บทที่ ๕ ขอโทษจากใจ 2
“พี่ว่าปล่อยให้เคียวไปคนเดียวเถอะมิกิ เคียวคงอยากจะขอโทษคุณอนันตญาตามลำพังมากกว่า”
“มิกิเข้าใจค่ะ...ว่าแต่นั่นเหรอคะคุณอนันตญา” นรินธรยอมเข้าใจอย่างว่าง่าย ก่อนจะชี้มือไปที่ภาพสดใสของสาวสวยคนหนึ่งที่ตั้งหราเด่นอยู่กลางงาน อาณัติพยักหน้าแทนคำตอบ
“คุณอนันตญาเธอเป็นนางแบบหน้าใหม่ที่มีความสามารถมากคนหนึ่ง ทุกคนมักเรียกเธอว่าบาร์บี้ เพราะความสวยสมบูรณ์แบบที่เหมือนตุ๊กตานี่แหละครับ” อาณัติอธิบายอย่างร่าเริง พยายามปรับอารมณ์ของหญิงสาวให้เป็นตามนั้นด้วย เขาอยากเห็นคนที่ตัวเองรักเลิกทำหน้าอมทุกข์เสียที
“สวยมากเลยนะคะ น่าเสียดายที่งานวันนั้นมิกิติดสอบ ไม่งั้นคงได้พบตัวจริงของพี่บาร์บี้ไปแล้ว” หญิงสาวย่นจมูกเพื่อบ่งบอกให้คนข้างตัวรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ
“แหม มิกิเองก็สวยไม่น้อยไปกว่าคุณบาร์บี้หรอกนะ”
“อย่ามาทำเป็นพูดดีไปหน่อยเลยค่ะ มิกิไม่สวยไม่น่ารักเท่าผู้หญิงที่พี่ชินควงอยู่ทุกวันหรอก” จู่ๆ นรินธรก็ตัดพ้อขึ้นมา แล้วรีบหมุนตัวเดินหนีไปทางอื่นทันที
ความรู้สึกน้อยใจอาณัติและเรื่องของพี่ชาย ทำให้น้ำตาของหญิงสาวเอ่อล้นขอบตาอีกครั้ง คนที่พยายามจะเปลี่ยนตัวเองให้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น รู้สึกท้อแท้นักที่เข้มแข็งอย่างคนอื่นไม่ได้เสียที
อาณัติเดินตามมาด้วยรอยยิ้มสดใส แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นนรินธรยืนปาดน้ำตาออกจากแก้มเร็วๆ หวังจะไม่ให้เขาเห็น แต่มันช้าไป
“เป็นอะไรไปน่ะมิกิ” อาณัติถามพร้อมกับรั้งไหล่บางให้หันมาเผชิญหน้า นรินธรช้อนตาขึ้นมองชายหนุ่มอย่างสับสน ก่อนจะโผเข้าไปกอดแน่น
“มิกิสับสนค่ะพี่ชิน สับสนแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ถูกเลยสักอย่าง มิกิแย่มากๆ เลยใช่ไหมคะ” นรินธรร้องไห้ออกมา ในเวลาแบบนี้เธอเองก็ต้องการที่พึ่งพาบ้างเหมือนกัน
“อย่าคิดมากแบบนั้นสิครับ ถึงยังไงมิกิก็ยังมีพี่อยู่ข้างๆ เสมอไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มกระชับร่างในอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ยกมือขึ้นลูบไหล่ลูบหลังหญิงสาวเพื่อปลอบโยน ซึ่งก็ได้ผลเมื่อเจ้าของร่างบางเริ่มหยุดร้องไห้ เมื่อนึกได้ว่าตัวเองกำลังกอดเขาเสียแนบแน่น จึงตั้งท่าจะผละออกห่างจาก
เสียดายที่นรินธรไม่อาจทำอย่างนั้นได้ตามที่คาดหวัง เพราะอาณัติฉวยโอกาสรั้งเอวบางเอาไว้แน่น ไม่ให้ถอยห่างไปไหนไกล หญิงสาวดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง ทั้งที่พยายามไปก็มีแต่จะเสียแรงเปล่า รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่ม ทำให้เธอเข้าใจได้ทันทีว่าตัวเองได้ทำความผิดพลาดครั้งใหญ่เข้าเสียแล้ว
“ปล่อยนะคะ ไม่งั้นมิกิจะฟ้องพี่เคียวจริงๆ ด้วย...ปล่อยสิ!” นรินธรขู่เสียงเขียว ขณะที่พวงแก้มนวลเนียนพร้อมใจกันกลายเป็นสีชมพูระเรื่อทั้งสองข้างอย่างปิดไม่มิด
“มิกิจะไปฟ้องเคียวได้ยังไงละครับ ในเมื่อพี่เป็นคนเสียเปรียบต่างหาก เมื่อกี้มิกิกอดพี่เสียแน่นเลย...เสียหายแย่” เขายังคงใช้ข้ออ้างเอาเปรียบเธอต่อไป
“ถ้างั้นขอโทษก็แล้วกันนะคะ มิกิสัญญาค่ะว่าทีหลังจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ที่กอดเมื้อกี้เพราะลืมตัวเท่านั้นเอง” คนตัวเล็กโต้ตอบไม่เลิก จังหวะนั้นเองที่ชายหนุ่มฉวยโอกาสทำบางสิ่งที่เธอคาดไม่ถึง
มือหนารั้งใบหน้าสวยหวานให้เชิดขึ้น ก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาผนึกจูบอบอุ่นเข้าหาริมฝีปากบางได้รูป ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนนรินธรไม่มีโอกาสได้ตั้งตัว
มือเล็กกำเสื้อของชายหนุ่มไว้แน่นอย่างตกใจ หลังจากถูกรุกรานอยู่ไม่นาน เธอก็เผลอหลับตาลงรับจุมพิตที่เขามอบให้โดยไม่รู้ตัว นี่ถ้าไม่ติดว่าถึงเวลาต้องเข้าไปในงานแล้ว ชายหนุ่มจะไม่ยอมปล่อยเรียวปากนุ่มนิ่มแสนหวานของเธอเป็นอิสระแน่
“แบบนี้สิ ถึงจะหายกัน ไปกันเถอะครับ ป่านนี้คริสคงตามหาแย่แล้ว” อาณัติเอ่ยอย่างเสียดาย คว้ามือบางมากุมไว้ ขณะที่สายตาจ้องมองไปยังริมฝีปากที่เพิ่งได้ครอบครองอย่างหลงใหล
นรินธรไม่ได้ตอบโต้อะไรออกมาสักคำ เพราะยังไม่หายตกใจกับการกระทำของอาณัติ เธอลอบมองคนตัวสูงที่เดินจูงมืออย่างถือสิทธิ์ ไม่ได้ต่อว่าเขาสักคำ เพราะแทบเรียบเรียงคำพูดไม่ถูกไปเสียแล้ว
‘หายกันบ้าน่ะสิ! นี่มันเสียเปรียบชัดๆ เลยเชียว’
นรินธรยกมือขึ้นแตะริมฝีปากช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่อาณัติมองไม่เห็น แทนที่เธอจะรู้สึกโกรธเคือง แต่ก็กลับปล่อยให้เขาเดินจูงมือราวกับเป็นคู่รักกัน พวงแก้มของหญิงสาวกลายเป็นสีจัดขึ้นกว่าเดิม เมื่อนึกถึงคำๆ หนึ่งที่เธอเองก็ใฝ่ฝันที่จะใช้มันร่วมกับเขา
คู่รัก...
หลังจากที่จุดธูปเคารพศพเรียบร้อยแล้ว นราภัทรก็มานั่งเหม่อมองรูปหน้าศพของหญิงสาวอย่างพิจารณา ใบหน้าเปื้อนยิ้มดูสดใสร่าเริงตามประสาสาวอารมณ์ดี เขาเคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้เพียงครั้งเดียวตอนที่เธอได้รับรางวัล Queen of diamond ช่างน่าเสียดายเหลือเกินที่ต่อจากนี้ไป เขาคงไม่ได้เห็นรอยยิ้มที่น่ารักและสดใสของอนันตญาอีก
คิรานนท์เห็นว่าแขกเหรื่อเริ่มทยอยกลับกันจนเกือบหมด เขาจึงบอกให้อาณัติพานรินธรไปรอที่รถ เพราะตอนนี้หญิงสาวง่วงจนแทบจะนั่งหลับได้อยู่แล้ว ส่วนตัวเขานั้นเดินไปหาเพื่อนรักที่นั่งหน้าเศร้าอยู่
“กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะเคียว แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ วันนี้แกยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่ เดี๋ยวจะล้มป่วยเอานะเพื่อน” คิรานนท์ทอดน้ำเสียงห่วงใย ทว่าดวงตาเศร้าหมองของนราภัทรยังจดจ้องอยู่ที่รูปของอนันตญาอย่างไม่วางตา
“พาแอลไปรอฉันที่รถก่อนเถอะคริส ฉันขอเวลาสักครู่แล้วจะตามออกไป” ชายหนุ่มตัดบทด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คิรานนท์และเอลิซ่าจำใจต้องเดินออกไปรอที่รถอย่างเสียมิได้
แม้ว่าความรู้สึกของนราภัทรมันยากเกินกว่าที่พวกเขาจะรับรู้ แต่ทั้งสองคนก็เข้าใจดีว่ามันคงมากพอที่จะทำให้ผู้ชายใจแข็งคนหนึ่งต้องเจ็บปวดจนหัวใจสลายได้เหมือนกัน
“เคียวจะเป็นไปแบบนี้อีกนานไหมนะแอล” คิรานนท์ถามคนข้างตัว เมื่อเดินห่างออกมาพอสมควรแล้ว
“แอลก็ไม่รู้หรอก แต่ก็ภาวนาขอให้เคียวลืมคุณบาร์บี้ได้เร็วๆ แล้วกัน แอลสงสารมิกิเหลือเกิน” เธอว่าพลางถอนหายใจ
“นั่นสินะ ว่าแต่แอลไม่เสียใจเหรอที่เคียวรักคุณบาร์บี้ขนาดนั้น” ชายหนุ่มถามตรงๆ เพราะอยากรู้ว่าเอลิซ่ากำลังคิดยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นกันแน่
“ตอนแรกแอลก็อึ้งไปเหมือนกันนะคริส แต่มันก็ทำให้แอลรู้ว่าความรู้สึกที่แอลมีให้เคียวมันเป็นแค่ในแบบของเพื่อนเท่านั้น แล้วที่สำคัญตอนนี้แอลก็รู้แล้วด้วยว่าใครคือคนที่แอลควรจะยกหัวใจให้”
“แอล...พูดต่อสิ” คิรานนท์คะยั้นคะยอด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นจนเอลิซ่าอดขำไม่ได้ แต่เธอก็ยอมตอบไปตรงๆ เพื่อให้เขาเลิกสงสัยเสียที
“คนที่แอลอยากจะยกหัวใจให้น่ะเหรอ...ก็คริสไง แต่ถ้าไม่อยากได้ก็รีบบอกหน่อยแล้วกันนะ แอลไม่อยากรักใครข้างเดียวอีกแล้ว” พูดจบหญิงสาวก็รีบเดินหนีไปสมทบกับอาณัติที่ยืนเปิดประตูรถรออยู่ทันที
ในตอนนี้คิรานนท์ถึงกับใบ้กินไปเลยทีเดียว เขารู้ดีว่าเอลิซ่าเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา ไม่ชอบอ้อมค้อมหรือชักแม่น้ำทั้งห้า แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเธอจะพูดออกมาตามตรงได้น่ารักถึงขนาดนี้
นราภัทรเดินไปหยุดอยู่ที่หน้ารูปภาพของอนันตญาอีกครั้ง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าที่พื้นอย่างช้าๆ วันนี้จะเป็นวันแรกและวันสุดท้ายที่จะมาร่วมงานศพของอนันตญา เพราะถ้าไม่อย่างนั้นตัวเขาเองก็คงทำใจให้ลืมเธอไม่ได้เสียที นราภัทรตั้งใจเอาไว้แล้วว่าเขาจะต้องกลับไปเป็นคนเดิมให้ได้ ถึงแม้ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน แต่ถึงยังไงผมก็อยากขอให้คุณฟังผมสักครั้ง” เสียงทุ้มสั่นเครืออย่างห้ามไม่อยู่ “ผมเสียใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนะบาร์บี้ หากย้อนเวลาได้ผมก็คงไม่ทำอะไรโง่ๆ แบบนั้นกับคุณ” ดวงตาคมแดงก่ำ บ่งบอกชัดถึงความสะเทือนใจ แล้วฝืนพูดต่อไปตามที่อยากบอกเธอเป็นครั้งสุดท้าย
“ผมคงไม่กล้าขอให้คุณยกโทษให้ แต่ผมอยากให้คุณรับรู้ไว้นะว่าผมรักคุณ...ผมรักคุณมากจนปล่อยให้ตัวเองทำอะไรเลวๆ แบบนั้นเพียงเพราะอยากเอาชนะ ผมรู้ว่าคุณเกลียดผมมาก แต่ถึงยังไงผมก็รักคุณนะบาร์บี้ ผมรักคุณได้ยินไหม”
ชายหนุ่มสารภาพความรู้สึกในส่วนลึกของหัวใจออกมาจนหมดสิ้น แอบหวังเอาไว้ลมๆ แล้งๆ ว่าอนันตญาจะสามารถรับรู้ความรู้สึกของเขาได้บ้าง
ร่างสูงใหญ่ฝืนหยัดกายลุกขึ้นยืนอย่างเข้มแข็ง ภาพทุกอย่างปรากฏขึ้นตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาแทบคลั่ง แต่การมีสติเท่านั้นที่จะทำให้ภาพเลวร้ายพวกนั้นหลุดออกจากหัวสมองไปได้บ้าง ชายหนุ่มจ้องมองภาพหญิงสาวอันเป็นที่รักตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตัดสินใจหมุนตัวเดินจากมาทันที
น่าเสียดายที่นราภัทรไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้เลยว่า อนันตญาได้ยินทุกคำพูดของเขา ผ่านทางโทรศัพท์ทางไกลที่ภาสกรได้จัดการโทรออกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวยิ้มเย็นอย่างพอใจที่แผนการทุกอย่างสำเร็จได้โดยไม่มีใครสงสัย ถึงเธอจะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะได้ชัยชนะ แต่ลึกๆ ในใจก็อดหวั่นไหวไม่ได้ที่ได้ยินความรู้สึกที่แท้จริงของเขา
ไม่หรอก...เธอไม่มีทางยอมยกโทษให้เขา เพราะคำพูดหลอกลวงพวกนั้นอย่างเด็ดขาด!
