บท
ตั้งค่า

ศัตรูที่คุ้นหน้า-1

นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE

รีฮาน อัล ฟาซิม ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่นั่งหลบมุมอยู่ที่บาร์เครื่องดื่มในโรงแรมแห่งหนึ่ง ตาสีน้ำตาลอ่อนค่อยๆ ปิดลงพร้อมสะบัดศีรษะเล็กน้อยเพื่อสลัดความคิดภายในใจ มือใหญ่ลูบไปมาแถวบ่าและท้ายทอยด้วยความรู้สึกเมื่อยล้า

เขาเป็นนักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งไฟแรง เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมหลายแห่งในรัฐดูไบ อาบูดาบีและซาร์จ้าห์ เช่น โรงแรม ‘ซาร์จ้าห์ อัล ฟาซิม’ โรงแรม ‘มิราเคิลแกรนด์บีช’ ในอาบูดาบี หรือ ‘ดิเอมิเรตส์พาราไดซ์แอทดูไบ’ ที่ซึ่งเขากำลังพำนักอยู่ในขณะนี้ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นโรงแรมที่บริหารงานอยู่ภายใต้บริษัท ‘ฟาซิมกรุ๊ป’ ทั้งสิ้น

เมื่อครู่คอฟมันเพิ่งมารายงานว่าเกิดพายุทรายขึ้นทางตอนใต้ของเมือง แต่ไม่รุนแรงนักถ้าเทียบกับครั้งที่เกิดขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน ลูกค้าเริ่มทยอยกลับเข้าที่พักเมื่อด้านนอกเริ่มมีทัศนวิสัยย่ำแย่ ภายในร้านยังมีแขกคนอื่นๆ อีกไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจหรือชาวต่างชาติ แต่คนหนึ่งซึ่งรีฮานกำลังรออยู่คือนางแบบสาวลูกครึ่งชาวอเมริกัน ชื่อของเธอคือ ฮันน่า พาวเวล

รีฮานพบเธอครั้งแรกที่งานฉลองเปิดตึกที่สูงที่สุดในดูไบ แต่ทั้งสองเพิ่งจะเริ่มสานสัมพันธ์กันได้ไม่นาน แน่นอนว่าเธอคือทายาทนักธุรกิจชาวอเมริกันที่มาร่วมลงทุนในตะวันออกกลาง เขาบอกกับตัวเองได้คำเดียวว่าเสน่ห์ของเธอนั้นมันเหลือรับประทาน และวันนี้เธอเป็นคนนัดเขามาที่นี่ ซึ่งนั้นหมายถึงการสานต่อสัมพันธ์อันดีด้วยอาหารมื้อค่ำ จากนั้นอาจจะตามมาด้วยสัมพันธภาพที่ลึกซึ้งหรืออะไรก็ตามที่เขาปรารถนา

ระหว่างนั้นคอฟมันเดินเข้ามาพอดี รีฮานจึงชวนเขานั่งดื่มเป็นเพื่อน แต่หัวหน้าบอดี้การ์ดหนุ่มปฏิเสธอย่างสุภาพ ทั้งสองหนุ่มสนิทกันเกินกว่าจะถูกแบ่งชนชั้นด้วยคำว่าเจ้านายกับลูกน้อง

คอฟมันทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ช่วยและหัวหน้าบอดี้การ์ดให้กับรีฮาน หนุ่มหล่อลูกครึ่งเยอรมันผู้มีนัยน์ตาเศร้ารายนี้เป็นเด็กกำพร้าที่กาเซ็มบิดาของรีฮานขอมาเลี้ยงตั้งแต่เล็ก ส่งเสียให้เรียนกระทั่งจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยในรัฐแคลิฟอร์เนีย เพราะแบบนี้เขาถึงจงรักภักดีกับครอบครัวนี้เป็นอย่างมาก ทั้งคนในครอบครัวเองก็ไว้วางใจเขามากเช่นเดียวกัน

‘อัล ฟาซิม’ นามสกุลที่การันตีได้ดีถึงความมั่งคั่งที่พบได้ตามชื่อของโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์มากมายในยูเออี อีกหนึ่งชั่วโมงจะได้เวลานัดหมาย ทว่าคนรอเริ่มรู้สึกแปลกๆ ชอบกล อะไรบางอย่างมันทำให้เขาร้อนรุ่มกระวนกระวาย

“มีอะไรรึเปล่าครับ? ผมดูคุณกระสับกระส่ายตลอดเวลา” คอฟมันเอ่ยถาม เพราะสังเกตได้ถึงความผิดปกติของผู้เป็นนาย

“เปล่า” รีฮานปฏิเสธ ทั้งที่เขาก็รู้สึกอย่างที่คอฟมันบอกจริงๆ จะเพราะเมาก็คงไม่ใช่ อารมณ์มันพลุ่งพล่านกระสันอยากขึ้นมาเสียเฉยๆ ยิ่งพอจะได้เจอกับฮันน่า ไม่รู้ทำไมเสน่ห์ของเธอถึงมีอิทธิพลกับเขาขนาดนี้

แต่ดูเหมือนว่าการรอคอยนางแบบสาวจะยาวนานกว่าที่ควรจะเป็น คอฟมันลงความเห็นว่าเธอคงมาช้าเพราะสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย แนะให้คนเป็นนายขึ้นไปรอข้างบนจะดีกว่า

“อืมม์” รีฮานชักเห็นด้วย วิเคราะห์ว่าอากาศข้างนอกคงจะร้อนอบอ้าวน่าดู “เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงตอนเกิดพายุทรายที่ดูไบแอร์พอร์ต ตอนที่เราเจอยัยเพี้ยนนั่น” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยเพ่งไปที่แก้วไวน์สีใส

“ไม่รู้เธอจะเป็นยังไงบ้างนะครับ”

สิ้นคำพูดของผู้ช่วยคนสนิท รีฮานจึงนึกย้อนกลับไปในเหตุการณ์วันนั้น จริงอยู่ที่เธอน่าสงสารมากในตอนที่เขาพบเธอครั้งแรก แต่ด้วยกิริยาท่าทางเกรี้ยวกราดมันทำให้เขาเห็นใจไม่ลง

“จะอะไรซะอีก ป่านนี้ก็คงบินกลับประเทศไปแล้วน่ะสิ” รีฮานตอบอย่างไม่ใส่ใจ

คอฟมันบ่นเสียดายที่ไม่ทันได้ถามชื่อ หากรีฮานค้านว่าจะถามทำไม ไม่ต้องรู้จักก็ดีแล้ว ซ้ำจับผิดอีกฝ่ายว่าดูจะอาลัยอาวรณ์เสียเหลือเกิน

คนสนิทหัวเราะก่อนจะชี้แจงว่าตนแค่เห็นใจ ถ้าเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่มาเที่ยวแล้วเกิดเจอพวกไม่ประสงค์ดีเข้าให้ก็คงแย่

“ก็สุดแล้วแต่โชคชะตา ขอให้พระเจ้าอวยพรเธอแล้วกัน” รีฮานเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนที่จะยกมือห้ามเมื่อพนักงานทำท่าจะรินไวท์เพิ่ม เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านขึ้นเรื่อยๆ จนต้องขอตัวกลับขึ้นไปพักบนห้อง

ท่ามกลางฝุ่นทรายที่อบอวลอยู่ในบรรยากาศภายนอกของโรงแรม ปรากฏว่ามีร่างของใครคนหนึ่งในชุดสีดำสนิทกำลังไต่ลงมาจากระเบียงห้องพักที่อยู่ชั้นบน

‘ตุ้บ’ เสียงดังเบาๆ ที่ระเบียงด้านหลังของห้องพักสุดหรูห้องหนึ่ง บุคคลนิรนามยืนแอบอยู่มุมประตูหลัง มือหนึ่งยกขึ้นปัดฝุ่นออกจากใบหน้าที่ถูกปกปิดไว้

ยังหวิวไม่หายตอนตัดสินใจปีนลงมาจากระเบียงดาดฟ้าชั้นบน ยิ่งช่วงที่เหลียวมองลงไปเบื้องล่าง แม้สภาพอากาศจะทำให้ทัศนียภาพขมุกขมัว แต่เมื่อสำนึกได้ว่าตัวเองกำลังอยู่บนความสูงของตึกยี่สิบชั้น นั่นทำให้แข้งขาพานจะไม่มีแรง แต่เพื่อความอยู่รอด ต่อให้เจออุปสรรคมากกว่านี้ก็ต้องสู้

ระหว่างที่กำลังคิดหาทางออกไปจากบริเวณนี้ ดวงตาคู่คมก็มองลอดร่องของผ้าม่านหนักเข้าไปด้านใน ดวงไฟเปิดสลัวตรงบริเวณที่เป็นห้องนั่งเล่น ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่ในห้อง ซึ่งนั่นถือเป็นโชคดีที่จะสามารถหาทางหลบออกไปจากห้องนี้ได้อย่างปลอดภัย แต่เวลานี้ฝุ่นทรายเริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วอากาศ จากเดิมที่ใช้ผ้าคลุมปิดปากปิดจมูกเริ่มรู้สึกอึดอัดมากยิ่งขึ้น

และเมื่อลองเลื่อนประตูกระจกออกก็ปรากฏว่ามันไม่ได้ล็อก วินาทีนั้นไม่รอช้า ค่อยๆ แทรกตัวผ่านบานประตูกระจกที่เปิดแง้มเพียงแค่ให้ลำตัวลอดผ่านเข้าไปภายใน อุณหภูมิห้องเย็นฉ่ำทั้งที่ไม่น่าจะมีใครอยู่ ทุกอย่างเงียบเชียบ ไม่มีกระทั่งเสียงฝีเท้าหรือการสนทนา

ผู้บุกรุกกวาดสายตามองไปทั่วห้องที่ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหราราคาแพง แต่ทว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งชื่นชมความงดงาม ตลอดเวลาสายตาคอยสอดส่องเผื่อมีใครอยู่ในห้อง แน่นอนว่าถ้าถูกจับได้อนาคตคงหนีไม่พ้นคุกของเมืองดูไบ ซึ่งกฎหมายที่นี่เข้มงวดมากเรื่องการก่ออาชญากรรมหรือโจรกรรม...แต่นี่ไม่ใช่ เป้าหมายของการลอบเข้ามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อฉกชิงทรัพย์สินมีค่าของใคร

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ในห้องควบคุมกำลังติดต่อคอฟมันด้วยน้ำเสียงรีบเร่ง เมื่อกล้องวงจรปิดจับภาพบุคคลต้องสงสัยได้ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ยังเห็นเงาดำๆ เคลื่อนไหวอยู่บริเวณระเบียงดาดฟ้าซึ่งเชื่อมต่อกับทางเดินฉุกเฉินเมื่อเวลาประมาณห้านาฬิกาเศษ ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่พายุลามมาทางนี้พอดี

สิ้นคำรายงานของเจ้าหน้าที่ คอฟมันทำหน้าเคร่งขรึม รีบเดินทางไปยังห้องควบคุมเพื่อขอดูภาพจากกล้องวงจรดังกล่าว พร้อมกันนั้นก็โทรศัพท์สั่งให้บอดี้การ์ดที่อยู่หน้าห้องคอยคุ้มกันรีฮานอย่างแน่นหนา หากมีบุคคลหรือเหตุการณ์ต้องสงสัยให้แจ้งเขาโดยทันที

ภายในห้องของรีฮาน นักธุรกิจหนุ่มกำลังรู้สึกวูบวาบรุ่มร้อนราวกับเลือดในกายจะปะทุ แม้ภายในห้องจะเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ แต่นั่นไม่ช่วยให้บรรเทาความรู้สึกดังกล่าวไปได้ หลังวางสายจากฮันน่าเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าไปอาบน้ำ อย่างไรเสียวันนี้เธอคงช่วยให้เขาผ่อนคลายและหายจากอาการที่เป็นอยู่ได้แน่

ในขณะนั้น ด้านผู้บุกรุกค่อยๆ ชะโงกหน้าออกมาจากมุมโซฟากลางห้องนั่งเล่นที่ประดับไปด้วยม่านราตรีสีน้ำตาลทอง พอเห็นว่าไม่มีใครจึงลุกวิ่งออกมาจนถึงมุมประตูโค้งที่เปิดโล่งจนมองเห็นว่าประตูอีกฝั่งนั้นเปิดอ้าอยู่ ภายในเงียบเชียบปราศจากสิ่งมีชีวิต ทุกฝีเท้านั้นเต็มไปด้วยความระมัดระวัง หากผ่านจากห้องดังกล่าวไปได้ก็จะพบประตูทางออก และเมื่อนั้นโอกาสรอดก็จะมีมากขึ้น

จากประตูไม้แกะสลักเนื้อดีจนถึงจุดที่ยืนอยู่ห่างกันไม่ถึงยี่สิบก้าว มือหนึ่งขยับผ้าคลุมหน้าให้กระชับก่อนค่อยๆ ชะโงกหน้าออกมาจากมุมกำแพง เมื่อมองซ้ายมองขวาจนมั่นใจว่าปลอดภัยแล้วจึงวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเหลียวกลับไปก็สะดุดกับประตูห้องหนึ่งซึ่งเปิดแง้มไว้อย่างน่าสงสัย

หรือว่าจะมีคนอยู่?

มือข้างที่ใส่ถุงมือผลักเบาๆ ไปที่ประตูบานดังกล่าวจนเปิดกว้างขึ้นอีกนิด ภายในเป็นพื้นที่ของห้องน้ำซึ่งกว้างขวางโอ่โถง และเมื่อพิจารณาแล้วว่าไม่มีอะไรน่าสนใจจึงได้ถอยออกมาห่างๆ ทว่าเกิดสะดุดตากับรอยเปียกที่ประทับอยู่บนผ้าเช็ดเท้า จึงสันนิษฐานว่าเจ้าของห้องอาจจะเพิ่งกลับออกไป

ในที่สุดก็ถึงประตูทางออก แต่ขณะที่กำลังจะปลดล็อกก็ได้ยินเสียงคนข้างนอกคุยกัน มันเป็นเสียงของผู้ชายไม่ต่ำกว่าสองคนกำลังสนทนากันเป็นภาษาอาหรับอ่าว ซึ่งฟังจากด้านในไม่ค่อยจะชัดนักจึงจับใจความไม่ได้

กึก!

รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างจ่ออยู่ที่ท้ายทอย วินาทีนั้นหัวใจกระตุกวาบเมื่อตระหนักว่ากำลังถูกจับกุม คำถามที่ล่วงพ้นออกมาจากปากใครก็ตามที่มีน้ำเสียงเข้มแกมดุดัน ไม่มีโอกาสที่จะหันไปมองหน้า แขนใหญ่และหนาหนักก็โอบรัดรอบคอจนแทบไม่ได้จังหวะหายใจ

“แกเป็นใคร?!...เข้ามาในห้องฉันต้องการอะไร?!” คำถามที่ฟังดูคาดคั้น เสียงห้าวกังวานและทรงอำนาจ เมื่อเห็นผู้ร้ายไม่ตอบจึงกระชากและผลักไปติดกำแพงจนอีกฝ่ายเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บ

“โอ๊ย!” ร่างเบากระแทกผนังวอลเปเปอร์เสียงดัง เพิ่งมีโอกาสได้เห็นเจ้าของห้องเต็มสองตาว่าเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้ม คิ้วหนาจมูกโด่งเป็นสันโดดเด่น ปลายคางเป็นร่องเล็กน้อยแลเห็นไรเคราบางๆ

เขากำลังจ้องมองมาด้วยแววตาระคนสงสัย เพราะนี่มันเป็นเสียงผู้หญิงชัดๆ

ขณะเดียวกัน บรรดาบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านนอกพอได้ยินเสียงเอะอะก็เคาะประตูรัว ตามมาด้วยเสียงชายฉกรรจ์ตะโกนผ่านมาอีกด้านของผนัง เสียงห้าวของใครสักคนซักไซ้ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าของห้องจึงตะโกนตอบไปว่ามีคนร้ายลอบเข้ามา

รีฮานเอื้อมมือไปปลดล็อกประตูให้คนด้านนอก ขณะที่ปลายกระบอกปืนก็ยังเล็งอยู่ที่ขมับของผู้บุกรุก เรียกได้ว่าขยับเพียงนิดเดียว ปลายนิ้วที่เกี่ยวพร้อมอยู่ในช่องไกก็สามารถลั่นสังหารเธอได้ทันที

วินาทีนั้นสถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียด คนถูกจับได้รีบปฏิเสธว่าตนไม่ใช่คนร้าย ถึงตอนนี้เจ้าของห้องจึงมั่นใจแล้วว่าเธอเป็นสตรีอย่างไม่ต้องสงสัย

ผ้าคลุมหน้าสีดำถูกกระชากออก เป็นจังหวะเดียวกับที่เหล่าบอดี้การ์ดพากันกรูเข้ามา และเมื่อคนเหล่านี้ได้เห็นใบหน้าของผู้บุกรุกเต็มตาก็ถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย หากแต่ปากปืนทุกกระบอกก็ยังเล็งมาที่ร่างของหญิงสาวเป็นจุดเดียว

“Who are you?!” รีฮานข่มเสียงต่ำ ขณะที่สายตาของคนอื่นๆ ก็จับจ้องมาที่ใบหน้าของเธอซึ่งพยายามจะเบือนหลบไปทางอื่น แต่เจ้าของอาวุธสั่งให้เธอเงยหน้า พร้อมกันนั้นก็เอาปากกระบอกปืนเชยคางเธอขึ้นมาเพื่อมองหน้าให้ชัดๆ

“ฉันเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อนรึเปล่า?” เขาถามเหมือนกระซิบกับตัวเอง พลันยกมือสั่งให้บอดี้การ์ดลดปืนลงและออกไปรอด้านนอก กำชับว่าถ้าไม่ได้สั่งก็ไม่ต้องเข้ามา ซึ่งทุกคนก็ทำตามอย่างว่าง่าย

