกหูตาม

“พิลาเรศ!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel