บท
ตั้งค่า

บทที่34 ฉันหิวข้าว

ในอีกหลายนาทีต่อมาสองหนุ่มสาวก็ออกจากห้องโดยที่อริสาเดินหน้าบึ้งตึงนำหน้า ขณะที่ชายหนุ่มนั้นเดินตามหลังมาโดยทิ้งระยะห่างประมาณหนึ่งช่วงแขน หญิงสาวพยายามก้าวยาว ๆ เพื่อที่จะถอยห่างแต่ชายหนุ่มก็ยังติดตามได้ทันยิ่งทำให้ใบหน้าบึ้งตึงขุ่นเคืองยิ่งขึ้น

จะเดินห่างกว่านี้ก็ไม่เดิน จะมาเดินนำหน้าก็ไม่เดิน จะมาเดินข้าง ๆ ก็ไม่ ทำไมต้องมาเดินตามหลังในระยะที่น่าหงุดหงิดแบบนี้กันนะ มันน่านัก

“นี่” คนทำให้หงุดหงิดส่งเสียงขึ้น

“อะไร?”

“ไม่รับสายเหรอ ดังมานานแล้วนะ” นาทีนี้เองที่อริสาได้รู้ว่าโทรศัพท์ของเธอมันกำลังส่งเสียงดังรบกวนอยู่ ให้ตายเถอะเธอเอาแต่หงุดหงิดศารทูลจนไม่ได้ยินไปได้ยังไงกัน

อีตาบ้านี้ทำให้ประสาทสัมผัสของเธอบกพร่องชัด ๆ อยู่ใกล้ที่ไรไม่ลืมหูลืมตา (?) ทุกที

“กำลังจะรับ” หญิงสาวบอกก่อนจะเดินจ้ำอ้าวนำไปที่รถ พร้อมกับรับสายที่โทรเข้ามาไปด้วยโดยไม่ได้สนใจมองชื่อที่โชว์หราบนจอสมาร์ทโฟน

“อริสาพูดค่ะ” หญิงสาวเอ่ยทันทีที่รับสายก่อนจะเข้าไปนั่งในรถด้วยสีหน้างุนงง “ฮะโหล?”

“ทำไมไม่พูดเนี่ย? วางนะ”

“อลิน” น้ำเสียงคุ้นเคยดังลอดมาจากปลายสายทำเอาอริสาตัวแข็งทื่อไป...

“อลิน อย่าวางนะ”

“คะ คุณ” หญิงสาวเอ่ยออกมาเสียงแผ่วทำเอาศารทูลที่เข้ามานั่งในที่นั่งคนขับเลิกคิ้วด้วยความงุนงง

อริสานิ่งไปครู่พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะสนทนากับปลายสายอย่างใจเย็น “คุณมีธุระอะไรเหรอคะคุณตฤณกันต์?”

“ไม่เอานาอลิน อย่าพูดจาห่างเหินกันแบบนี้สิ”

“สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นอะไรกันมันไม่ถือว่าห่างเหินหรอกค่ะ” หญิงสาวเอ่ยพลางก้มมองตักตัวเองเพราะไม่อยากให้ใครได้พบเห็นสายตาที่ยังคงมีร่องรอยความเศร้าใจปะปนกับความโกรธเกลียดโดยไม่รู้เลยว่าดวงตาสีดำสนิทของคนข้าง ๆ กำลังขุ่นเคืองตั้งแต่ชื่อของใครสักคนหลุดออกมาจากปากเธอ มือสองข้างกับพวงมาลัยแน่นด้วยความไม่พอใจ

“อลิน อย่าเป็นอย่างนี้สิ” ปลายสายเอ่ยเสียงอ่อน

“กรุณาพูดธุระของคุณมาดีกว่าค่ะ”

“ผมแค่เป็นห่วง คุณเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมไม่มาทำงาน?”

“อ้อ โทรมาถามไถ่กลัวว่าฉันจะตายเพราะเรื่องของคุณกับน้ำหวานนี่เอง ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ตายง่าย ๆ หรอก ยังแข็งแรงและสบายดี” หญิงสาวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงติดจะประชดประชัน จะมาอยากรู้ทำไมว่าเธอจะเป็นจะตายยังไง ยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกันอยู่แล้วไม่ใช่รึไง

“สบายดีแล้วทำไมไม่มาทำงาน ทั้งที่ปกติคุณไม่เคยหยุดเลย แล้ววันนั้นผมก็เห็นคุณไปหาหมอสูติฯด้วย ผมไม่เชื่อว่าคุณสบายดี”

“ฟังนะตฤณกันต์ ฉันสบายดี ไม่ได้เจ็บได้ป่วย ส่วนเรื่องหยุดงานฉันก็แค่อยากพักสมองทบทวนกับข้อเสนอที่บอสกับแพนให้มาก็เท่านั้น” เธอเอ่ยเพียงแค่นั้นก็ถูกกระชากโทรศัพท์ไปเสียก่อน ศารทูลตัดสายทันทีก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าตัวเอง

“นี่”

“ต่อไปถ้ามันโทรมาฉันไม่อนุญาตให้รับ” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมกับคลายมืออีกข้างจากพวงมาลัย ดวงตาคมมองตรงมาที่เรือนกายบางด้วยสายตาส่อแววไม่พอใจ

“ไอ้หมอนี่ไม่น่าไว้ใจ ฉันไม่อนุญาตให้เธอเอาลูกของฉันไปเสี่ยงกับมันแน่ และเธอ...” เขาเว้นคำพูด “เธอเป็นของฉัน ฉันไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับของของฉัน”

“รับปากฉัน ว่าเธอจะไม่ไปเจอหรือพูดคุยกับมันอีก”

“ฉันหิวข้าว” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบาไม่ได้ตอบรับเรื่องก่อนหน้านี้ ศารทูลนั่งนิ่งราวกับจะบอกว่าถ้าเธอไม่รับปากเขาก็จะไม่พาไปกินข้าวอย่างไรอย่างนั้น อริสาที่อารมณ์อ่อนไหวอยู่แล้วหลุดร้องไห้ออกมาทันที

“ฮึก ไอ้บ้า ฉันกับลูกหิวจะตายอยู่แล้วยังมาทำหน้ายักษ์ใส่อยู่ได้ แล้วก็มาทำอะไรก็ไม่รู้ ฮึก ฉันพูดแล้วเหรอว่าจะเจอะเจอพูดคุยกับผู้ชายคนนั้นอีกน่ะ ฮึก นายมันบ้า”

เมื่ออารมณ์นี้ของว่าที่คุณแม่เกิดขึ้นความตึงเครียดก็เหมือนจะคลายลง ศารทูลคลายอารมณ์โกรธมาเป็นการร้องบอกตัวเองในใจว่าซวยแล้ว

ยิ่งเสียงร้องไห้ดังขึ้นเท่าไหร่ชายหนุ่มยิ่งทำอะไม่ถูก “เออ นี่ อลิน หยุดร้องได้แล้ว”

“ฮึก ฉันหิว ลูกก็หิว”

“เดี๋ยะ เดี๋ยวฉันพาไปกิน กินในห้างมั้ย กินเสร็จแล้วก็เดินเล่นซื้อของอะไรแบบนั้นน่ะ เอามั้ย”

คำว่าเดินเล่นซื้อของทำให้หญิงสาวชะงักไป อริสาขบคิดครู่หนึ่งก่อนจะถามออกไป “นายจ่ายใช่มั้ย”

“เออ ได้ ฉันเลี้ยงเอง แต่ต้องเลิกร้องไห้ก่อนนะ”

“ไม่ร้องแล้ว” หญิงสาวตอบพร้อมกับปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว...ว่ากันแล้วอริสาก็มีความงกไม่ต่างจากคุณตันหยงเท่าไหร่หรอก

ศารทูลมองอาการร่าเริงที่ปรากฏขึ้นรวดเร็วจนน่าใจหายก่อนจะลอบระบายยิ้มน้อย ๆ อย่างโล่งใจแล้วจึงขับรถออกจากลานจอดรถไป

เพราะศารทูลบอกว่าจะเลี้ยงหญิงสาวจึงสั่งอาหารที่อยากจะลิ้มลองมาจนเต็มโต๊ะ มีทั้งของแปลก ๆ และของธรรมดาที่คนทั่ว ๆ ไปกินกันและที่ขาดไม่ได้ก็คือยำรสแซ่บที่หญิงสาวเน้นว่าขอแบบแซ่บ ๆ ไม่เปรี้ยวไม่ยอม

ศารทูลมองเมนูอาหารต่าง ๆ ที่วางเสิร์ฟอยู่เต็มโต๊ะด้วยความงุนงง บอกเขาสิว่าลูกเขาอยากกิน หรือว่าแม่ของลูกอยากกิน แล้วจะกินหมดมั้ยเนี่ย ตัวก็เล็กนิดเดียว

“กินยังไงหมดเนี่ย?”

อริสาไม่ตอบแต่ลงมือทานอย่างสบายอารมณ์ ตักนั่นแล้วก็ตักนี่ ดูมีความสุขเสียจนศารทูลนึกหมั่นไส้ เขายิ่งเป็นคนไม่ชอบให้ยัยคนนี้มีความสุขเกินหน้าเกินตาเสียด้วยสิ

แต่ถ้าจะให้ทำเหมือนที่เคยทำก็กลัวจะเป็นเรื่องใหญ่...ก็เจ้าหล่อนเล่นมีท่าไม้ตายอย่างการแหกปากร้องไปแล้วนะสิ ฮอร์โมนคุณแม่นี้บางครั้งก็น่ากลัวไม่หยอกจริง ๆ แถมบางทียังเข้าใจยากอีกด้วย ถ้ารู้ว่าเขาจะต้องมาเจออะไรแบบนี้เขายอมไปเรียนหมอตามคำชวนของสีหราชก็ดีสิ

แต่ไม่มีใครรู้อนาคตนี่นะ คิดไปก็เท่านั้น ไม่มีใครเปลี่ยนอนาคตและปัจจุบันได้ อะไรที่มันเป็นไปแล้วมันก็เปลี่ยนไม่ได้ง่าย ๆ ดั่งเช่นความสัมพันธ์ของเขากับคนตรงหน้านี้อย่างไรล่ะ

ใครจะคิดว่าวันหนึ่งเขาจะต้องมานั่งร่วมโต๊ะกันสองต่อสองกับอริสาที่กำลังตั้งท้องลูกของเขาแบบนี้กันล่ะ

“จะมองอีกนานมั้ย” เสียงหวานแต่ไม่น่าฟังถามมาเมื่อจับได้ว่ามีคนมองเธอมานานเกินไปแล้ว

“ก็...”

“ไม่ต้องพูด เลิกมองแล้วก็กินเข้าไป สั่งมาตั้งเยอะขืนฉันกินคนเดียวคนอื่นเข้าก็คิดว่าฉันตะกละกันพอดีสิ” อริสาเอ่ยจบก็ก้มหน้าก้มตากินต่อ ศารทูลลอบระบายลมหายใจก่อนจะลงมือจัดการกับอาหารบ้าง

ทว่าเพียงไม่นานก็เหมือนจะนึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ ศารทูลจึงหยุดกิน “เพิ่งนึกขึ้นมาได้ เย็นนี้ยัยแว่นชวนไปกินข้าวที่บ้าน”

“วันนี้...จริงสิ วันนี้วันเกิดคุณตายัยนิ้งนี่ ไม่ได้การล่ะ กินข้าวเสร็จต้องไปหาซื้อของขวัญก่อนเลยอันดับแรก”

“อีกเรื่อง”

“ยังมีอะไรอีก?”

“เมื่อคืนนี้เธอซ้อมตายใช่มั้ยถึงไม่รู้ว่ามีคนไปสวีตขอแต่งงานกันในห้องน่ะ” คิดถึงเรื่องที่ได้รับรู้เมื่อเช้านี้แล้วศารทูลก็อดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมประชดประชัน นอกจากจะขี้มโนแล้วยังหลับลึกจนน่าโมโห มีอย่างที่ไหนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวปล่อยให้ไอ้พวกชอบโชว์หวานมาขอแต่งงานกันในห้องได้

สองคนนั้นก็น่าหมั่นไส้ให้มานอนเป็นเพื่อนคนท้องดันไปสวีตหวานกัน มันน่านัก

“อะไร ใครขอแต่งงาน?”

“ก็ยัยแว่นกับไอ้หมอไง มีการสวมแหวนกันเรียบร้อย”

“จริงเหรอ อร้าย งั้นฉันก็จะได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวแล้วสิ ดีใจจัง” อริสาที่คิดต่างออกไปเอ่ยอย่างยินดี ไม่ได้รู้สึกโกรธกับคำว่าซ้อมตายของศารทูลเลยสักนิด ก็คนมันง่วงนี่ ง่วงก็ต้องนอนสิ จะให้ถ่างตาอยู่ดูเหรอ ขืนเธอตื่นสองคนนั้นจะกล้าสวีตกันเหรอ?

“มันใช่เรื่องควรดีใจมั้ย สองคนนั้นใช้ห้องเธอเป็นที่ขอแต่งงานนะ”

“ไม่เห็นเป็นไร ดีออก อนาคตจะได้มีเรื่องเล่าให้หลานฟัง ว่าพ่อกับแม่เขามาขอแต่งงานกันในห้องน้าอลิน ดีจะตายไป นายอย่าขวางโลกนักเลยนา สองคนนั้นลงเอยกันเร็วเท่าไหร่แม่นายก็จะให้อิสระกับนายเร็วขึ้นเท่านั้น หรือไม่จริง”

“มีแต่จะเร่งให้ฉันหาทางทำให้เธอยอมแต่งพร้อมสองคนนั้นน่ะสิไม่ว่า” ชายหนุ่มเอ่ย “หรือเธออยากแต่งงานพร้อมสองคนนั้น?”

“ไม่เอาหรอก ไม่อยากแย่งซีน อีกอย่างเป็นเจ้าสาวก็ต้องมีตัดเค้ก ฉันเกลียดเค้กแต่งงาน ฉันจะไม่อยู่ใกล้เค้กแต่งงานเด็ดขาด”

“นี่เธอยังไม่ลืมอีกเหรอ?”

“บังเอิญว่าฉันความจำดีเลิศ” หญิงสาวบอกก่อนจะกินเพื่อระบายความโมโห แน่นอน ใครจะไปลืมวันสุดแสนจะน่าอับอายของตัวเองกันเล่า พูดแล้วก็น่าโมโห ตั้งแต่วันนั้นมาเธอไม่ยืนใกล้เค้กอีกเลยไม่ว่าจะเป็นเค้กแต่งงาน เค้กวันเกิดหรือเค้กในวาระต่าง ๆ ซ้ำทุกครั้งที่ได้กินก็จะนึกถึงสัมผัสตอนที่มันอยู่บนใบหน้าได้เสมอ เรียกได้ว่าเธอไม่เคยมีความสุขจากการกินเค้กเลยสักครั้ง

“กินดีกว่าเนาะ ขืนพูดเรื่องนี้ต่อเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง”

“หึ” หญิงสาวทำเสียงหมั่นไส้แล้วเลิกสนใจคนนั่งกินข้าวอยู่ตรงข้าม ศารทูลเองก็ตั้งใจนั่งเงียบ ๆ ไม่ขัดใจ

มันคงไม่ดีแน่ถ้ามีคนอาละวาดกลางร้านอาหารแบบนี้ เขาไม่อยากเป็นข่าวหน้าหนึ่งหรอกนะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel