3 ปัญหาของครอบครัว
ตอนที่ 3
ปัญหาของครอบครัว
“ขอบคุณนะที่มาส่ง จะเข้าไปในบ้านก่อนไหม”
พลอยไพลินเอ่ยถาม เธอเห็นว่าฝนตกหนักจึงตั้งใจว่าจะชวนกิตติภพเข้าไปดื่มชาด้วยกันในบ้าน
“พอดีเมื่อกี้พ่อส่งข้อความมาว่ามีงานด่วนให้ช่วย เดี๋ยวผมต้องรีบไปที่บริษัท ไว้วันหลังนะ”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความเสียดาย ใจจริงเขาก็อยากใช้เวลาอยู่กับหญิงสาวให้มากกว่านี้ แต่เรื่องงานก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องรีบไปบริษัทเพื่อเคลียร์งานก่อน เรื่องส่วนตัวไว้ทีหลัง ถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่ได้เข้าไปดื่มชากับเธอ แต่วันหน้าเขาก็ยังมีโอกาสอีกมากมาย
เกิดเป็นลูกชายผู้บริหารใครว่าสบาย แม้ว่าเขายังเรียนไม่จบแต่ก็ต้องคอยช่วยงานพ่ออยู่เสมอ พ่อต้องการปูทางให้เขาก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารอย่างราบรื่น จึงขอให้เขาไปช่วยงานที่บริษัทเป็นประจำ เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเขาคือคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งประธานบริษัทคนต่อไป
“ถ้าอย่างนั้นขับรถดีๆนะ ไม่ต้องขับเร็วมากล่ะ”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง อย่างไรกิตติภพก็เป็นเพื่อนที่เธอรักมากที่สุด เธอคิดไม่ออกเลยว่าถ้าเธอสูญเสียเขาไปเธอจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขได้อย่างไร
เหมือนกับว่าเธอกับเขาอยู่ด้วยกันมาเกือบครึ่งชีวิตแล้ว นอกเหนือจากความรักและความหวังดีก็คือความผูกพัน
“ไว้เจอกันนะ ติดต่อผมได้เสมอ”
“งั้นเดี๋ยวพลอยเข้าบ้านก่อน ฝนเริ่มตกหนักอีกแล้ว”
หญิงสาวรีบวิ่งเข้าไปในบ้านโดยไม่ลืมที่จะหันมาโบกมือให้เพื่อนรัก พลอยไพลินรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่วันนี้บ้านดูเงียบๆ
ปกติจะมีแม่บ้านเดินพลุกพล่าน มีพนักงานรักษาความปลอดภัยเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูตลอด 24 ชั่วโมง แต่เธอไม่เจอใครเลยสักคน ได้ยินเพียงเสียงแว่วๆดังลงมาจากชั้นบน
“คุณพ่อคุณแม่คะ”
หญิงสาวเอ่ยเรียก แต่ดูเหมือนทั้งสองคงจะไม่ได้ยิน พลอยไพลินเดินไปทั่วบ้าน มองหาป้าแม่บ้านแต่ก็ไม่เจอ หญิงสาวคิดว่าทุกคนคงจะออกไปจ่ายตลาด จึงไม่ได้สนใจและรีบเดินขึ้นไปชั้นบนเพราะอยากรู้ว่าพ่อกับแม่ทะเลาะกันหรือเปล่า เนื่องจากเธอได้ยินเสียงของทั้งสองดังออกมาจากห้องทำงาน
และยิ่งเดินเข้าไปใกล้เสียงทะเลาะกันทั้งสองก็ชัดเจนขึ้น หญิงสาวรู้สึกแปลกใจเพราะปกติพ่อกับแม่ของเธอไม่เคยทะเลาะกันเลย ตั้งแต่เล็กจนโตเธอไม่เคยเห็นพ่อแม่ขัดแย้งกันเลยสักครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น”
คนเป็นลูกพึมพำเบาๆ เธอเดินเข้าไปใกล้ๆห้องทำงาน เงี่ยหูฟังเพราะอยากรู้ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น
“แล้วคุณจะให้ผมทำอย่างไร ในเมื่อมันพลาดไปแล้ว!”
เสียงของพ่อดังออกมา ทำให้พลอยไพลินสะดุ้งเบาๆด้วยความตกใจ ขยับเข้าไปใกล้ประตูมากขึ้นเพื่อฟังเสียงของทั้งสอง
“ทำไมคุณทำอะไรไม่คิดแบบนี้ ฉันเคยเตือนคุณแล้ว เตือนมาตลอด แต่ทำไมคุณถึงไม่ฟัง หรือคำพูดของฉันมันไม่มีค่าพอ!”
คราวนี้เป็นแม่ที่เถียงกลับ ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองทำให้พลอยไพลินยิ่งสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพ่อกับแม่ของเธอถึงได้ทะเลาะกันใหญ่โตขนาดนี้
“คุณใจเย็นๆ แล้วตั้งสติก่อน ผมสัญญาว่าผมจะไม่ให้คุณกับลูกต้องเดือดร้อน!”
“ฉันไม่สนหรอกว่าฉันจะเดือดร้อนหรือเปล่า แต่ฉันไม่อยากให้ลูกรับรู้เรื่องนี้ ฉันไม่อยากให้ลูกต้องมาเครียดเพราะปัญหาที่เราสร้าง!”
“ลูกโตแล้ว ไม่ใช่เด็กเล็กๆที่เราต้องมานั่งปกปิดเรื่องปัญหา ลูกควรจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น!”
คนเป็นพ่อโพล่งขึ้นมา เขามองไม่เห็นประโยชน์ของการที่ปกปิดเรื่องทั้งหมดไม่ให้ลูกรู้ อย่างไร พลอยไพลินก็รู้อยู่แล้วว่าบริษัทมีปัญหา เพราะฉะนั้นเขาจึงเชื่อว่าลูกสาวจะไม่ตกใจหากรู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัว
“คุณอย่ามาคิดแทนลูก!”
“ผมเองก็รู้จักลูกไม่น้อยกว่าคุณหรอก ผมรู้ว่าลูกจะต้องมีสติมากกว่าคุณแน่นอน!”
“คุณว่าฉันเหรอ!”
พลอยไพลินรู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มจะบานปลาย เธอจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป และทันทีที่วิญญูกับศิริลักษณ์เจอหน้าลูกสาว ทั้งสองก็หน้าซีด อุทานด้วยความตกใจ
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก!”
พลอยไพลินมองพ่อกับแม่สลับกัน ก่อนเดินเข้าไปหาทั้งสอง
“มันเกิดอะไรขึ้นคะ คุณพ่อคุณแม่เล่าให้พลอยฟังได้ไหม”
ศิริลักษณ์ส่ายหน้าเบาๆ เธอไม่อยากให้ลูกรับรู้เรื่องนี้ เธอพยายามขอร้องสามีแต่เขาก็ไม่ฟัง เพราะวิญญูเห็นว่าพลอยไพลินไม่ใช่เด็กแล้ว ลูกสาวของเขาโตพอที่จะมีภูมิคุ้มกัน เขาจึงได้ตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ลูกฟัง ไม่คิดจะปกปิด
“ลูกตั้งสติแล้วฟังดีๆนะ”
พลอยไพลินพยักหน้า
“ตอนนี้บริษัทของเราโดนโกง พ่อไม่สามารถชำระหนี้ที่กู้มาจากธนาคารได้ จริงๆเรื่องอยู่ในศาลมาสักพักแล้ว ตอนแรกพ่อคิดว่าพ่อน่าจะเคลียร์ได้ แต่ตอนนี้พ่อหมดสิ้นหนทางจริงๆ ศาลกำลังจะตัดสินให้พ่อเป็นบุคคลล้มละลาย”
หญิงสาวได้ยินแบบนั้นก็แทบจะล้มทั้งยืน แต่เธอก็ยังยืนหยัดมั่นคง ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย ในใจของเธอรู้สึกปวดร้าวที่ไม่สามารถช่วยเหลือครอบครัวได้เลย
“มันเกิดขึ้นได้ยังไงคะคุณพ่อ ในเมื่อไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทของเรามีกำไรมากมาย”
“ก็อย่างที่พ่อบอก พวกคนที่โกงทำงานกันเป็นขบวนการ ตอนนี้พ่อมอบอำนาจให้แม่เป็นคนจัดการเรื่องดำเนินคดีกับคนพวกนั้นแล้ว แต่ถึงจะดำเนินคดีไปมันก็ไม่ได้ทำให้ปัญหาของเราดีขึ้น พ่อจึงตัดสินใจที่จะกลายเป็นบุคคลล้มละลาย เพื่อที่ลูกจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนมาก”
“แล้วคุณพ่อจะทำยังไงต่อไปคะ”
หญิงสาวมืดแปดด้าน เธอยังเรียนไม่จบ เหลืออีกแค่ปีเดียวเท่านั้น แต่จู่ๆครอบครัวก็ดันประสบปัญหาใหญ่ ทำให้เธอกังวลถึงอนาคตของตัวเองในรั้วมหาวิทยาลัย
“ตัวพ่อไม่เท่าไหร่หรอก พ่อเป็นห่วงลูกมากกว่า ถ้าพ่อโยกย้ายทรัพย์สินตอนนี้ต้องเดือดร้อนกันหมดแน่ พ่อทำอะไรไม่ได้”
ชายวัยกลางคนรู้สึกเสียใจ ที่หลังจากนี้เขาไม่สามารถส่งเสียลูกให้เรียนหนังสือได้อีกแล้ว ส่วนผู้เป็นแม่แม้ว่าจะมีทรัพย์สิน แต่ก็ต้องขายบางส่วนเพื่อใช้หนี้ให้กับลูกค้าที่ได้รับความเสียหายจากเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ความผิดของเธอกับสามีเลยก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วเธอกับสามีก็ต้องรับผิดชอบเพื่อตัดปัญหา
