บทที่ 2 เรื่องราว
“กูท้า คลานไปแจ้งสิ”
ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายยิ่งใหญ่มาจากไหน
ไม่ใช่ว่าต้องการเบ่งอำนาจใดๆ แต่เพียงเพราะเขามั่นใจแล้วต่างหากว่าทุกอย่างมันจะเป็นยังไง
คลานไปแจ้งสิ ประโยคนี้มันเป็นการท้าทายอีกฝ่ายที่โคตรหยามหน้าเลย ไม่มีใครเคยทำมาก่อนเพราะคำตอบมันก็อยู่ตรงนั้น คลานไปได้กูให้จับเลยหรือไม่ก็กล้าคลานไปได้ยังไงจุดจบก็ตาย ความหมายมันมีอยู่แค่นี้ไม่ต้องคิดซับซ้อนอะไรให้มันมากความ
“อย่าทำอะไรไร้อารยธรรมในบ้านฉัน!”
จากจุดสนใจที่มีเพียงแค่จุดเดียวในสายตาคราวนี้มันกลับกลายเป็นสองเพราะมีบุคคลหนึ่งเดินเข้ามาอย่างใจเย็น คราวนี้มีขวัญจึงรีบขยับตัวเดินตามเข้าไปใกล้แต่ก็ยังเข้าช่วยสามีหมาดๆ ของตัวเองไม่ได้ เช่นเดียวกับนัยน์ตาคมที่ตวัดขึ้นมาจับจ้องไปที่ใบหน้าของคุณนายพลับพลึงพร้อมกับกระตุกรอยยิ้มขึ้น
ตายิ้ม ปากยิ้ม...
แต่ข้างในเอาเรื่อง
เอาแบบกัดไม่ปล่อย
จะปล่อยก็ต่อเมื่อตายห่า
คนที่เกือบเป็นประเภทเดียวกันต่างจับจ้องกันอยู่แบบนั้น แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายหนึ่งได้เปรียบยิ่งกว่าเมื่อทำให้อีกฝ่ายสามารถถอนหายใจแล้วหลบสายตาได้ในที่สุด
“สวัสดีครับคุณนายพลับพลึง”
คำทักทายแรกถูกส่งผ่านไปอย่างไม่ใยดีนัก
“…”
“พึ่งทราบว่าบ้านหลังนี้มีอารยธรรมกับเขาด้วย” เป็นประโยคหยอกย้อนที่เล่นเอาคนฟังยืนอยู่ไม่สุขเลย ยังไงก็ต้องโต้ตอบกลับแบบเจ็บแสบบ้างทว่ากับไม่ทันการณ์ใดๆ เลย “ตอแหลสิ้นดี ว่าไหม?”
“สถุน”
“สถุนกว่า”
เอ่ยจบเสียงร้องกับความเจ็บปวดที่กำลังคืบคลานเข้ามา การเผชิญกับความเจ็บปวดไม่น้อยที่ได้รับกับคนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าใหญ่ดังขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนทำไม่ผ่อนปรนใดๆ ยกให้เป็นกรณีพิเศษทั้งสิ้น มีแต่เร่งเหยียบให้หนักขึ้นเรื่อยๆ ก็เท่านั้น อีกนิดเดียวเท่านั้นหากเอาจริงขึ้นมาทุกอย่างมันเดินทางจบแบบไม่ดีแน่ๆ
บรรยากาศรอบตัวแย่ลงเรื่อยๆ ถึงแม้จะมีคุณนายพลับพลึงเข้ามามันก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้นในเมื่อทั้งสองฝ่ายไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่นัก หากเรียกง่ายๆ ก็คือเกลียดเข้ากระดูกดำ เกลียดกันแบบไม่เผาผี หนทางดับมืดทำให้มีกอดก็พยายามนึกคิดหาทางออกแต่มันก็มาถึงทางตัน ไร้ซึ่งหนทางไปต่อได้ถึงแม้จะพยายามมากเพียงไหนก็ตาม
“ปล่อยเถอะค่ะ ปล่อยเขานะคะ”
“…”
“ฉันขอร้องคุณพายัพ ปล่อยสามีฉันเถอะ”
พายัพ คือชื่อเขา
พายัพ ที่หมายถึงทิศตะวันตก
และเป็นพายัพที่ไม่สนใจฟังห่าอะไรทั้งนั้น
แม้มีขวัญจะพยายามอ้อนวอนมากเพียงไหนก็ตาม มีเพียงแค่สายตาว่างเปล่าเท่านั้นที่แสดงสะท้อนกลับออกมาและไม่เปลี่ยนสายตาไปยังใครนอกจากคุณนายพลับพลึงคนเดียวเป็นจุดมุ่งหมาย
“ว่ายังไงคุณนายพลับพลึง?”
“แม่...”
“แกหุบปากซะมีขวัญ!” แค่นี้เสียงของคนเป็นสามีของมีขวัญก็ร้องลั่นขึ้นมาอีกครั้งติดต่อกันแทบนับไม่ไหว ถึงแม้ว่าคุณนายพลับพลึงจะยังใจเย็นอยู่ก็ตามทว่าท้ายสุดแล้วใบหน้าตึงก็หันไปจบสายตาลงตรงมีกอด ไพ่ใบเด็ดที่กำลังจะนำทางออกมาให้ทุกคนก็อยู่ที่นี่กำลังจะถูกงัดออกมาใช้อีกครั้ง แล้วทำไมต้องเสียเวลาอีก “มีกอด มานี่”
“…”
อีกแล้วเหรอ...
ทำไมมันเหมือนเดิมเลยนะ
ร่างเล็กพยายามเหมือนไม่อยากได้ยินประโยคของคนเป็นแม่ตัวเองทว่าอีกอย่างหนึ่งก็ขัดไม่ได้อีกเช่นกัน ทางเดินที่เลือกเองถึงแม้มันจะพลอยทำให้ช้ำใจในทุกๆ ครั้ง
“ฉันบอกให้มานี่ ได้ยินไหม”
ท้ายสุดก็มายืนอยู่ข้างคนเป็นพี่สาวที่ทรุดนั่งตรงพื้นมองผู้เป็นสามี มีกอดกับคุณนายพลับพลึงมีคนเป็นพี่สาวคั่นอยู่ ก็เหมือนกับเส้นขนานที่ไม่สามารถบรรจบกันได้แต่ก็ไม่สามารถขาดกันได้เช่นกัน เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนที่สุด
โทรศัพท์เครื่องหรูถูกส่งข้ามมาอย่างรู้หน้าที่ว่าต้องทำยังไง ในทุกครั้งเมื่อมีปัญหาก็เป็นแบบนี้เสมอกับหนทางการแก้ไขของคุณนายพลึบพลึง
“แม่...”
“แกรู้ดีว่าต้องทำยังไง”