รีฮานสั่งให้คนไปตามคอฟมันมาที่นี่ ซึ่งหลังจากทราบเรื่อง หัวหน้าบอดี้การ์ดหนุ่มก็รีบออกมาจากห้องควบคุมทันที

หลังจากเหล่าบอดี้การ์ดออกไปจนหมดแล้ว ภายในห้องขนาดใหญ่ก็เหลือเพียงแค่นักธุรกิจหนุ่มกับหญิงสาวนิรนาม รีฮานยิ่งสะดุดตาและคลับคล้ายคลับคลากับเจ้าของใบหน้าที่ยืนนิ่ง แน่นอนว่าในขณะที่สายตาเพ่งเล็งไปยังเธอ เขาก็พยายามทบทวนความจำไปด้วย ซึ่งนั่นมันก็ไม่ได้นานจนเกินไป เพราะจากวันนั้นถึงวันนี้ ช่วงเวลาผ่านพ้นไปเพียงแค่ไม่กี่เดือน

รีฮานจำเธอได้แล้ว

ไม่แปลกเลยที่เขาควรจะจดจำได้ทั้งหน้าตาและท่าทางเกรี้ยวกราดของสตรีที่บริภาษสาดด่าเขาอย่างแสบสัน มุมปากหยักขึ้นเล็กน้อยราวกับสมหวังในบางสิ่ง และยิ่งสะใจมากไปกว่านั้นเมื่อเธอจำเขาไม่ได้

ในวันที่เกิดพายุทราย เขาและคอฟมันใช้ผ้าปิดบังใบหน้าไว้เธอจึงไม่เห็นใบหน้าพวกเขา ในขณะที่สองหนุ่มเห็นใบหน้าหวานรูปไข่นี้อย่างชัดเจนเต็มสองตา

“ฮึ่! เป็นเธอจริงๆ” เขาทำเสียงขึ้นจมูก หากอีกฝ่ายเริ่มใจคอไม่ดี

“คุณพูดอะไร ฉันไม่รู้จักคุณ...ได้โปรด อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันไม่ได้เจตนาจะบุกรุกหรือประสงค์ร้ายอะไรกับคุณทั้งนั้น จริงๆ นะ” หญิงสาวส่งสายตาวิงวอน เพราะคิดว่าบางครั้งการโอนอ่อนอาจช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่รีฮานยังลดปืนลงมาในระดับเอวแล้วจ่อประชิด มืออีกข้างดันร่างบางเดินเข้าไปยังห้องนั่งเล่น

สิ่งเดียวที่ผู้บุกรุกสาวทำได้ในขณะนี้คือปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ที่ควบคุมตัวเธอไว้ การขัดขืนโดยไม่ประเมินสถานการณ์ให้ดีมีความเสี่ยงสูง หลายครั้งที่พยายามหันมามองหน้าเขาด้วยความคับข้องใจ ทำนองรู้ได้อย่างไรว่าเธอลอบเข้ามาในห้องนี้ ซึ่งดูเหมือนอีกฝ่ายคงกำลังจับสังเกตอยู่เช่นกันจึงชิงอธิบาย

“ไม่ต้องแปลกใจหรอกที่ทำไมฉันถึงรู้ว่ามีคนลอบเข้ามา...ถ้าเธอเป็นคนที่อยู่ในห้องแล้วได้กลิ่นทรายในขณะที่ห้องถูกปิดอย่างมิดชิดเธอก็คงสงสัยเหมือนกัน อีกอย่างขณะอยู่ในห้องน้ำฉันก็ได้ยินเสียงที่ระเบียง เธออยู่ข้างนอกท่ามกลางพายุเธออาจจะไม่ได้ยิน แต่บังเอิญว่าฉันอยู่ด้านในห้องที่ถูกปิดกั้นไปเสียทุกด้าน”

หญิงสาวฟังแล้วนึกไปถึงตอนที่พบรอยเปียกบนพรมเช็ดเท้า นั่นแสดงว่าเขาไหวตัวทันแต่แรก ชายหนุ่มแอบซ่อนอยู่หลังประตูบานนั้นโดยที่เธอไม่ทันได้เฉลียวใจ

ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ

คิดแล้วก็เสียดายที่ตัวเองพลาดท่าถูกจับได้ แต่กระนั้นก็ยังไม่หมดหวังที่จะหาทางออกไปจากที่นี่ หญิงสาวได้กลิ่นไวน์โชยมาจากคนข้างๆ จึงสังเกตว่าบางจังหวะเขาเองคล้ายกับมีอาการมึน รายนี้จึงคิดหาวิธีหว่านล้อมให้อีกฝ่ายใจอ่อน เพราะถ้าการต่อรองสำเร็จคืนนี้เธอก็รอด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel