บท
ตั้งค่า

บทนำ

ท่าอากาศยานนานาชาติเมืองดูไบ

กระแสลมแรงราวหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังแผ่ขยายครอบคลุมทั่วผืนฟ้ามหานครใหญ่ ท่ามกลางอุณหภูมิที่ทวีความร้อนขึ้นถึงห้าสิบองศาเซลเซียส เสียงครืนก่อกำเนิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากทางทิศตะวันออกของรันเวย์

ด้านนอกอาคารผู้โดยสาร ทั้งชาวอาหรับและชาวต่างชาติ กำลังแหงนหน้ามองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเหนือน่านฟ้าของเมืองดูไบ หลายคนเริ่มวิ่งเข้าหาที่กำบัง ในขณะที่บางคนยังยืนงงอยู่กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ว่าคืออะไร

“ฮาบูบ1!” เสียงตะโกนโหวกเหวกเป็นภาษาถิ่นดังขึ้นจากเจ้าหน้าที่และพลเมืองของรัฐ ก่อนที่ไม่นานนัก กำแพงทรายสูงกว่าหกสิบฟุตที่ก่อตัวขึ้นก็เคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว

ระยะเวลาไม่กี่อึดใจ ตึกสูงเสียดฟ้าของเมืองดูไบก็ถูกกลืนหาย ท้องฟ้าที่ยังพอมีแสงสว่างกำลังถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นทรายและไอร้อนจากพายุลูกดังกล่าว

ในขณะนั้นชาวอาหรับที่อยู่ด้านนอกเริ่มใช้ผ้าคลุมศีรษะปิดหน้าและจมูก เพื่อไม่ให้หายใจเอาฝุ่นและละอองทรายเข้าไป ผู้คนต่างวิ่งเข้าหาที่กำบัง บ้างวิ่งไปหลบยังอาคารผู้โดยสารของสนามบิน ซึ่งขณะนี้กำลังจะถูกกลืนหายเข้าไปในพายุทรายด้วยเช่นกัน

พายุทรายเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่เคยศิวิไลซ์ให้กลายเป็นดินแดนแห่งความมืดดำไปในชั่วพริบตา

“สงสัยคงจะต้องติดอยู่ในรถนี่อีกสักพักล่ะมั้งคอฟมัน จนกว่าพายุทรายจะสงบ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบาะข้างคนขับภายในห้องโดยสารของรถคาดิแลคสุดหรูที่เพิ่งเลี้ยวเข้ามาจอดในลานจอดรถสนามบินได้ไม่ถึงห้านาที

“ครับ” คนที่มีตำแหน่งเป็นทั้งผู้ช่วยและหัวหน้าบอดี้การ์ดพยักหน้ารับ แล้วจึงรีบดับเครื่องยนต์พร้อมกับปิดช่องระบายอากาศทันที

ตอนนี้อาคารผู้โดยสารขนาดใหญ่ติดอันดับโลกกำลังถูกพายุทรายปกคลุมจนมองไม่เห็นตัวอาคาร และอีกไม่นานฝุ่นทรายดังกล่าวคงจะพัดมาถึงยังจุดที่จอดรถอยู่

คอฟมันมองออกไปนอกกระจก ทัศนวิสัยในการมองเห็นเริ่มแย่ลง สภาพแวดล้อมรอบเมืองค่อยๆ ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นทราย ซึ่งคาดการณ์ว่าพายุครั้งนี้น่าจะกินเวลาร่วมชั่วโมง

“ไม่รู้เชคซาราฟจะลงจากเครื่องบินส่วนตัวได้รึยังนะครับ” หนุ่มลูกครึ่งเยอรมันนึกพะวง

คนเป็นนายฉายยิ้มเล็กน้อย นัยน์ตาคู่สวยเป็นประกายสีน้ำตาลอ่อน พูดติดตลกว่ารายนั้นอาจจะบินอ้อมไปเที่ยวรัฐใกล้ๆ สักครึ่งค่อนชั่วโมงก็ได้

จังหวะนั้นเอง คอฟมันเห็นอะไรตะคุ่มอยู่ข้างประตูรถคันข้างหน้าจึงได้บอกผู้เป็นนาย รีฮานมองฝ่าฝุ่นทรายที่ยังบางเบาออกไปด้านนอก ดวงตาคู่คมฉายแววพินิจพิเคราะห์กระทั่งแน่ใจว่าที่เห็นเป็นสิ่งมีชีวิต และไม่แน่ว่าร่างเล็กๆ นั้นอาจจะเป็นเด็กหรือสตรีก็ได้

ว่าแล้วมือใหญ่ก็เอาชายผ้ากุตร้า2คลุมหน้าทันที พร้อมกันนั้นก็ชี้มือไปด้านหน้า ส่งสัญญาณบอกคอฟมันเป็นนัยๆ ว่าเขาก็ควรจะเอาผ้าคลุมหน้าไว้เช่นกัน รีฮานมีความคิดที่จะเปิดประตูรถออกไปด้านนอก

“ให้ผมไปเองดีกว่าครับ” หัวหน้าบอดี้การ์ดอาสาและทำท่าจะตามไป แต่รีฮานยกมือห้าม รายนั้นเปิดประตูพรวด และปิดด้วยความรวดเร็วก่อนที่อณูทรายนับล้านจะแทรกซึมเข้ามาในห้องโดยสารจนหายใจไม่ออก

ด้านนอกกระแสลมแรงจนต้องใช้มือจับผ้าคลุมหน้าที่สะบัดไปมา ทั้งยังหอบเอาอากาศร้อนอบอ้าวมาปะทะจนรู้สึกอึดอัดหายใจลำบาก ฝุ่นทรายละเอียดที่ปลิวเข้าหน้าทำให้ชายหนุ่มต้องยกมือขึ้นปิดปากปิดจมูก

ดวงตาคู่สวยหรี่มองฝ่าพายุไปยังร่างที่ซุกอยู่ข้างประตูรถแวน แขนข้างหนึ่งยกขึ้นกำบังฝุ่นและลม พอเข้าไปใกล้ถึงรู้สึกได้ว่าคนผู้นี้มีอาการผิดปกติ

...ใช่แน่แล้ว ร่างบางๆ ที่เห็นนั่งคู้อยู่ตรงนั้นเป็นหญิงสาว รีฮานถอดเสื้อคลุมออกห่มร่างเธอไว้ แต่สตรีคนดังกล่าวมีท่าทีตกใจและเอะอะโวยวายไม่เป็นภาษา

“I’ll help you leave!!”

“Calm down!, I'll help you leave from here!”

“No!” หญิงสาวปฏิเสธ

“Calm down!”

ชายหนุ่มพยายามเสนอความช่วยเหลือหลายครั้ง แต่เธอก็ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังตกใจ

รีฮานรอไม่ไหว เขาเองก็กำลังตกอยู่ในสภาวะที่ลำบาก ท่ามกลางพายุทรายที่กำลังโหมกระหน่ำเข้ามา ร่างสูงใหญ่ตัดสินใจฉุดเธอขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนและพาก้มต่ำๆ ไปยังรถ ตลอดทางก็รู้สึกถึงแรงต่อต้านขัดขืนเป็นพักๆ แต่ไม่นานก็อ่อนโอนแน่นิ่งจนถึงกับทรุดฮวบลงข้างๆ เขา

“เฮ้! คุณ!” รีฮานรีบช้อนร่างดังกล่าววิ่งกลับมาที่รถ ซึ่งขณะนั้นคอฟมันฝ่าฝืนคำสั่งออกมายืนคอยเขาด้านนอกแล้ว

เมื่อเห็นผู้เป็นนายอุ้มร่างของสตรีนางหนึ่งมาก็รีบเปิดประตูรถให้ รีฮานวางร่างหญิงสาวปริศนาไว้เบาะหลังก่อนที่ตัวเองจะกลับมานั่งประจำที่ของตน สองหนุ่มปัดทรายที่เกาะตามผ้าและเนื้อตัวให้ร่วงกราวไปที่พื้นรถ แต่ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรออกมาก็ดูท่าว่าคนข้างหลังจะเริ่มรู้สึกตัว

“How do you feel?” รีฮานหันกลับไปเมื่อได้ยินเสียงเธอขยับ แต่ทันทีที่รู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในรถกับผู้ชายแปลกหน้าที่คลุมผ้ามิดชิดก็กรีดร้องจนคนข้างหน้าสะดุ้ง

“Who are you?!” หญิงสาวรีบผุดตัวนั่งตรงอย่างหวาดๆ ใบหน้าเรียวรูปไข่มองมาที่ชายแปลกหน้าอย่างระแวง

รีฮานและคอฟมันมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ สงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายต้องตกใจกลัวขนาดนี้ ทั้งที่เขาก็พยายามจะช่วยหล่อน ซึ่งท่าทางของหล่อนที่เขาพูดถึงนั้นก็ดูแปลก หวาดระแวงเหมือนกับไม่ไว้ใจใคร

และในขณะที่สองหนุ่มกำลังปรึกษาหารือว่าจะทำยังไงกับเธอต่อไป หญิงสาวก็แทรกขึ้นมา

“พวกคุณตามฉันมาทำไม ต้องการอะไร?!”

รีฮานและคอฟมันถึงกับหันขวับ ที่แท้หล่อนพูดภาษาอาหรับได้ แต่ไฉนไม่ปริปากพูดตั้งแต่แรก

“เปล่าครับ เราไม่ได้ตามคุณมา คุณผู้หญิง” คอฟมันอธิบายอย่างใจเย็น หากฝ่ายหญิงก็ยังคาดคั้น

“พวกคุณจับฉันมาทำไม?!”

รีฮานจ้องตาเขม็ง หญิงสาวกล้าใช้คำว่า ‘จับ’ ทั้งๆ ที่เขาอุตส่าห์หวังดีให้ความช่วยเหลือ ซึ่งถ้าตอนนั้นไม่ได้เขา เธออาจสำลักฝุ่นหรือไม่ก็หมดแรงจนหายใจไม่ออกตายคาลานจอดรถไปแล้วก็ได้

“ผู้หญิงคนนี้ท่าจะเพี้ยนนะคอฟมัน...เสียดาย หน้าตาท่าทางก็ดี” รีฮานส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ ซึ่งพอหญิงสาวได้ยินก็เสียงแหวใส่ทันที

“นี่คุณว่าไงนะ?!”

“ฮึ่! มีแรงเข้าหน่อยก็เอาเชียว รู้อย่างนี้ไม่ลำบากออกไปช่วยมาซะก็ดี” รีฮานพูดอย่างนึกตำหนิ อีกฝ่ายแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นลืมตัวยกมือขึ้นชี้หน้าเขา

“นี่คุณ...”

“นี่เธอกล้าดียังไงมาชี้หน้าฉัน” ร่างสูงใหญ่ก็เริ่มไม่พอใจเช่นกัน

คอฟมันต้องคอยห้ามและเตือนสติรีฮานให้ใจเย็น เวลานี้แค่อากาศข้างนอกก็ร้อนมากพออยู่แล้ว อย่าให้ข้างในต้องระอุเพราะการปะทะอารมณ์กันอีกเลย

จังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์ของรีฮานดังขึ้น ชายหนุ่มจึงเบนสายตาไปจากคู่กรณี ด้านนอกพายุเริ่มซาแล้ว แต่ฝุ่นทรายที่คลุ้งอยู่ในอากาศยังคงลอยวนและไม่จางหายไปง่ายๆ

ทัศนวิสัยยังคงหม่นมัวทั่วทั้งเมืองเช่นนี้ไปสักพัก คอฟมันมองออกไปนอกหน้าต่างและเอี้ยวตัวไปทางเบาะหลัง พร้อมกันนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าในเสื้อคลุมส่งให้หญิงสาว เธออิดออดลังเลเหมือนไม่ไว้ใจ กระทั่งเขาพยักหน้าและยิ้มน้อยๆ ด้วยแววตาที่ดูอ่อนโยนและเป็นมิตรกว่าอีกคนหนึ่ง เธอจึงยอมรับมันเอาไว้

มือเล็กยกขึ้นลูบไปที่จมูกและแก้ม รู้สึกได้ถึงอณูทรายละเอียดที่ค่อยๆ ฟุ้งออกมา โดยขณะที่ปัดเอาเศษฝุ่นออกจากใบหน้าและเนื้อตัวก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนข้างหน้าดังขึ้น ฟังจากน้ำเสียง เขาเหมือนคนที่คอยแต่จะหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา

“เชคซาราฟนั่งเครื่องไปลงที่ซาร์จ้าห์แล้ว งั้นเราก็กลับ...แต่เดี๋ยว จะเอาไงกับแม่นี่ดี สงบลงไปเยอะแล้วนี่ ท่าจะหายเพี้ยน” รีฮานแจงเสียงขุ่นนิดๆ พอนึกได้ถึงคนข้างหลัง แต่อีกฝ่ายพอได้ยินก็ถึงกับจ้องหน้าเขม็ง

“ฉันไม่ได้เพี้ยนนะ ฉันแค่ตกใจนึกว่าพวกคุณเป็นคนร้าย” เธอโพล่ง เล่นเอารีฮานถึงกับต้องหันกลับมา

“หืม คนร้าย?!...หน้าตาท่าทางพวกฉันมันให้ขนาดนั้นเชียวเหรอ แล้วโจรที่ไหนขับคาดิแลคห๊ะ?”

“ก็ฉันไม่รู้นี่นา พายุขนาดนั้นใครจะไปทันสังเกตเห็น แค่ยืนก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว” ร่างบางเอ่ยเถียง คอฟมันได้ยินดังนั้นก็อมยิ้ม

ก่อนที่คารมเฉือดเฉือนของทั้งสองฝ่ายจะทำให้ภายในห้องโดยสารร้อนระอุ หัวหน้าบอดี้การ์ดหนุ่มจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย โดยถามเรื่องที่มีคนตามเธอมา ซึ่งฝ่ายหญิงก็บอกว่ามีคนพยายามสะกดรอยตามเธอมาตั้งแต่อยู่บนเครื่องบิน

“จริงๆ นะคะ” เธอพยายามยืนยันกับคอฟมัน เพราะดูท่าชายดังกล่าวจะเข้าใจและรู้ฟังกว่าคนข้างๆ หากแต่รีฮานได้ยินแล้วถึงกับอดแทรกไม่ได้

“แน่ใจนะว่าเขาสะกดรอยตามเธอ? ดูจากสภาพแล้วก็ไม่น่ามีอะไรให้ปล้นหรือลักพาตัว จะว่าไป หน้าตาก็งั้นๆ ไม่ได้สวยถึงขั้นต้องมีหนุ่มๆ มาตามตื๊อ” รีฮานพูดพลางเหยียดยิ้มมุมปากนิดๆ ทว่าหญิงสาวกับรู้สึกว่านั่นคือการดูถูก

“Shut up!!...หุบปากพล่อยๆ ของคุณเดี๋ยวนี้เลยนะ!” เสียงแหลมจัดของหญิงสาวที่อยู่เบาะนั่งตอนท้ายทำเอาคอฟมันถึงกับสะดุ้ง

เขาเกือบจะควบคุมสถานการณ์ได้อยู่แล้ว แต่เจ้านายกลับชักใบให้เรือเสีย ยิ่งเธอออกอาการเกรี้ยวกราดขนาดนี้ เดาไม่ยากว่ารีฮานคงอารมณ์ขึ้นไม่น้อย ลองมีใครสักคนมาออกคำสั่งกับเขา ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้วล่ะก็ นึกไม่ออกเลยว่าชายหนุ่มจะโกรธขนาดไหน หนำซ้ำคนที่ตวาดใส่ยังเป็นหญิงแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้

“นี่เธอกล้าดียังไงมาขึ้นเสียงกับฉัน รู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร?”

“จะเป็นใครก็ช่างสิ ไม่ใช่ญาติพี่น้องฉันก็แล้วกัน!” พูดจบก็ทำท่าจะเปิดประตูรถ รีฮานปรี๊ดขึ้นมาทันที รับรู้ได้ถึงเส้นโลหิตที่ขมับเต้นตุบๆ ชายหนุ่มคว้าข้อมือเธอไว้แล้วเอ่ยถามเสียงเข้ม

“เดี๋ยว! จะไปไหน?!”

“ฉันจะลง...ตรงนี้!”

“ดี! งั้นเชิญ!” เจ้าของรถกล่าวสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงดุดันพร้อมกับปล่อยมือบางให้เป็นอิสระ ข้างนอกฝุ่นทรายเริ่มเบาลง ผู้คนก็เริ่มทยอยออกมากันบ้างแล้ว

แต่ก่อนที่หญิงสาวจะไป เธอหันกลับมากล่าวขอบคุณคอฟมันและยิ้มให้เขาก่อนเปิดประตูก้าวลงจากรถ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้รีฮานโกรธหนักเข้าไปอีก เพราะอีกฝ่ายไม่เพียงแต่ไม่สำนึก ยังทำเหมือนจะฉีกหน้าด้วยการหันไปขอบอกขอบใจบอดี้การ์ดของเขาแทน

หน็อย...ไม่ใช่เขาหรอกหรือที่อุตส่าห์เปิดประตูฝ่าพายุทรายลงไปช่วยเธอ ไม่ใช่เขาหรอกหรือที่เป็นคนอุ้มเธอขึ้นมาบนรถ คอฟมันทำอะไรบ้างนอกจากคอยเปิดประตูให้...ฮึ่! คนเนรคุณ

“นี่คุณรีฮานจะปล่อยให้เธอไปอย่างนั้นจริงๆ เหรอครับ? แล้วถ้าเกิดว่ามีคนสะกดรอยตามอย่างที่เธอว่า...” ดูเหมือนคอฟมันจะแสดงอาการเห็นอกเห็นใจหญิงสาวนิรนามรายนี้จนออกนอกหน้า แต่รีฮานนั่งนิ่งไม่ยี่หระ เพราะยังฝังใจกับคำพูดระคายหูที่เธอตอกใส่หน้าไม่หาย

“ก็เรื่องของเธอสิ จะไปไหนก็ไป จะเป็นอะไรก็ช่าง ไม่ใช่ญาติพี่น้องฉันซักหน่อย” เขาย้อน ว่าแล้วก็สั่งให้คนสนิทออกรถ เพราะวันนี้เขาไม่มีอารมณ์จะไปไหนต่อทั้งนั้น

หัวหน้าบอดี้การ์ดหนุ่มลูกครึ่งเยอรมันก็ทำตามคำสั่ง ตลอดเวลาคอฟมันสังเกตว่ารีฮานนั่งหน้าบึ้ง ไม่พูดไม่จาอะไรกระทั่งสักพักใหญ่ที่เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก โทษว่าเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นที่ทำเขาอารมณ์เสีย แต่คอฟมันแย้ง

“ไม่ใช่หรอกครับ” เขาหันมาอมยิ้มแล้วมองไปที่ใบหน้าคนเป็นนาย

“ทำไม?” คนถูกค้านทำหน้ายัวะอย่างข้องใจ

“ก็คุณรีฮานยังไม่ได้เอาผ้าคลุมหน้าออก ไม่แปลกหรอกครับที่ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ ก็ทั้งฝุ่นทั้งทรายเกาะตามผ้าเต็มไปหมด”

สิ้นคำพูดคนสนิท รีฮานรีบปลดผ้าคลุมหน้าออกและหันไปทำไม่รู้ไม่ชี้เป็นการแก้เก้อ อีกทั้งยังทำเป็นพูดแก้ตัว

“ถึงว่าสิ อึดอัดจะแย่ ก็เพราะมัวแต่เถียงกับยัยเพี้ยนนั่นอยู่เลยลืมเสียหมด” นึกถึงตอนนั้นแล้วยังแค้นไม่หาย ตอนที่เธอหาว่าเขาเป็นโจร เขาเลยว่าเธอกลับให้บ้าง ซึ่งพอพูดเรื่องนี้ให้คอฟมันฟัง บอดี้การ์ดหนุ่มเลยตั้งข้อสงสัย

“ตอนที่คุณว่าเธอหน้าตางั้นๆ คุณคิดแบบนั้นจริงเหรอครับ แต่ผมกลับมองว่าเธอสวยใช้ได้เลยนะ” หนุ่มลูกครึ่งซัก

“ไม่รู้” รีฮานตอบเสียงห้วน เสริมอีกว่าเขาไม่รู้ไม่สนอะไรทั้งนั้น “ก็ขนาดฉันหล่อขนาดนี้ยังหาว่าเป็นโจรซะได้” เจ้าตัวแค้น

คอฟมันถึงหลุดยิ้ม รู้ว่าจริงๆ แล้วเจ้านายก็คงคิดเหมือนกันว่าเธอสวยแต่ไม่ยอมพูดตรงๆ

“ก็ตอนนั้นคุณปิดหน้าปิดตามิดชิด คงไม่มีใครเห็นความหล่อที่คุณซ่อนเอาไว้ได้หรอกครับ” หัวหน้าบอดี้การ์ดหนุ่มกลั้นหัวเราะ รีฮานถึงเหล่หางตาคมมองปราดเข้าให้

“ถามจริงเหอะ นี่นายชมหรือว่าแกล้งประชดฉันกันแน่หา...คอฟมัน?”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel