บทที่ 4 หยางเฟยเทียน
อู๋ฟางเหนียงเดินนำสาวใช้ออกจากโรงน้ำชาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ในใจก็คิดว่าหากนางเดาไม่ผิดฉู่เซียวหลงจะต้องส่งคนติดตามนางและเสี่ยวเหลียนมาอย่างแน่นอน สายตาที่เต็มไปด้วยความสนอกสนใจของเขาปิดบังนางเอาไว้ไม่มิด ในชาติก่อนสายตาเช่นนี้ของเขาเคยทำให้นางรู้สึกปลื้มอกปลื้มใจไปหลายวัน แต่สุดท้ายเขาก็ทำให้นางได้รู้ว่าสายตาเช่นนี้ของเขาไม่ได้มอบให้แค่นางเพียงคนเดียว
“คุณหนูเจ้าคะ ดูเหมือนว่าจะมีคนลักลอบติดตามพวกเรามานะเจ้าคะ” เสี่ยวเหลียนเอ่ยพลางนิ่วหน้า เสี่ยวเหลียนคนนี้คือสาวใช้ที่จวนเซี่ยกั๋วกงส่งมาเพื่อคอยดูแลรับใช้อู๋ฟางเหนียงโดยเฉพาะ นางพอมีวรยุทธ์อยู่บ้าง อย่างน้อยเรื่องต่อสู้ตบตีภายในเรือนหลังของสตรีเสี่ยวเหลียนก็พอจะต่อสู้และเอาชนะผู้อื่นได้อย่างสบาย เพียงแต่ในชาติที่แล้วอู๋ฟางเหนียงเลือกเดินไปในเส้นทางที่ไม่ได้มีแค่เพียงการทะเลาะเบาะแว้งของอิสตรี ในท้ายที่สุดเสี่ยวเหลียนจึงต้องสูญเสียชีวิตไปตั้งแต่ยังสาวเพียงเพราะช่วยปกป้องเจ้านายอย่างอู๋ฟางเหนียง
“ปล่อยให้พวกเขาติดตามเถอะ ถึงอย่างไรวันหน้าพวกเขาก็จะต้องรู้ฐานะของข้าอยู่ดี” อู๋ฟางเหนียงเอ่ยพลางเดินตรงไปยังตรอกทางด้านหลังของจวน ด้วยวรยุทธ์ของเสี่ยวเหลียนและคนที่ไม่เป็นวรยุทธ์เช่นนางต่อให้พยายามหลบหลีกอย่างไรก็คงไม่อาจจะสลัดยอดยุทธ์จากจวนของโซ่วอ๋องได้
“จะเกิดปัญหาในภายหน้าหรือไม่เจ้าคะ” เมื่อเสี่ยวเหลียนถามเช่นนี้อู๋ฟางเหนียงก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“คนอย่างโซ่วอ๋องไม่เสียเวลามาหาเรื่องพวกเราหรอก ต่อให้เขารู้ว่าข้าเป็นใครก็ไม่อาจจะทำอะไรพวกเราได้อยู่ดี” อู๋ฟางเหนียงเอ่ยพลางคิดถึงช่วงเวลานี้ในชาติก่อน
เพียงเพราะอยากแต่งเข้าจวนอ๋องนางจงใจทำให้ฉู่เซียวหลงรู้ว่าต่อให้นางไม่ได้เป็นที่โปรดปรานใจจวนโหวแห่งนี้ แต่นางกลับได้รับความเห็นอกเห็นใจจากจวนเซี่ยกั๋วกง ในฐานะหลานสาวต่างสกุลนางนับได้ว่าเป็นหลานสาวที่เซี่ยกั๋วกงผู้เฒ่ามอบความสงสารและเป็นห่วงเป็นใยมากที่สุด
ส่วนเซี่ยกั๋วกงคนปัจจุบันนั้นเพียงเพราะเขาไม่มีบุตรสาวจึงได้มอบความรู้สึกทั้งรักและเอ็นดูนางผู้เป็นหลานสาว แถมนางยังมีความรู้สามารถของสตรีอย่างรอบด้านไม่ว่าจะมองทางใดนางก็เหนือกว่าอู๋ฟางเซียนผู้เป็นน้องสาวที่มีเพียงจวนโหวแห่งนี้คอยหนุนหลัง คนที่มีความทะเยอทะยานอย่างโซ่วอ๋องฉู่เซียวหลงย่อมจะเลือกนางเป็นชายาเอกอยู่แล้ว
“ซะ โซ่วอ๋องหรือเจ้าคะ นี่คุณหนูกำลังจะบอกบ่าวว่าคนผู้นั้นคือโซ่วอ๋องหรือเจ้าคะ” เสี่ยวเหลียนพูดออกมาด้วยสีหน้าประหลาดใจเสียงของนางไม่เบาเลยอู๋ฟางเหนียงจึงได้ส่งสายตาตำหนินาง ซึ่งเสี่ยวเหลียนก็รู้ตัวในทันทีนางรีบเดินไปทางประตูเล็กทางด้านหลังของจวนที่ถูกคล้องแม่กุญแจเอาไว้ข้างใน ใช้วิชาตัวเบาของตนเองกระโดดเข้าไปในจวนแล้วไขกุญแจเปิดประตูให้อู๋ฟางเหนียงเดินเข้าไป เมื่ออู๋ฟางเหนียงเดินเข้าไปเรียบร้อยแล้วนางก็รีบไขกุญแจคล้องแม่กุญแจเอาไว้ดังเดิม คิดไม่ถึงว่าเมื่อนางหันกลับไปจะพบว่าอู๋ฟางเหนียงกำลังยืนเผชิญหน้ากับอู๋ฟางหรงผู้เป็นทั้งพี่ชายและซื่อจื่อของจวนโหวแห่งนี้
“ดียิ่ง! ข้าก็หลงคิดว่าจะมีบ่าวรับใช้หรือว่าสาวใช้ที่ไม่กลัวตายสักคนลักลอบขโมยกุญแจมาไขแม่กุญแจของประตูบานนี้แล้วทำเรื่องไม่ดีอย่างเช่นการลักลอบหนีออกจากจวนหรือไม่ก็ลักลอบพาคนไม่ดีเข้ามา คิดไม่ถึงว่าคนที่ดูเหมือนว่าประพฤติตัวอยู่แต่ในกรอบเช่นเจ้าจะกล้าทำเรื่องที่น่าละอายเช่นนี้” อู๋ฟางหรงเอ่ยพลางจ้องมองน้องสาวของตนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
วันนี้เขาพาสหายสนิทมาร่ำสุราในสวนดอกไม้ท้ายจวน พอรู้สึกว่าพวกเขาเริ่มจะมึนเมาแล้วจึงได้พาสหายมาเดินเล่นเพื่อคลายความแรงของฤทธิ์สุรา แต่เมื่อพบว่าแม่กุญแจของประตูเล็กที่อยู่ท้ายจวนมีร่องรอยถูกเปิดใช้ทั้งที่ควรจะปิดตายไปนานแล้ว เขาจึงคิดว่าควรจะตามหาตัวผู้รับผิดชอบมาจัดการ คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ ก็จะมีสาวใช้คนหนึ่งกระโดดข้ามกำแพงอันสูงลิบของจวนโหวแล้วใช้ลูกกุญแจมาไขแม่กุญแจเพื่อเปิดประตูให้น้องสาวของเขาเดินเข้ามา
“ข้าก็แค่ออกไปเดินเล่นข้างนอกนอกจวนเพียงเท่านั้น เหตุใดท่านพี่จึงได้ว่ากล่าวข้าเสียจนเหมือนทำเรื่องเลวร้ายไปแล้วเลยเล่า ท่านไม่คิดจะให้เกียรติข้าแต่ก็ควรที่จะให้เกียรติแขกของท่านด้วย ดุด่าข้ารุนแรงจนถึงขั้นนี้ท่านคงไม่อยากให้ข้ามีที่ยืนภายในเรือนของว่าที่สามีแล้วกระมัง” อู๋ฟางเหนียงเอ่ยพลางจ้องมองไปทางด้านหลังของพี่ชายที่ในยามนี้มีสหายสนิทของเขาติดตามมาด้วยสามคน หนึ่งในนั้นมีหยางเฟยเทียนคู่หมั้นที่ยังไม่ได้ยกเลิกการหมั้นของนาง
“น่ะนี่เจ้า… " อู๋ฟางหรงเอ่ยพลางหันไปมองสหายสนิทที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง อันที่จริงเขาเองก็ทำไม่ถูกที่พาสหายเข้ามาร่ำสุราและเดินท้ายจวนเช่นนี้ ซึ่งอันที่จริงแล้วพื้นที่แห่งนี้ถูกจัดให้เป็นอาณาเขตของเรือนชั้นใน แต่เพราะเขาคิดว่าสตรีภายในจวนไม่มีผู้ใดมาเดินเล่นบริเวณนี้อยู่แล้ว เขาจึงได้ย่ามใจชักชวนสหายมาร่ำสุราบริเวณสวนดอกไม้ท้ายจวนแห่งนี้
เขาลืมไปเสียสนิทว่าเรือนของอู๋ฟางเหนียงอยู่ใกล้บริเวณนี้ อีกทั้งสหายที่เขาพามาหนึ่งในนั้นก็ยังเป็นคู่หมั้นของนางที่มารดาของเขาจัดการหมั้นหมายเอาไว้ให้นางตั้งแต่นางยังอยู่ในท้องอีกด้วย หากผู้อื่นรู้ว่าเขาพาคู่หมั้นของน้องสาวมาพบกับน้องสาวด้วยตนเองต่อให้กระโดดแม่น้ำเพื่อล้างมลทินก็ไม่อาจจะปัดความรับผิดชอบและอาจจะถูกครหาว่าเขาตั้งใจลักลอบพาคู่หมั้นมาพบกันลับหลังสายตาของผู้อาวุโสภายในจวน เขาหันไปมองสหายของตนอีกครั้งแล้วก็หันมาน้องสาวของตนเองในใจของเขาแทบอยากจะสบถออกมาเสียงดัง
ตามความรู้สึกของเขาด้วยนิสัยชอบเอาชนะของอู๋ฟางเหนียง อีกไม่นานน้องสาวของเขาจะต้องหาเรื่องยกเลิกการหมั้นหมายกับหยางเฟยเทียนเป็นแน่ คนที่มองผู้คนแค่เพียงภายนอกแล้วตัดสินผู้คนอย่างฉาบฉวยเช่นนางไม่มีทางมองเห็นความดีงามและสูงส่งของหยางเฟยเทียนอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้นางกลับกล้าใช้คำว่าว่าที่สามีต่อหน้าหยางเฟยเทียนแสดงว่าในใจของนางยังไม่คิดที่จะยกเลิกการหมั้นหมายกับสหายของเขา นี่ทำให้เขาพลันรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง
“ว่าที่สามีอะไรกัน เจ้าเป็นสาวเป็นนางเหตุใดจึงได้เอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยเช่นนี้ อู๋ฟางเหนียงระวังตัวเอาไว้เถอะข้าจะต้องฟ้องท่านพ่อเรื่องที่เจ้าลักลอบหลบหนีออกนอกจวนอย่างแน่นอน” เมื่อได้ยินพี่ชายเอ่ยเช่นนั้นอู๋ฟางเหนียงกลับไม่ได้รู้สึกหวั่นเกรงเลยสักนิด ต่อให้บิดาของนางรับรู้ว่านางประพฤติตัวไม่ดีเขาก็ไม่เคยคิดที่จะใส่ใจในตัวนางอยู่แล้ว ส่วนซ่งซื่อนั้นในตอนนี้นางก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวในตัวของมารดาเลี้ยงผู้นี้อีกต่อไปแล้วเช่นกัน
“ฟางหรง ข้าคิดว่าพวกข้าควรจะกลับได้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรการที่พวกข้าอยู่ที่นี่ก็ไม่ค่อยเหมาะหนัก หากมีคนอื่นรู้เข้าว่าพวกข้าเข้ามาร่ำสุราในเรือนชั้นในของจวนเจ้าแถมยังได้พบกับน้องสาวของเจ้าเช่นนี้อีก ไม่เพียงแค่น้องสาวของเจ้าที่จะเสื่อมเสียชื่อเสียง แม้แต่พวกข้าและตัวเจ้าเองก็อาจจะพลอยมัวหมองไปด้วย” หยางเฟยเทียนที่ยืนนิ่งอยู่ทางด้านหลังอยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ทำให้สหายอีกสองคนที่อยู่ด้านข้างพลันรู้สึกไม่ดีเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างฝ่ายก็ต่างเอ่ยวาจาขอตัวด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก อู๋ฟางหรงจึงพึ่งจะคิดได้ว่าการให้สหายยังอยู่ที่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
“เป็นข้าผิดเองที่คิดไม่รอบคอบ มาเถอะข้าจะเดินไปส่งพวกเจ้าเอง” เขาเอ่ยกับสหายของเขาด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดอย่างเต็มที่ แล้วจึงได้หันมาเอ่ยกับอู๋ฟางเหนียงด้วยน้ำเสียงคาดโทษ
“ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อนแต่หากมีครั้งหน้าอีกข้าจะต้องลงโทษเจ้าแน่ กลับไปสำนึกผิดภายในเรือนของเจ้าให้ดีไม่เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายกับเจ้าก็แล้วกัน” เมื่ออู๋ฟางหรงเอ่ยจบก็รีบเดินไปเชื้อเชิญสหายให้เดินไปด้วยกัน อู๋ฟางเหนียงได้แต่จ้องมองแผ่นหลังของหยางเฟยเทียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันอีกครั้งในสภาพนี้หยางเฟยเทียนยังคงเฉยเมยและเย็นชากับนางเฉกเช่นเดิม ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดในชาติที่แล้วนางจึงเลือกที่จะขอถอนหมั้นแล้วผลักดันตนเองจนได้แต่งงานเข้าไปเป็นชายาเอกของโซ่วอ๋อง
“คุณหนูพวกเรารีบกลับเรือนกันเถอะเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหลียนที่ยืนก้มหน้าทำตัวคล้ายอากาศธาตุเมื่อครู่นี้รีบเอ่ยเตือนเจ้านายในทันทีเมื่อเห็นว่าอู๋ฟางเหนียงกำลังจะเหม่อลอยอีกแล้ว
