บท
ตั้งค่า

บทที่ ๑๕ ปลอบเมีย

“ซี๊ดส์...” ขยับกายเพียงนิด หากแต่...แปลบไปทั้งร่าง คนอ่อนเพลียเหมือนไปทำงานหักโหมมาอย่างหนัก สัมผัสหน้าผากรุมๆของตัวเองเชิงประเมินสถานการณ์ไข้

“ไงล่ะ...อยากจะเสียตัวจนตัวสั่น เกือบจับสั่นเลยไหม” เธออยากจะขุดหัวตัวเองให้หายปวดร้าว ก่อนค่อยๆลืมตารับแสงตะวันที่ผ่านเข้ามาจนแสบตาไปหมด

‘ทำข้าวต้มไว้ให้ในครัว ไปอุ่นกินได้’ โน๊ตเล็กๆจากสามีโดยสมบูรณ์ทางพฤตินัยเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา นำพาให้อุณหภูมิร่างกายเธอสูงขึ้นไปอีก

“ไหนบอกว่าจะแก้ตัวให้ไง ชิงไปทำงานแบบไม่ยอมส่งการบ้านตอนเช้าอีก” แล้วคนปากเก่งก็ต้องหนีบขาเข้าหาตัวอีกหน

เมื่อขยับแล้วมันช่างแสบนิดๆจนต้องเบ้หน้า!

แล้วข้าวต้มอุ่นๆที่เธอได้ลิ้มรสมันแบบเอร็ดอร่อย ก็อยู่ในชามข้าวหมาของเจ้ากุ๋งกิ๋งด้วย เจ้าหมาแสนรู้ผู้ทำให้เธอหายเหงา ทำเอาเธอรู้สึกดีๆกับมันมากขึ้นทุกวัน แบบไม่รู้สึกตัว

“เอากุ้งหน่อยไหม” คนใจดีตักกุ้งแบ่งให้สุนัขแสนรู้ ที่แลบลิ้นแผล็บ พร้อมกระดิกหางไปมาอย่างดีใจ

“อร่อยล่ะซี้!”

ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด...สายเรียกเข้าส่งสัญญาณสั่นเข้ามาขัดขวางการส่งกุ้งตัวสุดท้ายในชามข้าวต้มหอมๆ ให้ต้องวางลงไปก่อนแบบเสียดาย

“ห้ะ!” คนตกใจทำเอาช้อนหล่นออกจากมือทันใด หมาน้อยมองหน้าเจ้าของแบบฉงน หากแต่คนที่ไม่ได้สติเต็มที่...พลันถลาออกจากบ้านไปทันใด

“เจ้ๆ ใจเย็นๆก่อน” ปลายสายดังมา ขณะที่เธอวิ่งกำโทรศัพท์ออกมาจากบ้าน ไม่สนเจ้าหมาน้อยที่วิ่งตามแบบห่วงใย

“แล้วตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง อยู่ที่ไหนแล้ว” เธอรีบกรอกเสียงตอบ เมื่อโบกมือเรียกแท็กซี่ที่วิ่งผ่านมาหน้าบ้านพอดีได้

“ตอนนี้รถพยาบาลเพิ่งจะมารับไป เจ้ใจเย็นๆก่อนนะ” พลุแตกรีบแจ้ง เพราะรู้ดีว่า...ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน คนที่ผ่านช่วงเวลาการสูญเสียกะทันหันที่เลวร้าย

ยังหวาดผวากับเหตุการณ์พวกนี้อยู่ตลอด!

“แล้วตอนนี้ใครอยู่กับมันบ้าง?”

“ไอ้โพนี่รีบไปดักที่โรงพยาบาลแล้ว ส่วนฉันขอเก็บงานของวงก่อน เดี๋ยวฉันรีบตามไปนะ...เจ้อยู่กับใครตอนนี้” คนเริ่มพยายามรวบรวมสติตัวเอง เหลือบไปเห็นหมาน้อยที่วิ่งสั่นหางมองตามมาจากรั้วบ้าน

รถแท็กซี่ออกตัวแล้ว...เธอจึงตัดสินใจวางสาย พร้อมครุ่นคิดถึงข่าวร้ายที่ไม่คาดคิด

เพลินเพลงเป็นเด็กปั้นที่ได้เรื่องได้ราวที่สุด...แถมยังกตัญญูรู้คุณ เด็กคนนี้อยู่กับวงเธอมาตั้งแต่อายุ 15 จนตอนนี้ปาเข้าไป 20 ปีแล้ว

สำหรับเธอ...เด็กคนนี้ทั้งน่าสงสาร ทั้งน่ายกย่อง เธอมีทั้งยายที่ต้องเลี้ยงดู แถมยังต้องเต้นกินรำกินเพื่อที่จะส่งตัวเองเรียน

ทำไม...ทำไมฟ้าดินต้องใจร้าย ทำให้เธอต้องประสบเคราะห์กรรมโชคร้ายซ้ำซากเช่นนี้!

“ตอนนี้คนไข้ถือว่ายังอยู่ในภาวะวิกฤตนะครับ ร่างกายได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง ตอนนี้พวกเรากำลังช่วยเหลือคนไข้อย่างสุดความสามารถอยู่ครับ” แพทย์หน้าห้องฉุกเฉินอธิบายให้ญาติฟังคร่าวๆ ซึ่งก็คือโพนี่ผู้มาถึงก่อนใคร

เด็กสาวผู้ขี้โวยวายกว่าใครปล่อยโฮออกมาแบบไม่สามารถควบคุมสติ พิลาเรศวิ่งเข้ามาเห็นภาพนั้น...พลันใจก็หล่นวูบ

“ยัยเพลินไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ย! ตอบมาสิคะหมอว่าน้องของฉันปลอดภัย!”

“ตอนนี้ทีมแพทย์กำลังช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถอยู่ครับ” แพทย์อาวุโสพยายามอธิบาย เนื่องจากตอนนี้สภาพของผู้ป่วยที่ถูกรถชน มีกระดูกหักหลายตำแหน่ง...โชคดีที่สมองไม่ได้มีเลือดออก แต่ปอดก็ถูกทิ่มแทงจากซี่โครง...ซึ่งต้องอาศัยแพทย์เฉพาะทางหลายด้านมาร่วมผ่าตัดครั้งนี้

หากแต่ตอนนี้...ญาติผู้ป่วยดูเหมือนจะยังไม่มีใครพร้อมจะรับฟัง

“น้องฉันจะต้องปลอดภัย!” เธอกรีดร้องเหมือนคนจะเสียสติ...ภาพแม่ประสบอุบัติเหตุรถชนวูบเข้ามาในสมอง ทำเอาเธอสั่นเทาไปทั้งตัว

“เจ้ใจเย็นก่อน” โพนี่ผู้เห็นอาการนั้นของเธอ ก็ต้องรีบจับมือพี่สาวไว้ ทั้งๆที่ตัวเองก็ร้องไห้ไม่แพ้กัน

“ปล่อยเจ้ เจ้จะไปหาเพลิน” คนคุมตัวเองไม่ได้...ดิ้นจนหลุดจากวงแขนเล็ก ถลาไปยังหน้าห้องฉุกเฉิน

พลันประตูเลื่อนของห้องฉุกเฉินก็เปิดออกอย่างรีบด่วน จากศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกระดูก ที่มาร่วมประเมินเคสครั้งนี้ด้วย

“ต้องผ่าตัดด่วนครับ” เขาเอ่ยบอกแพทย์รุ่นพี่อาวุโส หากแต่ร่างสั่นเทาของคนที่เหมือนกำลังจะเสียสติ อีกทั้งน้ำตานองหน้า

เหมือนไขสันหลังสั่งเขาให้กระทำการรวดเร็วแบบไม่ต้องไตร่ตรองสิ่งใด

หมับ!

แล้วความอุ่นซ่านจากอ้อมกอดที่เธอไม่คาดฝัน ก็ทำเอาคนสติหลุดลอยได้สติขึ้น ราวกับถูกสาดน้ำใส่จนเต็มแรง!

“ไม่เป็นอะไรนะ” เขาปลอบใจคนตัวสั่น พร้อมลูบศีรษะแบบปลอบโยน

ภาพของเธอตอนนี้ ไม่ต่างอะไรจากวันนั้น...เมื่อสามปีก่อนที่เขาเห็นภาพเธอในงานศพของแม่ เขาพอจะเดาสถานการณ์ออก ว่าเด็กผู้หญิงข้างในนั้น...คงจะเป็นคนที่มีความสำคัญกับเธอพอควร

“ฮือ...หมอลือ ช่วยน้องพิกด้วย” เธอร่ำไห้ซบกับอกเขาแบบไม่อายใคร ซึ่งเขาผู้ไม่ได้อายใครเช่นกัน...กอดเธอแน่นพร้อมให้คำสัญญา

“อื้อ ไม่ต้องห่วงหรอก...ทำใจให้สบายก่อนนะ” เขาคลายวงแขนเพื่อช้อนใบหน้าเปียกชุ่ม ให้ขึ้นมาสบตาด้วย

ความหมายที่บ่งบอกให้เธอมั่นใจในตัวเขา...ทำเอาเธอพยักหน้า ก่อนสูดน้ำมูกเต็มแรงเหมือนเด็กมากกว่าแม่สาวเซ็กซี่

“ถ้าความดันคนไข้ปกติ และปริมาณเลือดเพียงพอ...ก็สามารถผ่าตัดต่อได้เลย” แพทย์อาวุโสอธิบายเสริมทับ จนเขาต้องผละออกจากเธอเล็กน้อย

“ฉันต้องไปทำงานแล้วนะ ฝากดูแลพี่สาวเธอด้วย” เขาหันไปมองพร้อมขมวดคิ้วไม่แน่ใจ ว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า...ซึ่งโพนี่ผู้น้ำตานองหน้าไม่ต่าง รีบพยักหน้ารับคำ

“ค่ะหมอ โพนี่จะดูแลพี่พิกเองค่ะ” ว่าแล้วก็รีบเช็ดน้ำตาเพื่อให้เขามั่นใจ

“กลับไปรอที่บ้านน้องก่อนก็ได้ เดี๋ยวหมอผ่าตัดเสร็จ...จะตามไปรับพี่เรากลับเอง”

“พิกอยากอยู่รอดูอาการน้องที่นี่” เขาถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนหันไปวานทศพลที่วิ่งมาพอดีเพราะต้องเป็นผู้ช่วยเขา

“ฝากพาพิกกับน้องเขาไปพักที่ห้องตรวจของฉันก่อน ฉันต้องผ่าตัดคิวแรก...เพื่อห้ามเลือด จะเข้าไปดูความเรียบร้อยก่อน แกค่อยตามไป”

“เออได้ ไม่ต้องห่วง เชิญทางนี้เลยครับ” พิกเล็ทไม่ยื้อเขา หากแต่สูดน้ำมูกเพื่อเรียกสติ เธออยากให้เขารีบไปช่วยเพลินเพลิงให้เร็วที่สุด

แม้ว่า...อยากจะกอดเขาให้แน่นๆอีกสักรอบก็เถอะ!

ฤๅชัชค่อยๆวางร่างบาง...ที่ถูกห่อด้วยเสื้อสูทของเขากลับบ้าน ลงบนเตียงนุ่มหลังจากการผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดี

คนนอนหลับใหลเพราะอ่อนเพลียจากการเสียน้ำตา...ยังไม่รู้ตัวตื่นตั้งแต่เขาอุ้มขึ้นรถกลับมายังบ้าน

“ผ่านศึกทางกายไปหมาดๆ ยังต้องไปเจอศึกทางใจอีก...หมดแรงเลยล่ะสิ” เขาถอนหายใจโล่งอก ที่การผ่าตัดนี้ทำให้คนไข้ผ่านพ้นวิกฤตจนปลอดภัย

“แม่” คนละเมอหาแม่จริงๆ แบบไม่ได้เสแสร้งไขว่คว้าหาเขา จนเขาต้องซุกตัวลงนอนข้างๆเพื่อให้เธอกอดได้ถนัด

โชคดีที่เขาอาบน้ำหลังออกจากห้องผ่าตัดมาแล้ว...ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าให้เธอสวมกอด

ริมฝีปากอมชมพูของคนผิวพรรณดี ก็จุมพิตลงบนกลุ่มผมระหน้าผากของคนทำสีผมสม่ำเสมอ...แผ่วเบา เขาบอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่ากำลังรู้สึกอะไร

สงสารก็ใช่!

แต่มันเหมือนมีอะไรที่มากมายกว่านั้น

ฟึบ! คนไม่ได้ตั้งตัวใดๆ ถูกโน้มลงไปจนชิดแก้มสาว

“ลือคะ..ช่วยยัยเพลินด้วย” คนหลับตาพริ้มว่า...พร้อมน้ำตาไหลนองหน้าแบบไม่ได้สั่งทำ

ร่างสั่นเทา...โน้มลำคอเขาลงไปพร้อมเกาะเอาไว้แน่น เธอสะอื้นฮึกเหมือนคนขวัญผวา

ฝ่ามือแกร่งค่อยๆลูบกลุ่มผมหยักลอนแบบไม่เป็นธรรมชาติแผ่วเบา ก่อนกอดกระชับเธอเข้าหาตัวเป็นเชิงปลอบโยน

ไออุ่นจากเรือนร่างของเขา...เติมเต็มความรู้สึกขาดที่พึ่งสุดท้ายในชีวิตได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่วันที่แม่ไม่อยู่...สำหรับพิลา  เรศแล้ว

ครอบครัวของเธอคือ ‘วงพริกร้อยเม็ดว่าเผ็ดแล้ว’ และเขา คู่หมั้นหนุ่มที่เธอรู้มาตลอดว่าเขาเป็นคนใคร และต้องแต่งงานกันตามข้อตกลงระหว่างแม่เธอและพ่อของเขา

บัดนี้...ครอบครัวที่เธอคิดว่าใช่ ก็ได้มอบอุ่นไอให้เธอในคราที่หนาวเหน็บที่สุดได้จริงๆในวันนี้

“พี่อยู่นี่แล้ว...ไม่ต้องกลัวนะ” จริงๆแล้วเขาอายุห่างจากเธอมากหลายปี แต่พิลาเรศก็เรียกเขาแค่ชื่อเฉยๆมาตลอด ไม่ใช่เพราะว่าเธอไม่เคารพเขา แต่เป็นเพราะว่า...เธออยากจะเรียกอะไรก็ได้ ที่รู้สึกสนิทใจได้มากที่สุด

ก็ถ้าเรียกเขาว่าพี่...เธอก็อดที่จะล่วงล้ำเขาสารพัดวิธียังไงล่ะ!

“ฮือ...” เธอกอดเขาแน่นขึ้น กิริยาซุกใบหน้าลงบนความอบอุ่นเหมือนกำลังหนาวเต็มที่ ทำเอาใจเขาสั่นไหวขึ้นมาเสียได้...

“นอนหลับนะ พี่อยู่ตรงนี้แล้ว” แล้วเขาก็จุมพิตส่งท้ายไปยังกลุ่มผมหอมละมุนแบบเซ็กซี่ของเธอ พร้อมหลับตาผ่อนคลาย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel