บทที่ 4
หลังจากที่ใช้เวลาในการเดินทาง จากประเทศไทยมาที่อาณาจักรอาซาฮัสนานนับสิบชั่วโมง สุดท้ายการเดินทางก็สิ้นสุดลง การเดินทางในครั้งนี้ชีคเบซาลมีคำสั่งให้ซาลีย์ องครักษ์คนสนิทของเขาและผู้ติดตามอีกสองคนเดินทางมารับพศินและศิญากรณ์ที่เมืองไทย เพื่อคอยอำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง ทันทีที่เครื่องบินลงจอด ซาลีย์และผู้ติดตามก็นำพศินและบุตรสาวออกมาทางช่องทางวีไอพี ที่มีไว้สำหรับต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนหรือพิธีการใดใด เหมือนเช่นนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เพราะบุคคลทั้งสองมาเยือนที่นี่ในฐานะ “อาคันตุกะ” เมื่อเดินออกมาจากตัวอาคารของสนามบิน ก็พบว่ามีรถลีมูซีนสีดำคันยาวจอดรออยู่พร้อมกับรถเบนซ์อีกหนึ่งคัน ซาลีย์เป็นคนเปิดประตูรถให้พศินและบุตรสาวของเขาขึ้นไปนั่ง เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงเดินไปนั่งคู่กับคนขับ พร้อมทั้งสั่งให้คนรถขับไปส่งที่เรือนรับรอง
ตลอดเส้นทางที่รถขับผ่าน...ศิญากรณ์สังเกตสภาพบ้านเมืองของอาณาจักรอาซาฮัสไปด้วย ที่นี่มีความเจริญไม่แพ้ประเทศอื่นๆ หาใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างที่เธอเข้าใจ เพราะมีกลิ่นอายของอารยธรรมตะวันตก ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดและจังก์ฟู้ดยี่ห้อดังต่างก็พากันมาเปิดสาขาที่นี่ อีกทั้งยังมีไนท์คลับเรียงรายให้เห็นตลอดสองข้างทาง ที่สำคัญไปกว่านั้นที่นี่ยังมีห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่โตโอ่อ่าหรูหรา รวมไปถึงโรงแรมหรูระดับห้าดาวอีกด้วย เรียกได้ว่าห่างไกลคำว่าบ้านป่าเมืองเถื่อนโดยสิ้นเชิง ศิญากรณ์รู้สึกแปลกใจ ไม่น่าเชื่อว่า “อาซาฮัส” จะเจริญและเปิดรับอารยธรรมตะวันตกได้มากถึงเพียงนี้
“พ่อคะไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าที่นี่จะเจริญมากมายขนาดนี้ ไม่ต่างอะไรกับประเทศในแถบตะวันตก ตอนแรกซีญ่ายังนึกว่าเราจะต้องมาเจอแต่ดินแดนทะเลทรายที่แห้งแล้งซะอีก”
“อาจเป็นเพราะที่นี่คือเมืองหลวงเราจึงเห็นถึงความเจริญรุ่งเรือง อาซาฮัสเป็นอาณาจักรที่เป็นแหล่งรวมความเจริญ พื้นที่ส่วนใหญ่ติดทะเลทรายร้อนระอุ ยกเว้นทางตอนใต้ที่ติดทะเล ส่งผลให้เมืองนี้กลายเป็นมหานครที่ยิ่งใหญ่ ถือได้ว่าเป็นเมืองแห่งขุมทรัพย์กลางทะเลทราย ลุงเบซาลของลูกจึงเลือกเมืองนี้ให้เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงและพัฒนาให้เจริญรุ่งเรืองไม่แพ้ประเทศในแถบยุโรป และที่นี่ยังมีท่าเรือใหญ่ไว้สำหรับชาวต่างชาติที่จะขนส่งสินค้าเข้ามาทำธุรกิจที่อาณาจักรนี้ด้วย รวมถึงยังมีกองคาราวานมากมายที่เดินทางมาทำการค้าที่นี่”
“ทำไมพ่อถึงทราบรายละเอียดเหล่านี้คะ” ศิญากรณ์เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ชีคเบซาลเป็นคนบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้พ่อฟัง”
“หมายความว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พ่อกับลุงเบซาลยังคงติดต่อกันหรือคะ ซีญ่านึกว่าขาดการติดต่อกันไปแล้วซะอีก” หญิงสาวถามด้วยความประหลาดใจ
“เรายังคงติดต่อกันเสมอ และทุกครั้งลุงเบซาลก็จะถามถึงลูก เมื่อใดก็ตามที่ท่านมีโอกาสเดินทางมาทำธุระที่เมืองไทย ท่านก็จะนัดเจอกับพ่อ” พศินชี้แจงให้บุตรสาวฟัง
“เป็นแบบนี้เอง ตอนแรกซีญ่าไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงอยากเดินทางมาที่นี่ ทั้งที่เหตุการณ์ที่พ่อเคยช่วยชีวิตลุงเบซาลมันเกิดขึ้นมานานนับสิบปีแล้ว ที่จริงแล้วพ่อและลุงเบซาลยังคงติดต่อกันมาโดยตลอด”
เมื่อรถเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าเรือนรับรอง พศินและศิญากรณ์ก็เดินลงจากรถ หญิงสาวยืนมองบ้านหลังใหญ่ที่ถูกรายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาชนิด ทำให้บ้านหลังนี้ดูร่มรื่นน่าอยู่ ซาลีย์สั่งให้คนมายกสัมภาระของอาคันตุกะเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็หันมาเชิญบุคคลทั้งสองเข้าไปพบกับเจ้านายของเขาที่ห้องรับรอง เมื่อเข้าไปภายในห้องรับรองศิญากรณ์ก็พบลุงเบซาลยืนรอต้อนรับ ท่านพูดทักทายและสวมกอดบิดาของเธอก่อนจะหันมาทักทายเธอ หญิงสาวยกมือไหว้ลุงเบซาล ชีคเฒ่าพยักหน้าให้แทนการรับไหว้
“อาซาฮัสยินดีต้อนรับ” ชีคเฒ่าเบซาลเอ่ยกับพศินและศิญากรณ์ด้วยรอยยิ้มยินดี ที่บุคคลทั้งสองให้เกียรติมาเยือนที่นี่ตามคำเชิญชวน หลังจากที่ปฏิเสธมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานลุงเบซาลสบายดีหรือคะ”
“ลุงสบายดี ไม่ได้เจอซีญ่าซะนาน หนูโตขึ้นมากและสวยจนลุงจำแทบไม่ได้ การเดินทางเรียบร้อยดีใช่ไหม หวังว่าคงจะไม่มีอะไรติดขัด” ศิญากรณ์ยิ้มรับคำชม
“การเดินทางสะดวกสบายมากเลยค่ะ ขอบคุณลุงเบซาลมากนะคะที่ส่งคนไปคอยดูแลอำนวยความสะดวกให้เราตลอดการเดินทาง”
“ไม่เป็นไรเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เพิ่งจะเดินทางมาถึงคงจะเหนื่อย ซีญ่าจะขึ้นไปพักผ่อนข้างบนก่อนก็ได้นะ ยังพอมีเวลาเหลืออีกสองสามชั่วโมงก่อนจะถึงมื้อค่ำ ถึงเวลามื้อค่ำเมื่อไรลุงจะให้คนขึ้นไปตาม”
“ก็ดีเหมือนกันค่ะ ซีญ่าขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบก็เดินตามคนนำทางออกจากห้องไป ทิ้งให้บิดาและลุงเบซาลพูดคุยกันเพียงลำพัง
ในค่ำคืนนั้นหลังจากทานอาหารมื้อค่ำเสร็จ ศิญากรณ์ก็ขอตัวขึ้นไปพักผ่อน อาจเป็นเพราะเพลียจากการเดินทางจึงหลับไปในเวลาอันรวดเร็ว มารู้สึกตัวตื่นขึ้นกลางดึกเพราะได้ยินเสียงกุกกักของอะไรบางอย่างอยู่ภายในห้องของตนเอง ศิญากรณ์ลืมตาขึ้นมาในความมืด เมื่อปรับสายตาให้ชินกับความมืดได้ เธอพยายามเหลือบสายตามองไปรอบบริเวณห้อง ก็พบกับเงาของใครคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงมาที่เตียงของเธอ ในความมืดทำให้เธอมองเห็นไม่ชัดนักว่าผู้บุกรุกในยามวิกาลนี้คือผู้ใด รู้แต่ว่าเป็นชายร่างสูงที่สวมใส่ชุดสีดำสนิท และมีผ้าสีเดียวกันปิดบังใบหน้าอยู่ ทำให้ต้องเอ่ยปากถาม
“นั่นใคร!? ฉันถามว่าใคร”
แต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบ ทำให้ศิญากรณ์เตรียมอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือ แต่เธอไม่ทันได้ทำเช่นนั้น เพรามีมือใหญ่แข็งแรงตะปบมาที่ปากของเธอ ก่อนที่จะทันได้ร้องขอความช่วยเหลือ หญิงสาวดิ้นรนแต่ดูเหมือนจะสู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้ เขาแข็งแรงกว่าเธอมากนัก
“อย่าร้องนะ...ถ้าร้องขอให้คนช่วยเจอดีแน่”
มีหรือที่คนอย่างศิญากรณ์จะเชื่อฟังคำพูดของชายแปลกหน้า แต่เธอก็พยักหน้าให้เขาทำทีว่ายอมเชื่อฟังเขาแต่โดยดี พอเขาปล่อยมือเธอก็อ้าปากร้องขอความช่วยเหลือทันที และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้เท่าทันความคิดของเธอ เขาจึงแนบริมฝีปากลงมาจุมพิตเธออย่างรุนแรงป่าเถื่อน ทำให้เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเธอดังอู้อี้อยู่เพียงในลำคอ
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากทั้งที่เขามีผ้าคลุมหน้าอยู่ด้วย ไม่น่าเชื่อว่าเขาช่างมีความว่องไวในการเปิดผ้าคลุมหน้ามาจูบเธอ และสวมใส่กลับคืนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
‘แย่แล้ว คนเถื่อนแดนอาหรับที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามาในห้องเรา คงจะไม่ได้เข้ามาข่มขืนเราหรอกนะ อย่าหวังเลยว่าจะทำเช่นนั้นได้ง่ายๆ เพราะเราจะไม่มีวันยอมแน่ คงต้องต่อสู้ดิ้นรนเต็มที่ สู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง’ หญิงสาวได้แต่คิดในใจ
หลังจากที่เขาถอนริมฝีปาก เขาก็เอาผ้าที่เตรียมมาด้วยมาผูกปากของเธออย่างแน่นหนาด้วยความว่องไว หญิงสาวสังเกตการแต่งตัวของเขา เขามีผ้าคลุมที่ศรีษะอย่างชาวอาหรับ แต่ก็เห็นหน้าไม่ชัดเพราะเขามีผ้าปกคลุมใบหน้าไว้ ศิญากรณ์พยายามดิ้นรนเต็มที่พร้อมทั้งคิดหาวิธีที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์อันเลวร้ายนี้
ฉับพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นเหยือกน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง เธอจึงเอื้อมมือไปหยิบแต่อีกฝ่ายเห็นเข้าซะก่อนที่เธอจะทันได้ทำอันตรายเขา ชายปริศนาบิดข้อมือเธออย่างแรง จากนั้นก็มัดมือทั้งสองข้างของเธอไว้อย่างแน่นหนา ก่อนจะคว้าตัวเธอขึ้นพาดบ่าอย่างง่ายดาย เขาแบกเธอเดินออกจากห้องไป หญิงสาวพยายามใช้เท้าทั้งสองข้างของตนเองเตะเขา ทำให้เขาฟาดฝ่ามือลงมาบนบั้นท้ายของเธออย่างแรงถึงสองครั้งติดกัน เจ็บจนน้ำตาร่วงตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครทำร้ายเธอขนาดนี้มาก่อน
‘เขากำลังจะพาเราไปไหน! ไม่มีคนในบ้านตื่นกันสักคนเลยหรือ?’
แล้วใครกันที่กล้ามาทำการอุกอาจเช่นนี้ ภายในบ้านของชีคเบซาล อับดุลลาห์ อาเหม็ด ช่างไม่เกรงกลัวโทษทัณฑ์ซะบ้างเลย หญิงสาวได้แต่คิดในใจว่า
‘มาที่อาซาฮัสวันแรกก็เจอดีเข้าซะแล้ว หรือว่านี่คือชะตากรรมที่เราต้องเผชิญ’
