บทที่38 นายต้องยอมโดนตีแทนฉัน
ขณะที่ทุกคนพยายามทำตัวให้สนุกกับการพูดคุยและรับประทานอาหารเย็นโดยปล่อยเรื่องก่อนหน้านี้ไว้ข้างหลังคนที่นั่งเงียบมาตลอดกลับเลี่ยงออกมายืนโทรศัพท์ด้วยใบหน้าไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น แววตาที่เคยดูอ่อนโยนนิ่งสนิทแปรเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นหากไม่มองนาน ๆ ไม่มีทางดูรู้เลยว่ากำลังโกรธแค้นใครสักคนอยู่
“แกทำบ้าอะไรของแกอยู่ ลูกไอ้เลวนั่นถึงยังนั่งยิ้มหน้าระรื่นอยู่ได้” เสียงเข้มน่ากลัวที่แตกต่างไปจากเสียงปกติมากโขเอ่ยถามเมื่อปลายสายรับสาย
“พี่เจออลินเหรอ?”
“ฉันจะเจอยัยนั่นหรือไม่มันไม่สำคัญ สำคัญที่แกไปมัวทำอะไรอยู่ยัยนั่นถึงยังยิ้มหน้าระรื่นอยู่ได้ต่างหากล่ะ แกตอบฉันมาเดี๋ยวนี้นะไอ้ตฤณ” สิรานนท์ถามปลายสายที่ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นคนที่อริสารู้จักดีอย่างตฤณกันต์นั่นเอง
“ผมก็กำลังทำให้เป็นไปตามแผนอยู่ แต่ผู้หญิงคนนี้ยากกว่าที่เราคิด”
“แกไม่มีปัญญามากกว่ามั้ง ฉันให้โอกาสแกอีกแค่สองวันถ้าแกยังทำให้ได้ตามแผนไม่ได้ ฉันจะจัดการเอง”
“พี่นนท์ พี่...” สิรานนท์ไม่นำพากับเสียงของปลายสาย ชายหนุ่มตัดสายทันทีเมื่อพูดจบก่อนจะเก็บสมาร์ทโฟนและพยายามปรับสีหน้าและแววตาให้เป็นเหมือนเดิม
“พี่นนท์ขา พี่นนท์อยู่ไหน” เสียงเรียกจากใครคนนึงทำให้สิรานนท์พ้นลมหายใจหนัก ๆ เสียงนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้หญิงน่ารำคาญที่เขาเริ่มเบื่อเต็มที ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายใช้ประโยชน์ได้เขาคงทิ้งไปนานแล้ว
ผู้หญิงที่ปากอยู่ไม่นิ่ง แถมยังไม่ใช้สมองอย่างวิภาวีคิดเหรอว่าเขาจะชอบลงไปได้จริง ๆ หึ ถ้าไม่ใช่เพื่อแผนการของเขากับตฤณกันต์เขาไม่มีทางยุ่งเกี่ยวกับแม่ผู้หญิงไร้สมองคนนี้หรอก
ตอนแรกที่เขาคบหากับวิภาวีก็เพราะคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะทำให้เขาเข้าใกล้เพื่อนของอริสาได้ แต่ตอนหลังทุกอย่างเปลี่ยน เพื่อนคนนั้นของอริสาดันกลายมาเป็นลูกสาวของพ่อเลี้ยงของเขา วิภาวีก็เริ่มจะไร้ประโยชน์แต่ก็ยังพอมีประโยชน์เขาจึงยังต้องหลับหูหลับตาต่อไป
“ถ้าไม่ใช่เพราะเธอยังมีประโยชน์กับฉันกับไอ้ตฤณฉันไม่เอาเธอไว้หรอกวิภาวี” สิรานนท์เอ่ยก่อนจะเดินตามเสียงไปหาคู่หมั้นสาวทว่าเขาไม่รู้เลยสักนิดว่าหลังซุ้มดอกไม้ไม่ไกลจากที่เขายืนคุยโทรศัพท์อยู่นั้นมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นั่งอยู่...ถึงสองคน
อริสานั่งเงียบไม่ไหวติงแม้ว่าสิรานนท์จะไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วขณะที่คนที่มาด้วยกันอย่างศารทูลนั้นกำลังกดปิดโปรแกรมบันทึกเสียงในโทรศัพท์ด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
สิรานนท์และตฤณกันต์เกี่ยวข้องกันอย่างไรเขาไม่รู้ แต่เขามั่นใจว่าปลายสายคือตฤณกันต์อย่างแน่นอน และคนทั้งคู่มีแผนร้ายต่ออริสาและครอบครัวของท่านอาทิตย์อย่างแน่นอน...
“โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้สินะ” ชายหนุ่มพึมพำ เขาก็รู้สึกแปลก ๆ กับสิรานนท์คนนี้อยู่ไม่น้อย ผู้ชายอะไรยังเฉยอยู่ได้ทั้งที่แฟนพูดจาไม่น่าฟังเลยสักนิด ทั้งที่พยายามจะไม่เก็บมาคิดให้รกสมองอยู่แล้วเชียวแต่ก็มาบังเอิญได้ยินเข้าเสียได้ และยังเป็นเรื่องที่สำคัญเสียด้วย จะบอกว่าโชคดีที่มาได้ยินดีหรือเปล่านะ
เมื่อเห็นว่าอริสายังไม่หายจากอาการตื่นตะลึงชายหนุ่มจึงเด็ดดอกเฟื้องฟ้าที่อยู่ใกล้มือยื่นให้ “กินมั้ย”
“กิน” หญิงสาวตอบก่อนจะฉวยดอกเฟื้องฟ้าในมือชายหนุ่มยัดเข้าปาก ความจริงเธอก็แค่อยากลองชิมรสชาติของดอกไม้กลิ่นหอมชวนดมในสวนของคุณตาภานุนั่นล่ะถึงแอบพาศารทูลออกมา แต่ใครจะคิดเล่าว่าจะได้เจอเข้ากับสิรานนท์ และยังได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยินเสียด้วย หายตกใจแล้วก็อารมณ์เสียไม่น้อย ขัดเวลากินคนอื่นเขาอยู่ได้ น่าหมั่นไส้นัก
“เธอนี่แปลกขึ้นทุกวัน”
“แปลกตรงไหน ไม่แปลกสักนิด” หญิงสาวตอบก่อนจะขยับไปหาดอกไม้ที่กลิ่นหอมยั่วจิตยั่วใจ ทุกอย่างต้องเงียบและไม่ผิดปกติ จะให้คุณตาภานุเห็นเข้าไม่ได้
“นี่ช้า ๆ หน่อย”
“นายนั่นแหละอย่าลีลา รีบตามมา”
“ทำไมฉันต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย” ชายหนุ่มบ่นพึมพำขณะที่ค่อย ๆ ย่องตามหญิงสาวไป
“ไม่อยากทำก็ไปสิ ไปให้ไกล ๆ เลยนะ ไม่ต้องมายุ่งกับลูกด้วย”
“นี่ อย่ามาหาเรื่องไล่กันสิยัยเอเลี่ยน”
“อย่ามาเรียกฉันว่าเอเลี่ยนนะไอ้แมวบ้า”
“เธอก็เรียกฉันว่าแมวบ้าเหมือนกันนั่นแหละ”
“เหอะ ต่อไปฉันจะไม่เรียกนายว่าแมวบ้าแล้ว ฉันจะเรียกว่าสล็อต เชื่องช้านัก”
“ยัยผึ้งอวบ”
“ไอ้แมวบ้า” จากกระซิบว่ากันไปกันมากลายเป็นการเอ่ยเสียงดังทว่าเมื่อระลึกได้ทั้งคู่ก็เงียบเสียงลงและรีบหาที่หลบเมื่อคนรับใช้ในบ้านมาเดินตรวจตราตามคำสั่งของคุณตาภานุ
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าเมื่อคนรับใช้ในบ้านกลับไปยังหลังบ้าน อริสามองศารทูลแว่บนึงก่อนจะเบือนหนี ใบหน้าที่มองเห็นไม่ค่อยชัดท่ามกลางแสงจันทร์ของอีกฝ่ายทำให้เธอนึกถึงค่ำคืนอันผิดพลาดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
วันนั้นเธอเห็นใบหน้าแบบนี้หล่อเหลาและน่ามองเป็นที่สุด ให้ตายสิ เวลาแบบนี้ทำไมเธอต้องคิดอะไรแปลก ๆ ด้วยเนี่ย
“คืนนี้จันทร์สวยนะว่ามั้ย” ศารทูลเอ่ยขึ้นราวกับต้องการเปลี่ยนเรื่องไม่อยากให้วกกับไปถกเถียงกันเรื่องสกังก์หรือเอเลี่ยนอีก
“อือ”
“เห็นพระจันทร์คืนนี้และนึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้” ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะหลุดขำ “มีคนบางคนบอกกับฉันในคืนที่แสงจันทร์สว่างแบบวันนี้ด้วยล่ะว่า...”
“ว่า?”
“ว่า...” ชายหนุ่มเว้นคำพูดก่อนจะเอ่ยมันออกมา “คืนนี้นายเป็นของฉัน”
ดวงตาวิบวับล้อเลียนจากศารทูลทำเอาหญิงสาวรู้สึกเขิน ไม่รู้จะเขิน จะอาย หรือจะอะไรก่อนดี ไม่ใช่เธอแน่ ๆ เธอไม่เคยพูดอะไรแบบน๊านนน (เสียงสูง)
“ใครพูดอะ พูดลงไปได้ไง อึย”
“นั่นสิ พูดไปได้ยังไง”
“นี่ ไม่ต้องมาทำหน้าทำตาใส่ฉันเลยนะ แล้วก็ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้ด้วย ไร้สาระ” อริสาทำทีโมโหไปหน้าก็แดงไป โอ้ย ทำไมเธอถึงพูดไปแบบนั้นนะ
“เขินแล้วทำโมโหเหรอเธอเนี่ย”
“ไม่ได้เขิน เขินทำไม ฉันไม่ใช่คนพูดแบบนั้นสักหน่อย”
“หึหึหึ” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ
“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย นั่งเงียบ ๆ ไปฉันจะกิน” อริสาเอ่ยบอกก่อนจะเปลี่ยนเรื่องด้วยการหยิบดอกไม้เข้าปาก
“นี่ พอเถอะนา เดี๋ยวคุณตารู้เข้าก็โดนตีเหมือนตอนเด็ก ๆ หรอก” ชายหนุ่มเตือนด้วยรู้ดีว่าคุณตาภานุนั้นรักดอกไม้และต้นไม้ที่ปลูกไว้มาก สมัยเด็กพวกเขาเคยวิ่งเล่นกันจนไปชนกิ่งของดอกกุหลาบหักจนโดนตีก้นเรียงตัวตั้งกันมาแล้วทุกคนไม่เว้นแม้แต่นลินญา อริสาจำรสไม้เรียวตาภานุไม่ได้หรือไงถึงได้อยากลอง
“ฉันไม่โดนตีหรอก นายต่างหากที่จะโดน”
“ฉันไม่ใช่คนกิน”
“แต่ฉันมีเจ้าตัวป่วน นายต้องยอมโดยตีแทนฉัน” หญิงสาวเอ่ยอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ก็ลองถูกจับได้แล้วอีกฝ่ายไม่ยอมโดยตีแทนสิ ไม่ได้แตะเจ้าตัวป่วนไม่รู้ด้วยนะ
“ฮึย เดี๋ยวนี้ใช้ลูกเป็นประโยชน์เสียจริง” เมื่ออีกฝ่ายมีลูกเป็นตัวประกันศารทูลก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมจำนน
