เลขาคนใหม่-2
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างมีมารยาท เมื่อเปิดออกไปก็พบซัลมายืนอยู่พร้อมกับสาวใช้ที่ถือถาดอาหารมาให้ หล่อนแนะนำตัวว่าชื่อซากีน่า เป็นหญิงสาวร่างเล็กที่มีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู คนยืนเยื้องไปด้านหลังคุณแม่บ้านส่งยิ้มให้สไวยาตลอดเวลาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากัน อีกทั้งยังพยายามจะชวนคุยจนทำให้ซัลมาต้องหันไปมองอย่างกำราบอยู่หลายรอบ ก่อนที่นางจะได้เริ่มเข้าประเด็นถึงเรื่องที่จะแจ้งให้สไวยาทราบ
“คุณรีฮานเห็นว่าคุณไม่ค่อยสบายจึงให้จัดสำรับมาส่งค่ะ และเกรงว่าจะยังไม่ชินกับการลงไปนั่งรับประทานอาหารร่วมกันที่โต๊ะจึงอนุญาตให้ทานบนห้องได้” ว่าแล้วก็สั่งให้ซากีน่าถือสำรับเข้าไปวางที่โต๊ะเล็กภายในห้อง
สไวยายิ้มและกล่าวขอบคุณ ทำให้อีกฝ่ายมองหน้าด้วยสายตาประหลาดเหมือนไม่เคยชิน ซัลมาไม่ได้ยิ้มตอบแต่กลับทิ้งท้ายด้วยคำสั่งของผู้เป็นนาย
“สองทุ่มคืนนี้คุณรีฮานต้องการพบคุณที่ห้องทำงาน รบกวนตรงต่อเวลาด้วยนะคะ” พูดจบก็เดินจากไปพร้อมกับสาวใช้ที่ยิ้มให้ตลอดเวลา
สไวยาทำหน้าอึ้ง เพราะยังไม่ทันได้ถามให้ละเอียดด้วยซ้ำว่าห้องทำงานที่ว่าไปทางไหน หญิงสาวจึงได้แต่กลับมานั่งที่โต๊ะแล้วลงมือรับประทานอาหาร ซึ่งอาหารมื้อนี้มีแต่อาหารฝรั่งจำพวกซุปและพาสต้าที่รสชาติจัดได้ว่าอร่อยระดับภัตตาคาร เรียกได้ว่าเป็นอาหารที่วิเศษสุดมื้อแรกก็ว่าได้ตั้งแต่จับพลัดจับผลูมาติดเกาะอยู่ที่ประเทศนี้
ก่อนเวลาสองทุ่มเล็กน้อย หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้วสไวยาก็นำภาชนะเปล่าใส่ถาดวางไว้ให้ที่โต๊ะ เตรียมพร้อมออกจากห้องพักไปยังห้องทำงานของผู้เป็นเจ้านาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะยืนสำรวจความเรียบร้อย เพราะอย่างน้อยควรจะสร้างความน่าเชื่อถือให้ตัวเองบ้าง ถึงแม้ที่ผ่านมาเธอจะทำแต่กริยาที่ไม่งามไปมากก็ตามที
เสื้อคลุมที่สวมทับเสื้อเชิ้ตอยู่อีกชั้นทำให้รู้สึกอึดอัด เมื่อต้องเดินไปเดินมาอยู่หลายรอบเพราะหาทางไปห้องทำงานไม่เจอ ฝั่งด้านปีกขวาก็มีทางเลี้ยวแยกเข้าไปอีก สไวยาเดาไม่ถูกเลยว่าจะเป็นห้องไหน ครั้นลงไปถามคนข้างล่างก็ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่แล้ว ทั้งซัลมาและเด็กรับใช้คงกลับที่พักไปกันหมด
“ทางไหนล่ะเนี่ย” เจ้าตัวยืนพึมพำอยู่คนเดียว แต่ที่น่าแปลกใจคือเธอไม่พบใครอีกเลยในบ้านหลังใหญ่เช่นนี้ แม้แต่คอฟมันที่คุณแม่บ้านบอกว่าเข้านอกออกในเป็นปกติ
พอได้เวลาเลิกงาน คฤหาสน์ทั้งหลังก็เงียบราวกับป่าช้า
“หาห้องทำงานไม่เจอรึ?” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้สไวยาตกใจจนเผลออุทานออกมาเล็กน้อย พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเจ้าของบ้านยืนเกาะราวระเบียงอยู่ชั้นบน
รีฮานคิดอยู่แล้วว่าเธอจะต้องมายืนเก้ๆ กังๆ อยู่แถวนี้ ร่างสูงในชุดเสื้อคลุมสีดำมันเปลี่ยนมายืนกอดอกรอกระทั่งสไวยาเดินขึ้นไปหาและกล่าวขอโทษที่ล่าช้า แต่นั่นเพราะเธอไม่รู้ว่าห้องทำงานของเขาอยู่ส่วนไหนของบ้าน
“ตามฉันมานี่สิ...ก่อนหน้าฉันเดินไปหาเธอที่ห้องแต่ไม่พบ คิดว่าเธอน่าจะลงไปสำรวจอะไรต่อมิอะไรด้านล่างตามความถนัด”
แน่นอน รีฮานกำลังค่อนขอดเรื่องที่เธอรับจ้างเป็นสายสืบ คนถูกพาดพิงเผยอปากเหมือนอยากโต้เถียง แต่ตระหนักถึงสถานะลูกจ้างของตนเสียก่อนจึงได้แต่เงียบและวางเฉย
“ขอโทษนะคะ ฉันขอถามหน่อย ในบ้านนี้นอกจากคุณแล้วมีใครอยู่บ้าง ทำไมฉันไม่เห็นใครเลย?”
“หลักๆ ก็ฉันนี่ล่ะ” รีฮานอธิบาย
“แล้วคนอื่นๆ...”
“หืมม์...อ่อ ถ้าเป็นคุณพ่อกับโรฮานล่ะก็ สองคนนั้นจะกลับมาพักที่นี่บ้างบางโอกาส เพราะปกติแล้วเขาทำงานอยู่ที่อเมริกากัน” ชายหนุ่มพูดต่อ สไวยาฟังแล้วก็คิดตามไปด้วย
‘โรฮานที่ว่านั่นคงจะหมายถึงพี่หรือไม่ก็น้องชายของเขา’ แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าเป็นอย่างที่เขาบอก นั่นแสดงว่าเวลานี้ภายในบ้านก็มีแค่เขากับเธอสองต่อสองอย่างนั้นสิ
“ข้องใจอะไรรึเปล่า?”
“ปะเปล่าค่ะ” เจ้าตัวปฏิเสธพร้อมกับฟังที่ชายหนุ่มจะพูดต่อ
“โดยปกติหลังอาหารค่ำพวกเด็กรับใช้ก็กลับไปที่ตึกด้านหลังกันหมด ถ้ามีอะไรจะเรียกใช้ก็โทรศัพท์เอา แต่ถ้าอยู่ในละแวกตึกใหญ่ก็ใช้อินเตอร์คอม”
“ค่ะ...เอ่อ แล้วคุณคอฟมันล่ะคะ ไม่ได้พักที่นี่เหรอ?”
“รายนั้นให้เขาพักที่โรงแรม ให้คอยเป็นหูเป็นตาแทนฉัน...ทำไม? รึว่าอยากจะไปพักที่เดียวกับคอฟมัน?”
“ไม่ใช่ซักหน่อย!” ร่างบางโพล่งอย่างลืมตัว รีฮานถึงตวัดสายตาดุใส่ ก่อนจะบอกให้เธอเดินตามเขาไปยังห้องทำงานซึ่งอยู่ชั้นบนปีกซ้าย คนละฝั่งกับห้องพักของเธอ
ภายในห้องทำงานของผู้เป็นเจ้าของบ้านถูกตกแต่งสไตล์โมเดิลอาหรับ ผนังห้องทาสีเทาเข้ม เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ รวมถึงตู้เก็บเอกสารและโต๊ะทำงานถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ บ่งบอกถึงนิสัยของผู้เป็นเจ้าของห้องได้อย่างดี
“ไม่ต้องปิดประตูหรอกค่ะ” หญิงสาวร้องทักเมื่อฝ่ายชายกำลังจะเอื้อมมือไปผลักประตูห้อง รีฮานชะงักและดึงมือกลับตามที่หญิงสาวร้องขออย่างไม่ขัดข้อง แต่ก็ไม่วายที่จะแกล้งเอ่ยดักคอ
“กลัวฉันจะทำอะไรเธอรึ?”
คำพูดของรีฮานทำให้อีกฝ่ายกระอึกกระอัก ก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะครั้นจะบอกตามตรงว่า ‘ใช่’ ก็เกรงชายหนุ่มจะหมั่นไส้หาว่าเธอหลงตัวเอง หากจะปฏิเสธก็เกรงถูกย้อนว่าถ้าไม่ได้กลัวแล้วทำไมต้องทักท้วง
คนมาใหม่เอ่ยขอบคุณเจ้าของบ้านสำหรับที่พัก ซึ่งมันดีเกินไปเสียจนเธอคาดไม่ถึง รีฮานยิ้มรับอย่างวางมาด อ้างว่าห้องที่ตึกด้านหลังไม่ว่างจึงให้เธอขึ้นมาอยู่บนนี้ไปก่อน
“แต่ก็ดีแล้ว เผื่อมีอะไรจะได้เรียกใช้งานสะดวกๆ”
“ค่ะ” รายนี้ถึงรับทราบอย่างสงบเสงี่ยม
ร่างสูงยืนเอามือไขว้หลังอยู่กลางห้องตอนที่สไวยาเหลือบไปมองนาฬิกาแขวนผนัง หญิงสาวเห็นว่าดึกมากแล้วจึงได้เอ่ยพาเข้าประเด็นเรื่องงาน รีฮานเหล่มองนิดๆ ก่อนเชิญให้ฝ่ายหญิงนั่งลงที่เก้าอี้บุนวม ก่อนที่ตัวเขาจะเดินอ้อมไปนั่งยังฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานตัวยาว ด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่เมื่อถูกออกคำสั่ง
“ตกลงใครเป็นเจ้านายกันแน่ ฉันหรือเธอ?” เขาติ
“เอ่อคือ...” หญิงสาวพยายามจะชี้แจงแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ได้อยากจะฟัง ครั้นจะดึงดันอธิบายเดี๋ยวก็หาว่าเธอเถียง อดคิดไม่ได้ว่าเขาบ้าอำนาจ ดูเหมือนสไวยาจะเริ่มมองเห็นอนาคตรำไรก็งานนี้
“เอาแต่ใจชะมัด” ร่างบางเผลอโพล่งออกมา ทว่าคนได้ยินหันขวับอย่างหูผึ่ง ดูท่าเลขาคนใหม่จะร้ายใช่เล่น
“ก่อนที่ฉันจะให้คอฟมันอธิบายรายละเอียดของงานที่เธอต้องรับช่วงต่อ ฉันมีเรื่องต้องตกลงกับเธอหลายอย่าง เราต้องเซ็นสัญญากันก่อนเริ่มงานจริง เพื่อที่ฉันจะมั่นใจได้ว่าเธอจะไม่นำข้อมูลซึ่งเป็นความลับที่ได้จากบริษัทของฉันไปขายหรือบอกกับคนอื่น ฉันไม่ใช่เจ้านายหน้าโง่ที่ยึดเอาความสาวและสวยของลูกจ้างเป็นเครื่องการันตี ทำงานกับฉัน เสน่ห์ของเธอใช้ไม่ได้ผลหรอก”
สไวยาแอบเบะปากด้วยความหมั่นไส้เมื่อเจ้านายพูดดักคอ รีฮานพูดเองเออเองเสร็จสรรพโดยที่เธอยังไม่ทันจะคิดอะไรเลย
“ค่ะ ขอบคุณที่ชมว่าฉันสวยและมีเสน่ห์ ฉันทราบดีว่าเสน่ห์ของฉันคงทำอะไรคุณไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาชีวิตคุณคงไม่เคยขาดเรื่องทำนองนี้อยู่แล้ว” เจ้าตัวย้อน แสร้งทำหน้ายิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน ถึงคราวเธอยัวะบ้างชายหนุ่มทำเป็นไม่พอใจ
“ช่างประชดประชัน...คุณสมบัติแบบนี้ไม่เหมาะกับการเป็นเลขาหรอกรู้มั้ย อีกอย่าง คนที่จะทำงานให้ฉันได้ก่อนอื่นต้องรู้จักเคารพเจ้านายซะก่อน เริ่มจากคำพูดคำจาของเธอนั่นล่ะ” เขาติ ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับมองค้อน จะว่าไปรีฮานเองก็ปากคอเราะร้ายใช่เล่น
“แล้วจะให้ดิฉันทำอะไรบ้างล่ะคะ เจ้านาย” น้ำเสียงออกแนวประชดประชันเล็กน้อย
คนเป็นนายถึงถอนใจแรง เตือนว่าแค่รู้จักเคารพและพูดจาให้เหมาะกับฐานะและตำแหน่งของตัวเองก็พอ จำไว้ว่าเวลาพูดกับเขาควรจะอ่อนน้อมและมีหางเสียงทุกครั้ง
“ค่ะ” สไวยาถือว่านี่คือคำสั่ง ถ้าเช่นนั้นแล้วเธอก็จะยอมปฏิบัติตาม
“เธอยังข้องใจอะไรอีกมั้ยในเรื่องที่ฉันพูดไป?”
“ไม่มี...ค่ะ” เกือบลืมจบท้ายประโยคด้วยหางเสียงสุภาพ
รีฮานส่ายหน้าเพราะรู้ว่าเป็นการประชดอีกตามเคย
เรื่องต่อไปที่ชายหนุ่มจำต้องพูดกับสไวยาในฐานะเจ้านายก็คือเรื่องของหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ สรุปง่ายๆ คือเธอต้องคอยดูแลเป็นหูเป็นตาแทนเขาทุกอย่าง ซ้ำต้องอยู่ใกล้ชิดเขาตลอดเวลา และจะต้องรู้ว่าเวลาไหนควรจะทำหรือไม่ควรทำอะไร ซึ่งรายละเอียดทุกอย่างคอฟมันจะเป็นผู้ถ่ายทอดให้เอง
หญิงสาวจะเริ่มต้นทำงานสัปดาห์หน้า สองวันนี้เป็นวันหยุดทางราชการ เขาจึงให้สิทธิ์เธอหยุดได้ตามปกตินั่นคือวันพฤหัสฯ กับศุกร์ แต่อย่างไรเสีย ภายในสองวันนี้เขาอยากให้เธอเรียนรู้สิ่งต่างๆ ภายในบ้านและจดจำธุรกิจของเขาให้ได้ก่อน
“นี่แฟ้มรายชื่อโรงแรมทั้งหมดของฟาซิมกรุ๊ป ส่วนนี่รายชื่อโครงการของฟาซิมพร็อพเพอร์ตี้ และโครงการที่ผ่านมาของฟาซิมดิเวลล็อปเมนท์ เธอลองเอาไปดูก่อนคร่าวๆ” รีฮานยื่นแฟ้มเอกสารสีดำส่งให้สามแฟ้ม
จังหวะที่สไวยายื่นมือออกไปรับ มุมของแฟ้มเกิดเกี่ยวเอาผ้าผูกเอวเธอหลุด หญิงสาวจึงรีบจับเสื้อนอกไว้ไม่ให้เปิดออก แต่รีฮานซึ่งมีสายตาว่องไวเห็นได้ทันทีว่าแม่เลขาสาวใส่ชุดซ้อนกันถึงสองชั้นในการมาพบเขา
ใบหน้าคมลอบอมยิ้มก่อนส่ายหน้าเล็กน้อย เอื้อมมือลงไปเปิดลิ้นชักชั้นล่างและหยิบปืนกระบอกหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ มือใหญ่ดันไปด้านหน้าและหันด้ามจับไปทางหญิงสาว
“เอ้า ถ้ากลัวฉันจะทำอะไรเธอนักก็เก็บนี่ไว้ซะ ถ้าเห็นว่าฉันจะปล้ำหรือทำอะไรล่วงเกินเธอก็แล้วแต่ ยิงฉันได้เลย”
สไวยาทำตาโต อึ้งและไม่คิดว่าเขาจะลงทุนทำถึงขนาดนี้ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอในคืนนั้นมันทำให้หญิงสาวอดที่จะระแวงไม่ได้
เขาคะยั้นคะยอให้เธอรับมันไป แต่สไวยายังดูกล้าๆ กลัวๆ ในใจก็คิดว่ารีฮานจะแค่ลองใจเธอหรือเปล่าว่ามีความไว้วางใจเขาแค่ไหน สถานการณ์น่าหนักใจไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจรับมันไว้เพราะคนตรงหน้าอุตส่าห์หวังดีมอบให้ ถ้าไม่รับก็กลัวจะเสียมารยาท
หลังเสร็จธุระ รีฮานก็ปล่อยให้สไวยากลับไปพักผ่อนที่ห้อง ในตอนแรกเขาจะเดินไปส่งแต่เธอปฏิเสธเพราะอยากทดสอบความจำตัวเองดูว่าจะกลับห้องถูกหรือเปล่า รีฮานเห็นความตั้งใจดังนั้นจึงไม่ขัด หลังจากที่หญิงสาวออกไปแล้วเขาก็ยังนั่งทำงานต่อไปในห้องนั้นเงียบๆ
มีช่วงหนึ่งที่ดวงตาคู่คมเหลือบลงมามองลิ้นชักโต๊ะทำงานซึ่งแง้มไว้ และอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอย่างลำพอง นั่นเพราะปืนที่ให้สไวยาไปนั้นไม่ใช่ปืนที่เขาใช้ประจำ ส่วนปืนกระบอกที่ว่ายังคงวางอยู่ในนี้
ชายหนุ่มดันมือไปปิดลิ้นชักเบาๆ แล้วคิดต่อไปว่า การที่หญิงสาวยอมรับมันไปนั้นแสดงว่าเธอยังไม่ไว้ใจเขา เช่นเดียวกัน ชายหนุ่มก็ไม่อาจจะวางใจเธอได้ การให้อาวุธกับเลขาสาวไปก็เท่ากับเติมเขี้ยวให้อสรพิษ ซึ่งจะแว้งกัดเอาเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ ฉะนั้นเขาย่อมต้องไหวตัวทันเสียก่อนด้วยการเก็บลูกกระสุนทุกนัดไว้กับตัวเอง
