บทที่ 5 ไฟรักที่เริ่มก่อตัว
พิพัฒน์ยืนอยู่ปลายเตียง ตรวจดูเฝือกและผ้าห่มให้ลูกสาวอย่างใจเย็น
ขณะเดียวกันอันนาก็เก็บจานอาหารจากโต๊ะข้างเตียงไปวางบนรถเข็น รอยยิ้มอ่อนโยนยังไม่คลายจากใบหน้า
นิรินทร์หันมองภาพตรงหน้าแล้วอมยิ้มจาง ๆ
บรรยากาศในห้องผู้ป่วยที่ควรจะอึมครึมกลับอบอวลด้วยความอบอุ่นอย่างประหลาด
“คุณพ่อคะ…” เธอเรียกเสียงเบา
พิพัฒน์หันมาทันที “หืม?”
“คุณพ่อทานข้าวเย็นหรือยังคะ?”
“ยังเลยลูก ตั้งใจว่าจะมาถามลูกก่อนว่าอยากกินอะไรเพิ่มหรือเปล่า”
นิรินทร์ส่ายหน้าช้า ๆ “นิรินทร์อิ่มแล้วค่ะ แต่...”
เธอหันไปมองอันนา ก่อนจะพูดอ้อนใส่พ่อ
“คุณพ่อช่วยพาอันนาไปทานข้าวหน่อยสิคะ วันนี้นาอยู่กับนิรินทร์ทั้งวันเลย ยังไม่เห็นได้พักเลยด้วยซ้ำ”
อันนาหันขวับมาทันที “นิริน! ไม่เป็นไรเลย ฉันอยู่ได้ เดี๋ยวพอแกหลับ ฉันก็จะลงไปหาซื้ออะไรทานเอง…”
พิพัฒน์หันมองอันนา ดวงตาคู่คมที่เคยเคร่งขรึมกลับดูอ่อนโยนลงอย่างน่าประหลาด
“ถือว่าให้โอกาสอาได้ขอบคุณแทนนิรินก็แล้วกันนะอันนา”
น้ำเสียงเรียบ ๆ แต่กลับทำให้หัวใจคนฟังสั่นไหว
อันนาเม้มปากแน่น พยายามหาเหตุผลจะปฏิเสธแต่ก็ไม่ทัน
นิรินทร์เองก็ยิ้มบาง ๆ แล้วกระตุกผ้าห่มขึ้นคลุมตัว
“ไปเถอะนา เดี๋ยวนิรินก็หลับแล้ว”
อันนาชำเลืองมองเพื่อนที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนถอนใจยอมแพ้ในที่สุด
“งั้น...แป๊บเดียวนะคะ ไม่อยากทิ้งให้นิรินทร์อยู่คนเดียวนานค่ะ” เธอแกล้งพูดกลบความประหม่า
พิพัฒน์ยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะก้มลงลูบผมลูกสาวเบา ๆ อีกครั้ง
“ถ้ามีอะไร โทรหาพ่อทันทีนะลูก”
“ค่ะ…” นิรินทร์หลับตาลง
ประตูปิดลงเบา ๆ
ความเงียบในทางเดินโรงพยาบาลไม่ได้ลดทอนแรงสะท้อนของหัวใจสองดวงที่เพิ่งก้าวพ้นธรณีประตูออกมาด้วยกัน
ลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่าง บรรยากาศโถงเงียบสงบ แสงไฟสีอุ่นสะท้อนกับกระจกใสรอบตัว
อันนายืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมามองคนข้าง ๆ แล้วพูดเบา ๆ
“คุณอา ไม่จำเป็นต้องพาหนูมาหรอกค่ะ แค่นี้เอง หนูเดินไปเองก็ได้”
“อย่าคิดมากเลย” พิพัฒน์ว่าเสียงนุ่ม ไม่เร่งไม่รุก แต่ในดวงตานั้นกลับไม่ได้ถอนตัว
ทั้งสองเดินเคียงกันออกมาจากลิฟต์ ระยะห่างเพียงไม่กี่คืบ
แต่อุณหภูมิระหว่างร่างกลับเหมือนแปรเปลี่ยน
พอถึงหน้าร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นเล็ก ๆ ที่ยังเปิดอยู่ใต้อาคาร
พิพัฒน์ยื่นมือออกไปเปิดประตูให้ อันนาเผลอก้าวเข้าไป
และในจังหวะที่เดินผ่านแผ่นอกกว้าง เสี้ยววินาทีที่ไหล่ของเธอเฉียดปลายแขนเสื้อเชิ้ตของเขา…
ไฟบางอย่าง...ก็ถูกจุดขึ้น
อันนาหยุดหายใจไปเสี้ยววินาที เธอไม่หันไปมอง แต่หัวใจกลับเต้นถี่รัวอย่างไม่อาจควบคุม
พิพัฒน์เองก็ยืนนิ่งไปชั่วครู่ ดวงตาหลุบต่ำลงมองแผ่นหลังเล็กที่ยืนอยู่ในร้าน ก่อนจะเดินตามเข้าไปเงียบ ๆ
ภายในร้านอาหารญี่ปุ่นขนาดย่อม บรรยากาศอบอุ่นจากแสงโคมไฟกระดาษและเสียงดนตรีคลอเบา ๆ ทำให้โลกภายนอกดูห่างไกลอย่างน่าประหลาด
อันนาเลือกนั่งฝั่งในของโต๊ะ พิพัฒน์นั่งฝั่งตรงข้าม บริกรสาวเดินมาเสิร์ฟน้ำชาและเมนูด้วยรอยยิ้ม
“อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม?” พิพัฒน์ถาม ขณะมองเธออย่างตั้งใจ ไม่ใช่แค่ถามตามมารยาท
อันนารับเมนูมาดูพลางหลบสายตาเล็กน้อย “อะไรก็ได้ค่ะ…ที่ไม่ทำให้คุณอาต้องเสียเวลา”
“อาน่าจะรู้นะว่าเวลาทานข้าวกับคนที่อยากอยู่ด้วย ต่อให้นานแค่ไหนก็ไม่เสียเวลา”
น้ำเสียงเขานุ่ม เรียบ…แต่ตรงเกินกว่าจะมองข้าม
อันนาชะงัก นิ้วที่กำลังจะพลิกหน้าเมนูหยุดกลางอากาศ
เธอเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ประสานสายตาเขาโดยไม่ตั้งใจและพบว่าดวงตาของเขายังมองเธอไม่วาง
“เอา...ข้าวหน้าปลาแซลมอนค่ะ” เธอรีบตัดบทเบา ๆ พลางส่งเมนูคืน
พิพัฒน์ยิ้มบาง ๆ แล้วหันไปสั่งอาหารให้เธอ
จากนั้นก็สั่งของตัวเองเพียงเรียบง่ายราเมงชามใหญ่และปลาย่าง
เมื่อบริกรเดินจากไป ความเงียบอ่อนโยนก็ปกคลุมระหว่างพวกเขาชั่วครู่
เสียงช้อนที่ถูกจัดวางบนโต๊ะ…เสียงน้ำชาไหลจากกาน้ำร้อน…มันเป็นความเงียบที่ไม่ได้น่าอึดอัด
แต่เป็นความเงียบที่เหมือนซ่อนอะไรไว้ในนั้น
“เรื่องนิรินทร์ คุณอาไม่ต้องเกรงใจหนูก็ได้นะคะ”
อันนาเอ่ยเบา ๆ ขณะก้มลงตักน้ำชา
“หนูเต็มใจดูแลนิรินทร์ค่ะ”
"ไม่เกรงใจ ไม่ได้หรอก"
คำตอบจากเขาสั้น…แต่แน่น และดวงตายังจับจ้องเธอไม่วาง
“อันนาดูแลนิรินทร์ทั้งวัน อารู้สึกขอบคุณมากจริง ๆ”
เขาหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อในจังหวะที่ช้าลง…
“บางที...มากกว่าขอบคุณเสียด้วยซ้ำ”
อันนาเม้มปาก…มือกำช้อนแน่นขึ้นนิด
ใบหน้าที่ขาวเนียนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีระเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่
อาหารมาเสิร์ฟในจังหวะนั้นพอดี บทสนทนาถูกพักไว้ชั่วคราว
แต่ความรู้สึกที่กำลังสั่นไหว กลับไม่ได้หายไปไหน
อันนากำลังใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาในชามข้าวอย่างระมัดระวัง พิพัฒน์นั่งฝั่งตรงข้าม แกล้งก้มหน้าทานเงียบ ๆ แต่หางตายังไม่ละจากเธอแม้แต่นิด
ในจังหวะหนึ่ง…เธอกำลังจะเอื้อมไปหยิบถ้วยน้ำชา แต่พิพัฒน์กลับยื่นแก้วชาอุ่นมาให้ก่อน พร้อมคำพูดเรียบง่าย
“ระวังถ้วยร้อนนะ”
ปลายนิ้วของอันนาแตะเข้ากับมือเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือบางทีอาจจะตั้งใจจากใครคนหนึ่ง
มือใหญ่ของเขาแนบชิดเพียงครู่ แต่ความอุ่นจากผิวสัมผัสกลับส่งแรงสะเทือนขึ้นมาถึงปลายนิ้วเธอ
อันนาสะดุ้งเล็กน้อย รีบดึงมือกลับทันที
“ขอโทษค่ะ…”
“ไม่เป็นไร…” เขาตอบเบา ๆ แต่ยังคงมองมือเธอที่วางอยู่บนโต๊ะ
เสียงเขานุ่มลงกว่าเดิม คล้ายจะมีบางอย่างอยากพูดแต่ยังกลั้นไว้
“มืออันนา...เย็น” เขาพึมพำ ขณะจ้องมือของเธอเหมือนมันเป็นของบางอย่างที่น่าทะนุถนอม
อันนาเลิ่กลั่ก พยายามเปลี่ยนเรื่อง “ในร้านนี้แอร์แรงน่ะค่ะ”
“งั้นให้อาอุ่นมือให้ไหม?”
คำพูดนั้นฟังดูเล่น ๆ...แต่ดวงตาของเขาไม่ได้ล้อเล่น
ปลายนิ้วเขาขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง
และในวินาทีนั้น หัวใจของเธอก็เต้นแรงจนไม่กล้าขยับตัว
มือของอันนาเพิ่งแตะถ้วยชาเบา ๆ ก็เตรียมจะชักกลับ
แต่ยังไม่ทันได้ผละออก พิพัฒน์กลับคว้ามือเธอไว้แน่น...ไม่แรงจนเจ็บ แต่แน่นพอจะให้รู้ว่า เขาตั้งใจ
อันนาชะงัก ดวงตาเบิกเล็กน้อย หัวใจกระตุกอย่างแรง
“มะ…มือคุณอา…” เธอพึมพำเบา ๆ พยายามดึงมือกลับอย่างไม่แน่ใจ
แต่เขายังคงจับไว้แน่น ราวกับไม่อยากปล่อย
นิ้วโป้งของเขาลูบหลังมือเธอช้า ๆ อย่างแผ่วเบา
“ให้อา...จับไว้อย่างนี้สักพักได้ไหม” เสียงเขานุ่มลึก แต่สั่นพร่าอยู่ในลำคอ
“อาแค่...ไม่อยากให้อันนาหนีไปไหนตอนนี้”
อันนานิ่งไป สองตาจ้องเขาแน่นิ่ง ไม่ใช่เพราะตกใจ แต่เพราะรู้ดีว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น…มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ อีกต่อไป
รอบตัวเงียบลงราวกับร้านทั้งร้านหายไป เหลือแค่เขา...และเธอ
