บทที่ 1 ปฐมบทของความทรงจำ
อู๋ฟางเหนียงบุตรีคนโตของไหวอันโหว เมื่อผู้คนเอ่ยถึงนางต่างก็พากันทอดถอนใจต่อชะตาอันเลวร้ายอย่างถึงที่สุด ตอนที่นางเกิดอู๋ฮูหยินผู้เป็นมารดาของนางต้องสูญเสียชีวิตไปจากการคลอดนาง ทำให้นางกลายเป็นบุตรีที่ท่านโหวผู้เป็นบิดาไม่อาจจะทนมองเห็นนางได้ ส่วนพี่ชายผู้เป็นซื่อจื่อจวนโหวของนางกลับถือโทษว่าเป็นเพราะการเกิดของนางทำให้เขาต้องสูญเสียมารดาทำให้เขาละเลยการมีตัวตนเองนาง
เพราะไร้ความโปรดปรานไร้คนสนใจ นางจึงมีชีวิตอยู่ในจวนโหวอย่างยากลำบาก แต่นางกลับไม่เคยยอมแพ้ให้กับโชคชะตา อดทนบากบั่นเรียนรู้และฝึกฝนตนเองให้มีความรู้ความสามารถ โดยมีความหวังว่าสักวันนางจะสามารถนำพาตนเองไปอยู่ในจุดที่ไม่มีผู้ใดละเลยได้
“อู๋ฮองเฮาประพฤติตนไม่เหมาะสมในฐานะมารดาของแผ่นดิน ทั้งริษยา ไร้เมตตา อีกทั้งยังมีความทะเยอทะยานก้าวล่วงพระราชอำนาจข้องเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ฝ่าบาททรงเห็นแก่ที่เคยร่วมผูกพระเกศาใช้ชีวิตร่วมกันมาเนิ่นนานหลายปีพระราชทานสุราพิษ หลังสิ้นพระชนม์แล้วยังคงฝังร่างในสุสานหลวงในฐานะฮองเฮาของแคว้นต้าหรงได้” เสียงประกาศราชโองการทำให้นางพลันหูตาสว่างได้ในที่สุด
ต่อให้นางพยายามสักเพียงไหน ไขว่คว้าอำนาจมาถือครองได้อย่างยากลำบากมากเพียงใด แต่สุดท้ายคนในครอบครัวของนางก็ไม่เคยจะสนใจและคอยหนุนหลังนางในฐานะบุตรีของจวนโหวอยู่ดี ส่วนพระสวามีนั้นหลายปีมานี้นางทุ่มเทเพื่อเขามากเพียงใดทั้งนางและตัวเขาต่างรู้ดี
จากพระโอรสผู้ไม่ได้รับความโปรดปราน กลายเป็นชินอ๋องผู้มีอำนาจสูงสุดในแคว้น และสุดท้ายก็สามารถเป็นผู้ครอบครองพระราชบัลลังก์ของแคว้นได้ในที่สุด คิดไม่ถึงว่าฉู่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้นี้พอเสร็จนาก็ฆ่าโคศึก พอเสร็จศึกก็ฆ่าขุนพล ในฐานะที่นางเป็นฮองเฮาที่มีพระราชอำนาจสูงส่งมีจวนเซี่ยกั๋วกงคอยหนุนหลัง ทั้งนางและจวนเซี่ยกั๋วกงจึงเป็นเสี้ยนหนามต่อพระราชบัลลังก์ที่เขาต้องกำจัดเป็นอันดับแรกหลังจากบัลลังก์ของเขามั่นคงดีแล้ว
จวนเซี่ยกั๋วกงซึ่งเป็นสกุลเดิมของมารดาของนางต้องโทษกบฏ ส่วนนางที่กำลังถูกขังอยู่ในคุกของวังหลวงได้รับพระราชทานเหล้าพิษ นี่ถือว่าเป็นผลตอบแทนสุดท้ายจากความพยายามหลายปีของนาง อู๋ฟางเหนียงหัวเราะออกมาเบาๆ เพื่อเยาะหยันตนเอง นางยื่นสองมือที่ยังคงสั่นสะท้านจากการถูกเครื่องลงทัณฑ์ไปยังถ้วยสุราอย่างระมัดระวัง นิ้วมือที่เคยเรียวงามบัดนี้ถูกบีบจนไม่หลงเหลือเค้าโครงความงามอีกต่อไปแล้ว ทั้งผิดรูปและเกรอะกรังไปด้วยเลือด นางไม่อาจจะควบคุมนิ้วมือของตนเองได้จึงใช้อุ้งมือทั้งสองข้างประคองถ้วยสุราขึ้นมาแล้วจ้องมองไปยังคนที่ติดตามขันทีเฒ่าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
“เยี่ยเอ๋อของข้าก็คงจะไม่รอดเช่นกันสินะ” อู๋ฟางเหนียงเอ่ยพลางจ้องมองถ้วยสุราด้วยสายตาอันว่างเปล่า
“องค์ชายใหญ่ทรงสิ้นพระชนม์ไปเมื่อหลายวันก่อนแล้ว” หยางเฟยเทียนเอ่ยพลางเดินเข้ามาหยุดยืนตรงเบื้องหน้าของนางขันทีเฒ่ารีบหลบไปยืนด้านข้างอย่างนอบน้อมและโบกมือไล่ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากห้องขัง หยางเฟยเทียนจ้องมองนางด้วยสายตาอันคมกริบแล้วย่อกายลงมาวางหัวเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้านางโดยไม่สนใจว่าความสกปรกของพื้นห้องขังจะทำให้ชุดคลุมของเขาต้องแปดเปื้อน
“เจ้าอยากให้ข้าช่วยแก้แค้นให้เจ้าหรือไม่” เขาถามนางพลางจ้องมองนางด้วยสายตาอันแรงกล้า ความรู้สึกสิ้นหวังที่กำลังกัดกร่อนจิตใจของนางพลันมีความรู้สึกผิดทะลวงผ่านเข้ามา อู๋ฟางเหนียงส่ายหน้าพลางยกถ้วยสุราขึ้นมาดื่มจนหมดถ้วย
“ข้าไม่อาจจะติดค้างท่านมากไปกว่านี้แล้ว หากชาติหน้ามีจริงข้าก็จะขอแก้แค้นด้วยตัวของข้าเอง” นางเอ่ยพลางก้มหน้าลงด้วยความเจ็บปวดหยาดน้ำตาที่คิดว่าแห้งเหือดไปแล้วก็พลันหลั่งไหลออกมาอีกครั้ง เมื่อสุรารสร้อนแรงไหลลงลำคอไปความเจ็บปวดจากการถูกแผดเผาด้วยยาพิษก็แผ่กระจายไปทั่วทุกอณูของร่าง
“ชาตินี้เป็นข้าเลือกทางเดินผิดเองไม่อาจจะโทษผู้ใดได้ หวังเพียงว่าร่างของข้าจะได้ถูกฝังลงหลุมเคียงข้างกับบุตรชายของข้า ชาตินี้ข้าทำผิดต่อเขาและทำผิดต่อสกุลเซี่ยแถมยังผิดต่อท่านอีกด้วย หวังว่าท่านอย่าได้เคืองแค้นในตัวข้าและได้โปรดให้อภัยที่ข้าเคยล่วงเกินท่านเอาไว้หากชาติหน้ามีจริงข้าก็จะขอชดใช้ในสิ่งที่ข้าเคยล่วงเกินท่านไป” นางเอ่ยพลางทอดถอนใจออกมาแล้วก็ทิ้งกายลงไปกับพื้น ต่อให้สามารถคาดเดาอนาคตได้นางก็ไม่เคยคาดคิดว่าวาระสุดท้ายของตนเองจะกลายเป็นเขาที่ออกหน้ามาถามว่าจะให้เขาช่วยแก้แค้นให้นางหรือไม่ ถึงแม้ว่าจะน่าซาบซึ้งใจแต่นางก็ไม่คิดจะให้เขาทำสิ่งใดเพื่อนางอีกต่อไปแล้ว
นางรู้ดีว่าแม้ว่าเขาจะมีอำนาจอย่างล้นเหลือแต่ก็ยังไม่ควรที่จะออกหน้าท้าทายอำนาจของเจ้าเหนือหัวของตนเองในตอนนี้ ฉู่เซียวหลงผู้เป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เขาเป็นทั้งสวามีของนางและคนที่มอบสุราพิษให้นางในยามนี้กำลังขึ้นสู่จุดสูงสุดของพระราชอำนาจ ไม่แน่ว่าเมื่อสามารถกำจัดนางและสกุลเซี่ยได้แล้วคนต่อไปที่ฉู่เซียวหลงคิดจะกำจัดก็คือหยางเฟยเทียน ด้วยกำลังและความสามารถของฉู่เซียวหลงนางคิดว่าอีกไม่นานเขาก็จะต้องถูกมหาเสนาบดีผู้นี้ดึงเขาลงจากราชบัลลังก์ได้อย่างแน่นอน เรื่องนี้ก็เพียงแค่รอเวลาที่เหมาะสมเพียงเท่านั้น
“เอาเป็นว่าเพื่อเห็นแก่มิตรภาพแต่เก่าก่อน ข้าจะช่วยให้เจ้าได้ฝังร่างเคียงข้างกับบุตรชายของเจ้าอย่างที่เจ้าต้องการก็แล้วกัน” นี่คือถ้อยคำสุดท้ายที่นางได้ยินก่อนที่สติจะหลุดลอยออกจากร่าง
ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ แต่คนเย็นชาไร้เยื่อใยต่อผู้อื่นอย่างหยางเฟยเทียนกลับพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสารและความจนใจ ในความคิดของนางในห้วงสุดท้ายนางคิดเพียงว่าเขาไม่เวทนาและสมเพชนางก็ดีมากเพียงใดแล้ว มีเส้นทางให้นางเลือกตั้งมากมายแต่นางกลับเลือกเส้นทางนี้ด้วยตนเอง ต่อให้เขามีใจอยากช่วยเหลือก็ล้วนเป็นเรื่องที่เกินกำลังของเขาแล้ว
ไม่รู้ว่าสติการรับรู้ของนางมืดดับไปนานเพียงใด เมื่อนางได้สติขึ้นมาอีกครั้งนางกลับพบว่านางได้กลับไปใช้ชีวิตภายในจวนไหวอันโหวอีกครั้ง ทนรับความยากลำบากจากการเป็นคุณหนูใหญ่ที่ผู้คนภายในจวนต่างไม่สนใจ ทนรับความอดสูใจจากการถูกทอดทิ้งและต้องกลับมาพยายามเรียนรู้และฝึกฝนตนเองเพื่อพยายามเอาชนะใจของทุกคนในจวนอีกครั้ง
“ข้าเหนื่อยเหลือเกิน” อู๋ฟางเหนียงเอ่ยออกมาท่ามกลางสติอันพร่าเลือน
“คุณหนู ท่านพยายามแข็งใจเอาไว้นะเจ้าคะเสี่ยวเหลียนไปตามท่านหมอมาให้ท่านแล้ว อีกสักครู่ท่านหมอก็จะมาแล้วเจ้าค่ะ” เสียงอันคุ้นเคยที่ดังขึ้นข้างกายทำให้อู๋ฟางเหนียงพลันได้สติและลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
“แม่นมเยี่ยน” อู๋ฟางเหนียงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันแหบเครือ ดวงตาที่พึ่งจะลืมขึ้นมาของนางจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาอันเลื่อนลอย
“คุณหนู ท่านได้สติแล้วหรือเจ้าคะ” แม่นมเยี่ยนพูดพลางใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดไปทั่วใบหน้าของนางอย่างอ่อนโยน
“แม่นม ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน” อู๋ฟางเหนียงเอ่ยถามพลางหลับตาลงอีกครั้งเพื่อกดข่มความทรงจำและความรู้สึกอันสุดแสนจะรวดร้าวที่โหมกระหน่ำใส่นางจนนางแทบจะทนรับเอาไว้ไม่ไหว นางลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้วจ้องมองแม่นมของตนเองที่เคยดูแลนางก่อนที่นางจะออกเรือนด้วยสายตาอันโหยหา นางจำได้ว่าแม่นมของนางตายไปนานแล้ว เสี่ยวเหลียนที่นางพูดถึงก็ตายไปนานแล้วเช่นกัน
“ข้าเองก็ตายไปแล้ว..” นางพึมพำออกมาเบาๆ ทำให้แม่นมที่กำลังเช็ดใบหน้าให้นางชะงักไปในทันที
“คุณหนู ท่านอย่าเอ่ยเช่นนั้นสิเจ้าค่ะ ตงตายอันใดกันท่านก็แค่เป็นไข้เพราะต้องลมหนาวเพียงเท่านั้น ไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะอีกสักครู่เสี่ยวเหลียนก็คงจะพาท่านหมอมาดูอาการของท่านแล้ว” แม่นมเอ่ยพลางหลั่งน้ำตาออกมา หยาดน้ำตาของแม่นมทำให้อู๋ฟางเหนียงได้สติในที่สุด นางมองรอบๆ กายด้วยความสนใจ ตอนนี้ร่างกายของนางสิ้นไร้เรี่ยวแรงความรู้สึกที่สัมผัสได้ก็คือความหนาวสะท้านจากภายในและศีรษะที่ร้าวระบมเป็นอย่างมาก
‘หากข้าตายไปแล้วเหตุใดจึงยังรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้เล่า’ นางได้แต่คิดอยู่ในใจพลางจ้องมองแม่นมของตนเองอีกครั้ง
“ท่านว่าเสี่ยวเหลียนกำลังไปตามหมอมารักษาข้าหรือ” นางเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง แม่นมเยี่ยนพยักหน้าพลางเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการปลอบโยน
“คุณหนูไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ ข้าให้เสี่ยวเหลียนไปขอความช่วยเหลือที่จวนกั๋วกงแล้ว ได้ยินว่าท่านเซี่ยกั๋วกงและฮูหยินกลับเข้าเมืองหลวงมาแล้วไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นท่านกั๋วกงและฮูหยินจะต้องไม่ปล่อยให้คุณหนูไม่มีหมอมาดูแลอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” เมื่อแม่นมเยี่ยนเอ่ยเช่นนี้อู๋ฟางเหนียงก็พยักหน้า
“นั่นสินะ พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ข้าล้มป่วยโดยไม่ส่งท่านหมอมาดูแลอย่างเช่นที่ท่านพ่อและพี่ชายของข้ากำลังทำกับข้าอย่างแน่นอน” นางเอ่ยพลางหลั่งน้ำตาออกมา เมื่อรับรู้ได้ถึงน้ำตาของตนเองนางจึงได้รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ แถมนางยังมีชีวิตอยู่ในจวนไหวอันโหวอีกด้วย แม่นมเยี่ยนยังไม่ตาย อีกทั้งสถานที่ที่นางอาศัยอยู่ยังเป็นเรือนหลังเล็กที่นางเคยอาศัยตอนที่ยังไม่ได้ออกเรือนอีกด้วย นางนอนทบทวนความทรงจำของตนเองอีกครั้งความรู้สึกและหลายสิ่งๆ หลายอย่างที่อยู่ในหัวของนางในตอนนี้กำลังบ่งชี้ให้นางรู้ว่านางกลับมาแล้ว ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในร่างเดิมของตนเองอีกทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่นางยังไม่ได้แต่งงานออกไปจากจวนโหวอีกด้วย
