บทที่ ๓ ชีวิตหัวหน้าวง /2
“มา....เถิดเย้อ...มาเย่อ ขวัญ...เอย... มาเย่อขวัญเอย...” กังวานก้องจากเสียงนักร้องนำแห่งวง ‘พริกร้อยเม็ดว่าเผ็ดแล้ว’ นำออกไปด้วยน้ำเสียงสดไร้ดนตรี ความทรงพลังแห่งน้ำเสียงเอื้อนอ่อนช้อย...หากแต่ทว่าหนักแน่นในน้ำคำ เรียกเสียงปรบมือดังลั่นพร้อมชะเง้อมองหา (ขอบคุณเนื้อร้องจากเพลง : บายศรีสู่ขวัญ)
“อือ...อื่ออื้ออือ...” เสียงครวญทำนองเอื้อนเป็นดนตรีจังหวะ ก็ดังคลอขึ้นแบบสดๆจากผู้ที่ไม่มีใครมองเห็น...ราวกับออกมาจากเครื่องดนตรีไทยสักเครื่อง สองนางรำเอวบางในชุดแดนเซอร์แวบวับที่ถูกทับด้วยชุดนางรำรีบด่วนแบบลงตัว...ก็ ชดช้อยเอียงซ้ายออกไปในท่ารำวงมาตรฐาน ความลงตัวนั้นทำเอาเสียงโห่ชื่นชมดังลั่น
“หมู่...ชาวเมืองมา... เบื้องขวานั่งส่ายหล่าย เบื้องซ้ายนั่งเป็นแถว...” เสียงเอื้อนช้าคลอตามจังหวะเสียงครวญดนตรีที่แผ่วลงหากแต่ลงตัวจนคนฟังพากันขนลุกในพลังน้ำเสียงร้องและเอื้อนจากคนสองคน แบบที่ไม่เคยฟังที่ไหนมาก่อน
“ยอพาขวัญไม้จันท์เพริดแพร้ว ขวัญมาแล้ว มาสู่คิงกลม...” โพนี่และพลุแตก ย่อกายลงกึ่งนั่งพร้อมเชิญพาขวัญขึ้นฟ้า...ก่อนเอนกายลงราบไปคนละฝั่ง ความอ่อนตัวของนางรำเก่าทำหน้าที่ได้ไม่ขาดตกบกพร่องจนคุณอาทิตย์ปรบมืออย่างชอบใจ
“ยามฝนพรำเจ้าอย่าแข่ง...แดดร้อนแรงเจ้าอย่าคลา อยู่ที่ไหนจงมา...รัดด้ายไชยยา มาคล้องผ้าแพรกระเจา” เสียงคลอเอื้อนดนตรีหายไป นักร้องเอื้อนใส่กังวานทรงพลังจนคนต้องหลับตาฟัง สองนางรำก็วาดลวดลายตามจังหวะยักย้ายเป็นจังหวะเพริดพลิ้ว
“ตื่อตาดือ...ตื้อตื่อ ตื๊ดตือตื้อตือ...” แล้วเสียงครวญรัวจังหวะดนตรีก็ดังมาแทนที่ ด้วยจังหวะหนักแน่นราวกับเป็นเครื่องดนตรีมาเอง...ผู้คนแห่ปรบมือทึ่งในความสามารถ จีบนิ้วกรีดกรายของผู้ที่สวมสไบเขย่งปลายเท้ารำสวนกันไปมา ยิ้มหวานกว้าง...โปรยเสน่ห์ พร้อมกับซอยเท้าให้เข้าจังหวะเสียงดนตรีที่ทำขึ้นจากหัวหน้าวง
“อย่าเพลินเผลอ...”
“ตื่อดือตื้อดือ...”
“มาเยอขวัญเอย...มาเย่อขวัญเอย” ดนตรีครวญอุ่นละมุนคลอเข้าไป อย่างรู้จังหวะต่ำสูงของคีย์ที่ถูกฝึกซ้อมให้เข้ากันมาจนชำนาญ
“หมอกน้ำค้างพร่างพรม ขวัญอย่าเพลินชม...ป่าเขาลำเนาไพร...”
“คุณไปหาวงนี้ไปจากไหนครับคุณหญิง ผมประทับใจมาก” อาทิตย์เอ่ยขึ้นหลังจากที่การแสดงได้จบสิ้นลง ซึ่งไม่ใช่แค่เจ้าของวันเกิดที่ประทับใจ หากแต่เป็นผู้คนทั้งงานต่างหาก
“โอ้โห...สุดยอดมาก ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยได้ยินใครฮัมดนตรีได้ไพเราะเหมือนกับว่ากำลังเล่นดนตรีอยู่สักเครื่องหนึ่งให้เราฟังมาก่อนเลยนะครับ” พิธีกรหนุ่มเดินออกมาชื่นชมพร้อมกับมองหาที่มาของเสียดนตรีละมุนคลอเคล้าอย่างน่าอัศจรรย์นั้น
“และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ...เมื่อได้ผสานกับเสียงกังวานไพเราะไม่แพ้กันนี่แบบว่า ลงตัวจน...ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นน้ำเสียงของคนสองคนที่เข้ากันได้ดีเป็นอย่างมาก ขออนุญาตสัมภาษณ์นักร้องนำของเราก่อน” พิธีกรสาวแทบจะยื่นไมค์อีกอันไปจ่อปากนักร้องสาว ที่ตอนนี้ยืนน้ำตาคลออยู่...ตามประสาคนเจ้าน้ำตา
“ก็เอาตรงๆก็คือ...ไม่เคยแสดงแบบนี้ที่ไหนมาก่อนเลยค่ะ รู้สึกดีใจที่ทุกคนประทับใจ โดยเฉพาะท่านอาทิตย์นะคะ สุขสันต์วันเกิดค่ะท่าน” นักร้องนำย่อตัวลงไหว้แทบที่จะก้มลงกราบตามแบบฉบับนักร้องขวัญใจพ่อยกแม่ยกทั้งหลาย ซึ่งคนยิ้มถูกอกถูกใจตามประสาคนแก่ใจดี...ก็พยักหน้าให้แบบขอบใจ
“ไม่เคยแสดงที่ไหนมาก่อน...แต่แบบแสดงได้ลงตัวแล้วก็กลมกลืนมากที่สุด จนนึกว่าซ้อมมาอย่างหนักหน่วง ประหลาดใจมากแถมประทับใจมากด้วย” พิธีกรสาวผู้อึ้งไม่มีที่สิ้นสุด ว่าพร้อมยื่นมือออกไปขอจับ...จนคนหัวเราะกันทั้งงาน
“จริงๆแล้วการแสดงนี้ ฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดีสม่ำเสมอ...เพื่อเอาไว้ใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งหัวหน้าของพวกเราถือว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสำคัญพอๆกับการแก้ผ้า
คือเขาถือคติที่ว่า...แก้ผ้าได้ ก็ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ คนทั่วไปอาจจะมองว่าอาชีพอย่างพวกเรานุ่งน้อยห่มน้อยอยู่เป็นนิจ ฉะนั้นปัญหาสำหรับพวกเราก็ต้องน้อยนิดไปด้วยค่ะ” ไม่อยากจะเชื่อว่า..ทัศนคติของวงที่มีผู้หญิงเซ็กซี่ขนาดนี้ จะทำเอาคนอึ้งทั้งงานพร้อมปรบมือให้
“หมายความว่า...เกิดปัญหาขึ้นในการแสดงอย่างนั้นเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ ต้องกราบขออภัยที่ทางฝ่ายเครื่องเสียงของพวกเราเกิดขัดข้อง แต่เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินการไปได้...หัวหน้าของพวกเรา ก็ได้ควักวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่หมั่นซ้อมเอาไว้มาเสมอ เอาออกมาใช้...ซึ่งพอมันใช้ได้จริง
ตัวเพลินเองก็เลยรู้สึกอยากจะร้องไห้ มันประทับใจมากๆเหมือนกันไม่ต่างค่ะ” คำตอบของนักร้องสาวทำเอาคนทั้งงานซาบซึ้งไปด้วย ยกเว้นคนถือไมค์อยู่หลังเวทีที่ส่ายหัวให้ในความเยิ่นเย้อและนางเอกที่สุดในโลกของลูกน้องตน
“ลงมากันสักทีสิ...จะยืนพูดอะไรให้มันมากความเนี่ย”
“ถือว่าต้องขอบคุณอะไรก็ตาม ที่ทำให้เครื่องเสียงในวันนี้มีปัญหา...ทำให้พวกเราได้ค้นพบแนวเพลงใหม่ ที่สุดแสนจะวิเศษ ว่าแต่...คนที่เอื้อนเสียงดนตรีให้ คือหัวหน้าวงของคุณใช่ไหมคะ?” และไม่ทันที่นักร้องสาวจะได้ตอบคำถาม...เสียงดนตรีเพลงรำวงมาตรฐานเพลงหนึ่งก็ดังขึ้น จากฝีมือคนคุมเครื่องเสียงที่แก้ไขปัญหาได้พอดิบพอดี
แล้วนางรำคนที่สี่...ที่รอจังหวะก็ร่ายรำออกไปรับจังหวะนั้น จนพิธีกรคู่ต้องรีบหลบออกไปแบบงงๆ
พิลาเรศออกเสต็ปเท้า...ขยับสะโพกไปทางซ้ายในทำนองขึ้นลงขณะที่ฝ่ามือบรรจงสะบัดตามจังหวะไปด้วย สาวงามทั้งสามยังไม่ทันได้ลงไปจากเวที รีบรำรับเรียงตัวตามในจังหวะเดียวกันทันใด
“เดือนสามนกกาเหว่ามันฮ้อง...” นักร้องนำก็ทำหน้าที่ต่อแบบไม่อาจรอจังหวะใดไปได้ คนชอบใจศิลปะดนตรีภาคพื้นอีสานลุกขึ้นฟ้องรับจนคนเฮลั่นทั้งงาน ที่เจ้าของวันเกิดไม่อาจหักห้ามใจให้ร่วมสนุกได้ (ขอบคุณเนื้อหาและทำนองจากเพลง : รำวงสาวบ้านแต้)
“ขี่ไปจนทุกถิ่นสถาน....ขี่รถสักขะยานไปฉันไหมเธอ” ประโยคนี้...พิลาเรศค่อยๆย่อตัวเหมือนขับจักรยานพร้อมรอยยิ้มเชิญชวน เอนหลังโน้มหน้าเข้าจังหวะ จนคนที่ไม่ลุกขึ้นเต้นต้องปรบมือตามให้
“เสียใจบ้านอยู่ไกลไปหน่อย...กล้วยอ้อยเป็นแต่ป่าสอนลอน” แล้วจังหวะแต้ๆก็ทำให้เธอต้องค่อยๆยืนขึ้นตามจังหวะรำวงนี้ หากแต่ก็ยักย้ายสะโพกผายกลมกลึงขึ้นลงเป็นเชิงเชื้อเชิญให้ผู้คนร่วมเต้นไปกับเธอด้วย
“หึ น่าเกลียด” คุณหญิงสายสมรมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกอับอาย และโมโหที่เล่นงานให้วงเธอล่มไม่เป็นท่าไม่ได้
“หือ ผมเต้นน่าเกลียดไปหรือครับ?” คนที่ลุกขึ้นรำอยู่ข้างๆเอ่ยถามขึ้นอย่างตกใจ
“อ๋อเปล่าๆค่ะ ดิฉันแค่...ขี้เกียจน่ะค่ะ บ่นว่าขี้เกียจเต้น กระดูกกระเดี้ยวไม่ค่อยดีแล้ว” คนรีบแก้ต่างรีบว่าจนลิ้นแทบจะพันกัน ก่อนหันไปสบกับสายตายักคิ้วหลิ่วให้...ของคนที่ยักย้ายส่ายสะโพกต่อ
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!” คนทำอะไรไม่ได้พูดได้เพียงเท่านั้น ก่อนสะบัดเมินหน้าหนี
“นี่มันงานหมอลำ หรืองานนางรำกันแน่...ทำไมได้รำกันจนจบงานเลย” โพนี่บ่นอุบ ถึงแม้ว่าเธอพอจะทำได้...แต่ก็ไม่ได้ชอบการร่ายรำเท่าไหร่นัก
“อย่าบ่นไปหน่อยเลยน่า มีงานให้ทำน่ะดีแค่ไหนแล้ว...โชคดีนะที่พวกเราซ้อมรำกันอยู่ตลอด ไม่อย่างนั้นอาจจะจบเห่ จบไม่สวยก็ได้” พลุแตกว่าปลอบใจเพื่อนพร้อมชี้ให้เห็นปัญหา ก่อนยกขาที่ย่อจนเมื่อยพาดไปกับโซฟาของที่ห้องเช่าของวง
“หิวกันหรือยัง ฉันทำแกงจืดไว้ในหม้อนะ” คนที่เพิ่งจะอาบน้ำล้างหน้าเสร็จ ก็แต่งตัวเตรียมไปข้างนอกต่อ...ว่าอย่างมีความรับผิดชอบกว่าใคร
“เอ้า เพิ่งมาเหนื่อยๆแกจะไปไหนอีกเนี่ยยัยเพลิน?”
“ฉันนัดเสี่ยป้อเอาไว้ เห็นแกบอกว่าจะจ่ายงานใหญ่ให้...ครานี้พวกเราจะได้มีเงินเข้าวงมากหน่อย”
“เห้ย แกก็รู้ว่าไอ้เสี่ยป้อมันหัวงูแค่ไหน...แกก็ยังจะออกไปเจอมันน่ะเหรอ?” โพนี่ผู้เป็นห่วงเพื่อน รีบวิ่งเข้าไปคว้าแขนเพื่อนเอาไว้เชิงห้ามทันที
“ก็มันเลือกไม่ได้นี่หว่า ตอนนี้วงเรางานน้อยแถมแต่ละงานเงินแค่นิดเดียว นี่ขนาดเจ้แกแบบไม่เอากับพวกเราสักบาท...เรายังแทบไม่พอใช้เลยนะเว้ย” คนจิตใจดีแถมคิดมากอย่างเธอ...มองการณ์ไกลมากกว่าใครเสมอ
“ใครบอกล่ะ...ว่าเงินน้อย เห็นเงินก้อนล่าสุดที่เพิ่งไปมายัง?”
“เจ้!!” สามสาวอุทานพร้อมกันเมื่อเห็นร่างในชุดสุดเซ็กซี่ โผล่มาที่หน้าประตู
“คุณอาทิตย์เนี่ยเขาชอบใจโชว์ของพวกเราในวันนี้มากๆ ก็เลยให้ทิ๊ปมาคนละสองหมื่น”
“สองหมื่น!!” อุทานพร้อมกันอีกครั้ง
“ส่วนของเจ้ ขอหักไปช่วยจ่ายค่าอัดฉีดอีพีชให้ทีนะเพลิน แล้วส่วนที่เหลือยกให้เอาไว้บริหารจัดการวง...ส่วนก้อนกองกลางช่วยแบ่งใหเพื่อนๆตามสัดส่วนด้วย”
“ขอบคุณมากนะเจ้ ที่ไม่เคยทอดทิ้งพวกเรา” แล้วคนเจ้าน้ำตาก็โผเข้ากอดจนเธอต้องหลบ อีกสองคนที่ตามมาด้วย
“พอๆกันเลย อย่ามาดราม่าว่ะ...มันไม่ใช่สไตล์ของวงหมอลำพริกร้อยเม็ดว่าเผ็ดแล้วของฉันเลย เช็ดน้ำตา...แล้วไปอ่านหนังสือเตรียมสอบไป แรดได้ เซ็กซี่ได้...ต้องเรียนจบได้ โอเค๊!”
“โอเคค่ะเจ้ คอนเซ็ปต์วงก็มา!!” สามสาวว่าพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง จนเธอต้องกอดตอบพวกน้องๆด้วยความรักใคร่ไม่ต่าง เธอก่อตั้งวงนี้มากับมือ...ถึงจะเป็นแค่วงหมอลำซิ่งโนเนม แต่เธอก็เชื่อมั่นว่าความสุขที่กำลังทำอยู่ มันทำให้เธออยู่ได้จนถึงทุกวันนี้...แม้จะไม่มีเงินมากมายก็เหอะ
