บทที่ 1 กราบตีน
เสียงเอะอะวุ่นวายดังลั่นสนั่นขึ้นเหมือนแผ่นดินกำลังสั่นไหวไปทั่วทิศ ทั้งทั่วบริเวณนี้และใกล้เคียงไม่มีใครไม่ได้ยินเสียงนี้ พร้อมกันยังมีเสียงผู้คนเอ่ยพูดกัน ทั้งเสียงแทรกกรี๊ดโวยวายขึ้นมาถัดกันซ้ำๆ จนทำให้มือเล็กที่กำลังถือหวีขึ้นมาแปรงผมหยุดชะงักลง นัยน์ตากลมได้สบสายตาเรียวอีกคู่หนึ่งที่กำลังเบิกกว้างขึ้นผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องนอน
ไม่มีใครรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
และไม่มีใครคาดคิดเพราะวันนี้เป็นวันสำคัญ
“เสียงอะไร เกิดอะไรขึ้นกอด”
ไม่ทันได้ตอบผู้เป็นพี่สาวมีกอดก็วางหวีในมือลงพร้อมกับวิ่งออกจากห้องนี้ลงไปด้านล่างของบ้านให้เร็วที่สุดด้วยความร้อนใจว่ายังไงต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ แล้วมันก็คงเป็นเรื่องราวใหญ่โตด้วยจึงไม่ได้รั้งรอผู้เป็นพี่สาวแต่คนเป็นพี่ก็คงจะติดตามมาอย่างแน่นอน
เสียงดังลั่นแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นักกระทั่งลงบันใดมาได้ครึ่งทาง กึ่งหนึ่งที่ศีรษะพ้นเทียบกับพื้นบ้านพอดี ด้วยลักษณะของบ้านไม้สักทองยกใต้ถุนสูงในชนบท
ถึงจะยังไม่ทันได้ก้าวลงบันไดในอีกห้าขั้นสุดท้ายกำลังจะถึงพื้นทุกอย่างก็ประจักษ์แก่สายตาทั้งหมด โต๊ะเก้าอี้เป็นชุดที่ถูกจัดเรียงปูผ้าสีขาวแกมชมพูเรี่ยราดกระจาดกระจายแทบดูไม่ได้ ดอกไม้และของตกแต่งต่างๆ ทุกอย่างลงไปผสมคลุกเคล้ากับพื้น
ทุกอย่างมันเละเทะผสมทั่วกันไปหมดแทบไม่หลงเหลือความสวยงามเหมือนดั่งตอนเช้า และที่ทำให้ก้าวขาไม่ออกก็อยู่ตรงหน้าสาเหตุที่ทำให้มีกอดแทบไม่ขยับตัว
เหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนในบริเวณไม่กล้าเข้าไปยุ่งแม้กระทั่งพี่ขวัญที่ตามมาก็ยังหยุดกึกไม่ก้าวต่อ
“กล้าสิ กล้าเหมือนที่มึงกล้ากับกู กับลูกน้องกู”
ความกล้าท้า ความฝีปากกล้าและความเหยียดยิ้มที่แสดงออกมานั้นมันยิ่งกว่ามัจุราชในคราบมนุษย์ดีๆ นี้เอง แล้วใครมันจะกล้าเอ่ยพูดขึ้นในเมื่อมีขวดปากแหลมจี้ลำคอพร้อมเชือดให้ลมหายใจสะดุดแบบนั้น แต่ถึงไม่มีอาวุธพร้อมกับลูกน้องที่ยืนดูนิ่งสงบไม่สนใครอะไรราวกับมันเป็นเรื่องปกติสามารถพบเจอได้ทั่วไป ไม่มีใครกล้าเข้าไปแน่
ใครจะกล้าเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงกับความเป็นความตาย
ในเมื่อความเห็นแก่ตัวมีอยู่กันทุกคน
ผู้คนมุงดูในทีแรกตอนนี้กับไม่มีหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียวหรือแม้แต่ผู้ที่เคยเอ่ยปากว่าเป็นญาติ เป็นพี่ เป็นน้องหรือแม้แต่ลูกน้องก็ไม่มีสักคน ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งวุ่นวายเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร มาจากไหน สายตาเอาเรื่องมากแค่ไหนและนี่มันยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำกับสิ่งที่หลายคนเล่าต่อกันมา
แค่เห็นตอนที่ขายาวก้าวเดินมุ่งตรงเข้าไปเตะกวาดขวดเครื่องดื่มมึนเมาบนโต๊ะด้วยเท้าลงกระแทกพื้นเพียงครั้งเดียวทั้งหมดก่อนจะถีบแล้วกระทืบคนๆ หนึ่งที่พึ่งผ่านพิธีสมรสไปหมาดๆ ให้ลงกลิ้งนอนบนพื้นอย่างไม่เป็นท่า แค่นี้ก็พอจะรับรู้แล้วว่ามันรุนแรงมากเพียงไหน
ถึงแม้ฝ่ายที่เจ็บตัว จะเป็นถึงลูกกำนันก็ยังเทียบไม่เท่าคนๆ นี้ได้เลยสักนิด
คนๆ นี้เคยกลัวใครที่ไหน ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นถึงลูกชายคนมีอิทธิพลคนหนึ่งที่หลายคนเกรงกลัวทว่ามันก็เท่านั้น ถ้าหากอีกฝ่ายไม่คิดสนใจมัน
“…”
“หรือมึงหลบใต้ตีนใครตอนกร่าง”
“...”
“กูมาให้มึงกร่างใส่ถึงบ้าน กล้าหน่อยไหม”
“กะ กู... จะแจ้งตำรวจ”
อ่อนหัดชิบหาย แค่นี้น้ำเสียงหัวเราะเยาะเย้ยสมกับแววตาวาวนึกสนุกก็ดังลั่นก็เกิดขึ้นราวกับว่านึกไว้อยู่แล้วว่าทางออกมันต้องเป็นแบบนี้สำหรับอีกฝ่าย ขวดแหลมในมือถูกขว้างทิ้งกระทบพื้นจนมันแตกกระจายเกลื่อน การกระทำทุกอย่างหยุดลงแต่มันก็แค่ทำให้อีกฝ่ายชะล่าใจเท่านั้นเพราะไม่กี่นาทีต่อมาเท้าใหญ่ก็เข้ามาเหยียบกลางลำคอทันทีซึ่งมาพร้อมกับเสียงทรมานของคนถูกกระทำ
จุดสำคัญที่กำลังโดนกระทำแน่นอนมันสามารถเอาถึงชีวิตได้อย่างง่ายดายเว้นเสียแต่ว่าจะไม่ใช่ ความทรมานที่เป็นอยู่มากกว่าที่เหมือนจะเป็นที่หมายปอง
“กูท้า คลานไปแจ้งสิ”
