บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 เก็บงำประกาย

จากคนที่เคยตายมาแล้วอยู่ๆ ก็ฟื้นขึ้นมาในร่างเดิมของตนเองอีกครั้ง แถมยังเป็นช่วงเวลาที่ยังคงยากลำบากของตนเองอีกด้วย แต่นางกลับรู้สึกดีใจเพราะช่วงเวลานี้ยังเป็นช่วงเวลาที่นางยังไม่ได้คิดจะแต่งงานเข้าไปเป็นพระชายาของฉู่เซียวหลง อีกทั้งตอนนี้จวนเซี่ยกั๋วกงซึ่งเป็นจวนของท่านตาของนางก็ยังคงอยู่ ความรู้สึกผิดอย่างรุนแรงของตนเองจึงได้พลันผ่อนคลายลง

นางตั้งใจเอาไว้แล้วว่าในเมื่อได้มีโอกาสกลับมาแก้ไขอดีตของตนเองเช่นนี้ นางก็จะไม่ทำให้ท่านตาและท่านยายของตนเองต้องเดือดร้อนเพียงเพราะหลานสาวเช่นนางอีก อีกทั้งนางจะไม่พยายามแย่งชิงเส้นทางการเป็นพระชายาของน้องสาวต่างมารดาอีกต่อไปแล้ว คนชั่วย่อมต้องเกลือกกลั้วกับคนชั่ว ในเมื่อฉู่เซียวหลงชั่วช้าได้ถึงขนาดนั้นเช่นนั้นก็เหมาะสมแล้วที่เขาจะได้อู๋ฟางเซียนไปเป็นคู่ครองของเขา

“คุณหนู เหตุใดจึงได้ทำสีหน้าน่ากลัวเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ” เสี่ยวเหลียนสาวใช้ข้างกายของอู๋ฟางเหนียงเอ่ยถามเจ้านายของตนด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น ตอนนี้ในใจของนางอดรู้สึกหวาดกลัวในตัวคุณหนูของนางไม่ได้ ตั้งแต่อู๋ฟางเหนียงหายจากอาการล้มป่วย นางพลันรู้สึกว่าคุณหนูของนางมักจะทำให้นางรู้สึกหวั่นเกรงและหวาดกลัวอยู่บ่อยครั้ง

“ข้าน่ะหรือทำสีหน้าน่ากลัว เจ้าตาฝาดไปแล้วกระมัง จริงสิได้ยินมาว่าวันนี้น้องรองไปเข้าร่วมงานเลี้ยงชมบุปผากับฮูหยินหรือ” ฮูหยินที่อู๋ฟางเหนียงเอ่ยถึงก็คือซ่งซื่อฮูหยินคนที่สองของไหวอันโหวอู๋เจี๋ยผู้เป็นบิดาของนาง

เซี่ยซื่อผู้เป็นมารดาของนางเสียชีวิตจากการคลอดนางเพียงไม่กี่เดือนบิดาของนางก็แต่งซ่งซื่อเข้ามาเป็นฮูหยินคนที่สอง ซ่งซื่อเข้ามาเป็นนายหญิงของจวนโหวได้ไม่ถึงสองปีนางก็คลอดอู๋ฟางเซียนออกมา เดิมทีอู๋ฟางเหนียงก็ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของบิดาอยู่แล้ว พอมีอู๋ฟางเซียนนางผู้เป็นบุตรสาวคนโตก็แทบจะถูกบิดาลืมเลือนในทันที ไม่ใช่แค่เพียงบิดาแม้แต่อู๋ฟางหรงผู้เป็นพี่ชายของนางก็พลอยละเลยนางไปด้วย ในสายตาของเขามีเพียงอู๋ฟางเซียนที่เกิดจากภรรยาคนที่สองของบิดาเท่านั้นที่เป็นน้องสาวของเขา

“คุณหนูอย่าได้น้อยใจไปเลยนะเจ้าคะ คุณหนูมีคู่หมายที่ฮูหยินคนก่อนหมั้นหมายเอาไว้แล้ว ฮูหยินก็เลยไม่ได้พาท่านไปด้วย ส่วนคุณหนูรองนั้นอีกสองปีนางก็ต้องปักปิ่นแล้ว จึงได้เวลาแล้วที่จะต้องมองหาผู้ที่เหมาะสมมาเป็นคู่ครอง” เสี่ยวเหลียนเอ่ยวาจาปลอบเจ้านายเสียงเบา ถึงแม้ว่านางจะเอ่ยเช่นนั้นแต่ทั้งนางและอู๋ฟางเหนียงก็ต่างรู้ดีว่าต่อให้อู๋ฟางเหนียงยังไม่มีคู่หมาย ซ่งซื่อก็ไม่คิดจะพานางไปเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยอย่างแน่นอน

ใบหน้าของอู๋ฟางเหนียงถอดแบบจากเซี่ยซื่อผู้เป็นมารดาแท้ๆ อย่างแทบจะโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน มีเพียงผิวพรรณที่ขาวผ่องกว่าและดวงตาที่กลมโตกว่าที่ทำให้นางดูแตกต่างจากมารดาของตนเอง ทุกคนต่างพูดว่านางเหมือนมารดามีเพียงอู๋ฟางหรงผู้เป็นพี่ชายของนางเพียงเท่านั้นที่บอกว่านางไม่เหมือน สำหรับเขาแล้วไม่มีผู้ใดงดงามเทียบเท่ามารดาของเขาอีกแล้ว

ยิ่งมีคนชื่นชมว่าอู๋ฟางเหนียงมีหน้าตาเหมือนมารดามากเท่าใดก็ยิ่งทำให้อู๋ฟางหรงเกลียดชังน้องสาวของตนมากเท่านั้น อีกทั้งเพราะใบหน้านี้ของนางที่ทำให้บิดาของนางไม่อาจจะทนมองใบหน้าของนางได้แถมเรื่องนี้ยังทำให้ซ่งซื่อตั้งแง่รังเกียจนาง เพียงเพราะนางมีใบหน้าเหมือนศัตรูหัวใจของซ่งซื่อ

ในกาลก่อนอู๋ฟางเหนียงเคยรู้สึกระทมทุกข์ที่ตนเองมีใบหน้าเหมือนมารดา แต่ตอนนี้นางกลับไม่ได้รู้สึกทุกข์ระทมถึงเพียงนั้นอีกแล้ว ในเมื่อไม่มีผู้ใดชื่นชอบนาง นางเองก็ไม่ควรจะใส่ใจในความรู้สึกของพวกเขา ตอนนี้คนที่นางควรใส่ใจก็คือทุกคนในจวนเซี่ยกั๋วกงที่ต่างก็พากันรักและเอ็นดูในตัวนางมากกว่า ถึงแม้ว่าบางครั้งฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซี่ยผู้เป็นท่านยายของนางจะหลงเข้าใจว่านางคือเซี่ยซื่อผู้เป็นบุตรสาวของนางก็ตาม แต่การทำให้คนชรามีความสุขในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งที่นางสามารถทำให้ท่านยายของตนเองได้

“งานเลี้ยงชมบุปผานี้ องค์หญิงเซียวเหยียนตั้งใจจัดขึ้นเพื่อเฟ้นหาคู่ครองให้โซ่วอ๋องสินะ” อู๋ฟางเหนียงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเย้ยหยัน นางจำได้ว่าในชาติที่แล้วนางทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้เข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้แต่ชาตินี้นางไม่คิดจะทำเช่นนั้นอีกแล้ว

“บ่าวได้ยินมาเช่นนั้นเจ้าค่ะ บรรดาสาวใช้ในเรือนของคุณหนูรองต่างพากันพูดทับถมบ่าวกันใหญ่ บอกว่าคุณหนูรองเป็นคนมีวาสนา ในอนาคตนางอาจจะได้เป็นพระชายาของโซ่วอ๋อง ไม่เหมือนคุณหนูใหญ่ที่โชคชะตาแสนอาภัพคู่หมั้นที่ฮูหยินคนก่อนเคยหมั้นหมายเอาไว้ให้ตั้งแต่คุณหนูยังอยู่ในครรภ์เป็นแค่เพียงบุตรหลานสกุลใหญ่ที่ตกอับไปนานหลายปีแล้วเท่านั้น” เสี่ยวเหลียนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้น

ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกว่าคุณหนูของนางเปลี่ยนแปลงไป แต่ความจงรักและภักดีของนาก็ยังคงผูกติดอยู่ที่คุณหนูของนางอยู่เช่นเดิม เมื่อสาวใช้ของเรือนรอื่นเอ่ยวาจาดูหมิ่นคุณหนูของนางเช่นนี้ทำให้นางอดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความไม่พอใจไม่ได้

“ข้าน่ะหรืออาภัพ นั่นสิข้าในกาลก่อนช่างมีชะตาที่สุดแสนจะอาภัพจริงๆ นั่นแหละ” อู๋ฟางเหนียงเอ่ยพลางหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา นางในชาติก่อนเคยโง่เขลา เพราะคิดอยากเอาชนะจึงได้ขอถอนสัญญาหมั้นหมายกับหยางเฟยเทียนแล้วเบนเป้าหมายของตนเองไปที่ตำแหน่งชายาของโซ่วอ๋องฉู่เซียวหลง

“คุณหนูเจ้าคะ เรื่องคู่หมายของคุณหนูบ่าวคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นเรื่องโชคชะตาที่แสนจะอาภัพอย่างที่ผู้อื่นพากันพูดถึงหรอกเจ้าค่ะ บ่าวได้ยินมาว่าคุณชายหยางผู้นั้นเปรียบเสมือนหยกที่ถึงแม้จะยังไม่เจียระไนก็ยังส่องสว่างเสียยิ่งกว่าบรรดาคุณชายที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงแห่งนี้เสียอีก แม่นมเยี่ยนเคยบอกกับบ่าวว่าเป็นเพราะฮูหยินผู้เป็นมารดาของคุณหนูถูกใจในความเฉลียวฉลาดที่มีตั้งแต่เด็กของคุณชายหยาง จึงได้เอ่ยปากจับจองและตกลงเรื่องการหมั้นหมายเอาไว้ล่วงหน้า แถมยังตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะต้องคลอดบุตรสาวออกมาเท่านั้นสัญญาหมั้นหมายที่ทำไว้จะได้ลุล่วงดังตั้งใจ” เสี่ยวเหลียนเอ่ยเพื่อปลอบใจเจ้านายของตนเองแต่อู๋ฟางเหนียงกลับพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“เขานับว่าเป็นหยกที่เปล่งประกายมากจริงๆ นั่นแหละ ยิ่งกาลเวลาผ่านไปประกายที่เขาเก็บงำซุกซ่อนเอาไว้ก็ยิ่งเปล่งประกายออกมาเรื่อยๆ” ..เสียดายก็แต่เปล่งประกายมากจนเกินไปจนข้าคนนี้อดรู้สึกหวาดกลัวในตัวเขาไม่ได้ ประโยคหลังอู๋ฟางเหนียงไม่กล้าเอ่ยออกมา นางได้แต่จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วก็คาดเดาเอาว่าตอนนี้อู๋ฟางเซียนและฉู่เซียวหลงคงกำลังจะได้พบกันในมุมหนึ่งของงานเลี้ยงชมบุปผาขององค์หญิงเซียวเหยียนแล้วกระมัง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel