ติดพัน-1
สไวยานั่งดูรายชื่อธุรกิจและรายละเอียดที่รีฮานให้มาอยู่ภายในห้องพักของตัวเอง นอกจากธุรกิจโรงแรมที่อยู่ในซาร์จ้าห์ อาบูดาบีและดูไบแล้ว ชายหนุ่มก็ยังมีธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อีกหลายโครงการที่ได้รับความนิยมในอาบูดาบีด้วย โดยธุรกิจเหล่านี้ถูกบริหารจัดการภายใต้ชื่อบริษัทฟาซิมพร็อพเพอร์ตี้ นอกจากนี้ยังมีบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่ชื่อว่าฟาซิมดิเวลล็อปเม้นท์ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐอัลไวยาห์ เมืองหลวงของประเทศสหรัฐอาหรับมิดเดิลอีตส์ หรือยูเซมอีกด้วย
ประเทศยูเซม (United States of Arab Middle East: USAME) ประกอบด้วยรัฐทั้งหมด 5 รัฐ แต่ละรัฐจะมีเอมีร์หรือผู้ปกครองเป็นผู้นำ โดยประมุขของประเทศได้แก่ประธานาธิบดี ซึ่งอัลไวยาห์เป็นหนึ่งในรัฐมหาอำนาจที่สุดของประเทศ รองลงมาได้แก่ รัฐมานซูร์และฟาซซ่าห์ตามลำดับ
ประเทศที่กำลังพัฒนาถึงขีดสุดนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรอาระเบีย ติดกับประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และกาตาร์ ยูเซมกำลังดำเนินแผนนโยบายจัดตั้งเขตการค้าและอุตสาหกรรมเสรีในแต่ละรัฐ โดยมีอัลไวยาห์เป็นเมืองแห่งการท่าและการส่งออกที่สำคัญรองลงมาจากยูเออี
ธุรกิจที่สำคัญของประเทศนี้คือการผลิตและส่งออกน้ำมัน มีความเจริญเติบโตทางด้านการพาณิชย์และอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของประเทศในแถบอาหรับ เป็นพันธมิตรทางธุรกิจรายสำคัญของดูไบและอาบูดาบี นอกจากนี้อัลไวยาห์ยังเป็นรัฐที่ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในด้านการขนส่ง การคมนาคม การค้า และการลงทุน ซึ่งปัจจุบันกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วจนเป็นที่จับตามองของโลกตะวันออก
เวลานี้รีฮานกำลังมุ่งเน้นธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตลาดไปยังรัฐอัลไวยาห์ โครงการล่าสุดของเขามีชื่อว่าโปรเจ็กต์เดอะบียอนเดอร์ (The beyonder project) ซึ่งเป็นการสร้างโอเอซิสขึ้นมาบนพื้นที่กว่าห้าร้อยเอเคอร์ในทะเลทรายตอนเหนือของรัฐดังกล่าว อีกทั้งกำลังเร่งประมูลรับเหมาโครงการจากรัฐบาลยูเซมในนามของฟาซิมดิเวลล็อปเม้นท์ด้วย ธุรกิจรับเหมานี้เขาได้รับช่วงต่อมาจากกาเซ็มผู้เป็นบิดาเมื่อห้าปีก่อน โดยรายนั้นหันไปดูแลและเป็นที่ปรึกษาให้กับโรฮานน้องชายซึ่งเปิดธุรกิจอยู่ที่อเมริกา
“อู่ว์” คนร่างบางทึ่ง ก่อนจะนึกเหนื่อยแทนกับแต่ละโครงการที่แสนจะอลังการจนไม่รู้ว่าจะบริหารยังไงไหว นี่แค่อ่านยังรู้สึกเลยว่าข้อมูลมันแน่นเต็มหัวสมองไปหมดจนพื้นที่รองรับเริ่มจำกัดขอบเขตลง
‘ไม่อยากเชื่อว่าผู้ชายที่อายุแค่สามสิบต้นๆ จะร่ำรวยถึงเพียงนี้ นี่ขนาดยังไม่รวมธุรกิจและโรงแรมของครอบครัวที่อยู่ในอเมริกานะเนี่ย’ เจ้าตัวคิด
ดึกแล้วแต่สมาชิกใหม่ยังนอนไม่หลับ ที่นี่แตกต่างจากทุกที่ที่เคยอยู่ ภายใต้ความหรูหราอลังการกลับซ่อนไว้ซึ่งความเงียบเหงา
สไวยามองออกไปทางหน้าต่าง บริเวณสวนหย่อมด้านหลังบัดนี้มีเพียงแสงสลัวและเงามืด น้ำพุถูกปิดไปแล้วจนทำให้ความวังเวงเข้ามาแทนที่ แต่แล้วภายใต้แสงจันทร์แห่งรัตติกาลกลับมองเห็นเงาตระหง่านของร่างๆ หนึ่งริมสระน้ำ
นั่นเป็นภาพของชายหนุ่มเจ้าของบ้านที่กำลังมองเหม่อไปยังความมืดเบื้องหน้า ซึ่งตรงจุดที่มีใบปาล์มแกว่งไกวนั้นก่อให้เกิดเป็นเงาหวิวไหวสลับไปมาที่พื้น
นัยน์ตาสีเทาของสไวยามองฝ่าไปยังบุรุษที่ดูสุขุมเยือกเย็นรายนั้น ทว่าในความสง่างามที่เคยเห็นกลับแฝงไว้ซึ่งอารมณ์ของความเปล่าเปลี่ยว จนไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้ชายอย่างรีฮานจะมีด้านมุมแบบนี้กับเขาด้วย
‘อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น’ สไวยาเตือนตัวเอง ว่าอย่าให้ภาพลักษณ์ภายนอกของเขาหลอกลวงเธอ และอย่าได้หลงไว้ใจใครง่ายๆ เพราะที่ผ่านมาก็เคยมีบทเรียนแล้ว รีฮานเองอาจเป็นดั่งพญาเสือโคร่งที่นอนนิ่งรอเหยื่ออันโอชะ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาหิวและพร้อมจะออกล่า เมื่อนั้นเชื่อได้เลยว่าชายหนุ่มคงวิ่งควบตะครุบเหยื่อได้ไวไม่ต่างไปจากเสือชีต้าห์เลยทีเดียว
ในตอนเช้าของวันต่อมาที่อากาศแจ่มใสเจือไปด้วยปุยเมฆกระจายริ้วสวยเต็มท้องฟ้า คอฟมันมาที่คฤหาสน์เพื่อรอพบกับรีฮาน ซึ่งระหว่างที่รอนั้นเขามองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นสไวยานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวในสวนหย่อม สีหน้าท่าทางเธอดูแช่มชื่นกว่าทุกครั้ง ชายหนุ่มจึงเดินตรงเข้าไปทักทายอย่างมีไมตรี
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
“คุณคอฟมัน สวัสดีค่ะ” หญิงสาวยิ้มและชวนเขานั่งลงที่ม้านั่งอีกตัวหนึ่ง
หัวหน้าบอดี้การ์ดหนุ่มได้มีโอกาสพูดคุยกับสไวยาเล็กน้อย ก่อนที่จะถูกคนเป็นนายตะโกนแทรกลงมาจากระเบียงชั้นบน ด้วยเสียงที่กังวานก้องไปทั้งบริเวณ จนแม้แต่บรรดานกที่เกาะอยู่ตามฐานน้ำพุก็แตกตื่นบินหนีกันว่อน
“คอฟมัน กามิล!”
ครั้นสิ้นเสียงประกาศิต คอฟมันจึงหันกลับมามองที่สไวยาแล้วเอ่ยขอตัว แม้จะรู้สึกแปลกใจเล็กๆ ว่าเหตุใดคนเป็นนายถึงได้เอ่ยเรียกชื่อสกุลเขาเต็มยศขนาดนี้
หญิงสาวยิ้มให้เขาก่อนจะมองหนุ่มลูกครึ่งเยอรมันเดินจากไป พลางคิดเปรียบเทียบอยู่ในใจว่าเจ้านายกับลูกน้องคู่นี้ช่างดูแตกต่างกันนัก คอฟมันมีมาดของความสุขุมใจเย็น แต่การพูดจานั้นสุภาพอ่อนโยนมีมนุษยสัมพันธ์ ผิดกับรีฮานผู้เป็นนายที่รายนั้นค่อนข้างดุดันเอาแต่ใจ ที่แน่ๆ คือชอบออกคำสั่ง จึงไม่แปลกที่คนอย่างเขาจะได้มือขวาอย่างคอฟมัน เพราะบอดี้การ์ดหนุ่มเปรียบเสมือนตัวแทนในบางสิ่งบางอย่างที่รีฮานขาดหายไป
ภายในห้องทำงานของรีฮานซึ่งเชื่อมถึงกันกับห้องนอน คอฟมันเปิดประตูเข้ามาด้วยท่าทางรีบเร่ง โดยมีผู้เป็นนายนั่งรออยู่ก่อนแล้วที่โซฟาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะเมื่อคืนเพิ่งได้รับข่าวจากบิดาว่าน้องชายประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
รีฮานจำเป็นต้องบินไปอเมริกาสักสองสามวัน จึงฝากให้คอฟมันช่วยดูแลความเรียบร้อยทางนี้ ส่วนเรื่องของสไวยา เขาอยากให้ชายหนุ่มแนะนำและถ่ายทอดงานในส่วนของเลขาให้ในระหว่างที่เขาไม่อยู่ เพื่อให้หญิงสาวเรียนรู้งานให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ครับ ไม่ต้องห่วง” คนเป็นผู้ช่วยรับคำสั่ง พลางส่งตั๋วเครื่องบินและเอกสารการเดินทางที่เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วให้กับคนเป็นนาย
ระหว่างที่ทั้งคู่เดินลงบันไดมาก็เห็นสไวยายืนอยู่ที่โถงชั้นล่าง สายตาเธอมองมายังพวกเขาและเลยไปทางสาวใช้ที่ช่วยยกกระเป๋าเดินทางตามมาด้านหลังอย่างมีคำถาม แต่ด้วยความชั่งใจจึงไม่ทันได้เอ่ยปาก กระทั่งรีฮานเป็นฝ่ายบอกออกมาก่อนว่าเขาจะออกไปสนามบินกับคอฟมัน เนื่องจากมีเหตุจำเป็นทำให้ต้องบินไปอเมริกาด่วน
“ทีหลังเห็นฉันจะไปไหน ถ้าไม่รู้ให้ถาม ไม่ต้องรอให้ฉันบอก เธอจำเป็นต้องทราบความเคลื่อนไหวของฉันในฐานะเลขา” เขาสั่งอย่างตำหนิ
“ค่ะ” สไวยารับทราบโดยไม่โต้เถียง แต่ดูเหมือนเจ้านายยังพูดไม่จบ
“และคราวหน้าเธอต้องเป็นคนเตรียมการเรื่องเดินทางให้ฉันแทนคอฟมัน ต่อไปฉันจะให้เขาทำงานในหน้าที่ผู้จัดการอย่างเต็มตัว” สั่งเสร็จแล้วก็หันเดินออกไปที่รถซึ่งจอดรออยู่หน้าประตูบ้านอย่างเร่งรีบ ไม่เปิดโอกาสให้หญิงสาวได้ซักถามอะไรต่อ
ขณะนั้นซัลมาเดินออกมาจากห้องครัวพอดี นางเห็นหลังรีฮานไวๆ จึงเอ่ยถามสไวยาด้วยความสงสัย
“คุณรีฮานไปไหนเหรอคะ?”
“เห็นบอกแค่ว่าจะไปสนามบินกับคุณคอฟมันค่ะ” รายนี้ตอบไปเท่าที่ทราบ
ดูคุณแม่บ้านเหมือนยังไม่กระจ่างเท่าไหร่ แต่เพราะเห็นว่าหญิงสาวเพิ่งมาใหม่จึงไม่อยากเซ้าซี้อะไรมาก เมื่อหมดคำถามนางจึงขอตัวกลับไปทำหน้าที่ของนางต่อ
สไวยาถอนใจเบาๆ หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว สังเกตว่าซัลมาไม่ค่อยยิ้มแย้มกับเธอเท่าไหร่ ต่างกับสาวใช้คนอื่นๆ ที่พอจะเผยยิ้มให้กันบ้าง อาจเป็นเพราะหญิงสาวเป็นคนแปลกหน้าสำหรับที่นี่ แต่ถึงกระนั้นสไวยาก็ยังพยายามที่จะผูกมิตรกับทุกคน เพราะเชื่อว่าอย่างไรเสียสร้างมิตรไว้ย่อมดีกว่าสร้างศัตรู
เย็นวันหนึ่งคอฟมันกลับมาจากบริษัทพร้อมด้วยกล่องโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ล่าสุดที่รีฮานสั่งให้ซื้อมาให้สไวยา หัวหน้าบอดี้การ์ดหนุ่มนั่งรอกระทั่งหญิงสาวลงมาพบจึงได้มอบมันให้กับเธอพร้อมกับเอ่ยถาม
“คุณได้อ่านรายละเอียดจากแฟ้มงานที่ผมส่งให้เมื่อวานรึยังครับ?”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” สไวยาเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะถามกลับในบางสิ่งที่เธอยังสงสัย ซึ่งคอฟมันก็ยินดีตอบด้วยความเต็มใจ การแสดงออกอย่างเป็นกันเองของเขาทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายลง
วันนี้สไวยาแต่งกายด้วยชุดกระโปรงลำลองสีอ่อนและรวบผมต่ำๆ ไว้ด้านหลังอย่างเรียบง่าย แต่นั่นก็ทำให้เธอดูดีจนคอฟมันอดไม่ได้ที่จะมองอย่างพิจารณา
ระหว่างนั้นซากีน่ายกน้ำมาเสิร์ฟให้ทั้งคู่ สาวใช้ร่างเล็กส่งยิ้มหวานให้สไวยาก่อนจะมองหน้าบอดี้การ์ดหนุ่มอย่างจับผิด เป็นเหตุให้ถูกชายหนุ่มตำหนิด้วยสายตาและแสร้งไล่ให้ไปทำงาน คนถูกเอ็ดถึงย้อนถามเสียงแหลม
“ก็แล้วที่ซากีน่าทำอยู่นี่ไม่ใช่งานรึไงคะคุณคอฟมัน” แววตาใสเป็นประกายเอาเรื่อง
สไวยาขำอย่างเอ็นดู ต่างจากหัวหน้าบอดี้การ์ดหนุ่มที่เม้มปากด้วยความหมั่นไส้
“ฮึ่ อุตส่าห์ซื้อหนังสือที่อยากได้มาฝาก ยอกย้อนแบบนี้ก็อย่าเอาเลย” คอฟมันขู่เพราะรู้จุดอ่อนว่ารายนี้ชอบหนังสือและเป็นพวกใฝ่รู้ พอซากีน่ารู้ว่าชายหนุ่มมีของฝากก็รีบเปลี่ยนท่าทีเป็นพินอบพิเทาทันที
เพราะความคุ้นเคยทำให้ซากีน่าไม่ค่อยจะเกรงกลัวคอฟมันเท่าไหร่ เนื่องจากสองคนนี้สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก คอฟมันเป็นเสมือนพี่ชายที่คอยให้คำปรึกษา เวลาซากีน่ามีปัญหาก็มักจะวิ่งหาชายหนุ่มเสมอ แต่พอเริ่มโตเป็นสาวก็ถูกซัลมาสั่งห้ามไม่ให้ใกล้ชิด ด้วยกฎระเบียบและวัฒนธรรมในการวางตัวกับเพศตรงข้าม แต่ถึงกระนั้นสาวใช้จอมแสบก็ชอบลืมตัวฝืนคำสั่งอยู่บ่อยๆ
ตั้งแต่วันแรกที่สไวยาเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ หญิงสาวก็สังเกตว่าซากีน่าดูต่างจากสาวใช้ทั่วไป ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาหรือความรู้ที่ดูไม่ธรรมดา สไวยาเคยได้ยินซากีน่าอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษให้ซัลมาฟังด้วยสำเนียงที่ดีไม่ติดขัดเลยสักนิด แถมยังวิเคราะห์นู่นนี่ได้เป็นฉากๆ เดาว่าสาวใช้รายนี้ท่าจะมีความรู้ไม่น้อยเลยทีเดียว
จังหวะนั้นคอฟมันก็นึกขึ้นมาได้ว่ารีฮานสั่งให้เขาพาสไวยาไปเลือกซื้อเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็น หัวหน้าบอดี้การ์ดหนุ่มจึงได้แจ้งให้กับเลขาสาวทราบ พร้อมเอ่ยชักชวนซากีน่าไปด้วย เพราะการเลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้ของผู้หญิง ให้ผู้หญิงด้วยกันไปช่วยเลือกคงจะสะดวกกว่า
คอฟมันให้สองสาวเป็นคนเลือกสถานที่ จนมาจบที่ ‘อาบูดาบีมอลล์’ ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่มีชื่อเสียงขนาดใหญ่ หรูหรา และเย็นฉ่ำไปด้วยเครื่องปรับอากาศ มีสถาปัตยกรรมเป็นตัวตึกแฝดสีส้มอ่อนอลังการด้วยบานกระจกฉาบสีเขียว ตึกตรงกลางมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมหันข้างเข้าหากัน เชื่อมต่อสองตึกด้วยทางทางเดินที่อยู่ชั้นบน ใกล้กันคืออีกตึกที่มีจุดเด่นเป็นยอดฐานลักษณะบานคล้ายคบเพลิง ที่นี่เป็นศูนย์รวมแหล่งช้อปปิ้งอันทันสมัยที่มีสินค้าหลากหลายรวมไปถึงแบรนด์เนมชั้นนำจากทั่วโลก
แต่ละร้านให้การต้อนรับและปฏิบัติกับลูกค้าเป็นอย่างดี มีสินค้าและเสื้อผ้ามากมายหลากสไตล์ให้เลือกสรรจนตัดสินใจไม่ถูก ที่นี่คลาคล่ำไปด้วยนักช้อปและนักท่องเที่ยวทั้งชาวอาหรับและชาวต่างชาติ จะเห็นได้ว่ามีชาวเอมิเรตส์หลายกลุ่มที่มากันเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูก ส่วนใหญ่หญิงสาวชาวอาหรับพวกนี้เองคือนักช้อปปิ้งตัวยง
คนที่เกิดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะได้สิทธิพิเศษในฐานะพลเมือง เรียกได้ว่าเกิดมาพร้อมกับทรัพย์สินเงินทองกองอยู่ตรงหน้า ไม่แปลกที่พวกลูกจ้างหรือผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่ในประเทศจะเป็นชาวต่างชาติ ทุกอย่างถูกผสมกลมกลืนและเป็นไปได้หมดสำหรับที่นี่ แม้บางครั้งก็ยังเห็นร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่มีเจ้าของเป็นชาวอาหรับขนานแท้
สองสาวเข้าออกเป็นสิบๆ ร้าน แต่ปรากฏว่าสไวยาไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือออกมาเลย แม้ซากีน่าจะเชียร์แล้วเชียร์อีกก็ตาม นั่นเพราะชุดที่สวยถูกใจเธอนั้นราคาแพงลิบลับ มีหลายชุดที่ราคาแพงกว่าเงินเดือนทั้งเดือนของเธอเสียอีก หญิงสาวเริ่มสังเกตแล้วว่าคอฟมันที่เดินอยู่ห่างๆ นั้นเริ่มมองอย่างตั้งคำถาม
“ขอโทษนะคะคุณคอฟมัน คุณคงเดินตามฉันจนเบื่อแล้ว แต่เสื้อผ้าแต่ละชุดที่ฉันชอบมันแพงเกินกว่าจะมีปัญญาซื้อน่ะค่ะ” เลขาสาวพูดตามตรง พลางมองมาที่ซากีน่าซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ รายนั้นแค่ยักไหล่เล็กน้อยแต่ไม่ออกความเห็น หัวหน้าบอดี้การ์ดจึงหันมามองยังสไวยาก่อนจะค้าน
“ไม่มีอะไรแพงเกินว่าที่คุณรีฮานจะซื้อได้หรอกครับ” เขายิ้ม คราวนี้สาวใช้ร่างเล็กพยักพเยิดหน้าเห็นด้วย
“แต่เขาจะมาจ่ายเงินซื้อของแพงๆ แบบนี้ให้ฉันทำไมล่ะคะ?” หญิงสาวไม่เข้าใจ หากคอฟมันได้แต่ส่ายหน้า ปฏิเสธ
“อันนี้คงต้องถามคุณรีฮานเองครับ แต่ตอนที่คุณรีฮานสั่ง ได้กำชับกับผมไว้ว่าถ้าหากคุณอิดออดหรือเลือกไม่ได้ก็ให้เหมามาหมดทั้งร้าน”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซากีน่าถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ ผิดกับคนถูกกดดันที่ได้แต่ยืนอึ้งขำไม่ออก สไวยาได้แต่คิดในใจว่าหมอนั่นต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เล่นประชดกันแบบนี้เธอจะเอาปัญญาหาเงินที่ไหนมาใช้คืนค่าของพวกนี้ ไม่ต้องแก่ตายอยู่ในอาบูดาบีก่อนหรอกหรือ
‘หรือเพราะรับไม่ได้กับสภาพเรา’ สไวยาคิดในใจ พลางก้มมองตัวเองในชุดกระโปรงที่สวมอยู่แล้วถอนใจเบา รีฮานคงเห็นว่ามันธรรมดาไปกระมัง ไม่คู่ควรกับการเป็นเลขานักธุรกิจระดับมหาเศรษฐีที่มีหน้ามีตาอย่างเขา
สุดท้ายเลขาสาวก็ได้เสื้อผ้าและของใช้ติดมือมาเท่าที่จำเป็น แต่ก็ตัดใจอยู่นานกว่าจะตกลงซื้อได้แต่ละชิ้น ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋าและรองเท้านี่เรียกได้ว่าลองแล้วก็ลองอีกจนเกรงใจคอฟมันกับซากีน่าที่เดินตาม แต่สองคนนั้นก็ไม่ได้มีทีท่าหรือแสดงสีหน้าว่าเบื่อหน่ายเลยสักนิดเดียว
ระหว่างเดินออกจากศูนย์สรรพสินค้า คอฟมันเจอกับคนรู้จักซึ่งเป็นหญิงสาวชาวอาหรับรายหนึ่งที่กำลังจะกลับบ้านเช่นเดียวกัน หัวหน้าบอดี้การ์ดหนุ่มแนะนำให้สไวยารู้จักกับฟาติมาห์ซึ่งเคยเรียนอยู่ห้องเดียวกันกับเขาตอนมหาวิทยาลัย หญิงสาวชาวมุสลิมรายนี้กล่าวทักทายอย่างสุภาพ โดยหนุ่มลูกครึ่งเยอรมันแนะนำว่าสไวยาคือเพื่อนร่วมงานคนใหม่ของเขา เป็นเลขาคนใหม่ของรีฮาน ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะพูดคุยกันอีกเล็กน้อยแล้วจึงแยกย้ายกันกลับไป
